บทที่ 25 ฉันอยากก้าวหน้า?
หัวหน้าแผนกหวังโบกมือเรียกโจวอี้หมินให้เข้าไปหา
โจวอี้หมินรีบเดินเข้าไปทักทาย “หัวหน้าแผนก หัวหน้าแผนกเจิ้ง!”
หัวหน้าแผนกเจิ้งตบไหล่โจวอี้หมินเบาๆ ก่อนจะหันไปแนะนำชายวัยกลางคนที่ใส่แว่นตาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“อี้หมิน นี่คือหัวหน้าฝ่ายโลจิสติกส์ของเรา หัวหน้าติง คูปองนาฬิกาของนาย หัวหน้าติงเป็นคนอนุมัติให้”
โจวอี้หมินรีบกล่าวขอบคุณทันที “หัวหน้าติง สวัสดีครับ! ขอบคุณมากสำหรับคูปองนาฬิกา กำลังคิดจะซื้อนาฬิกา แต่ขาดคูปองอยู่พอดี!”
หัวหน้าติงยิ้มด้วยท่าทางใจดี “ดีมาก! เธอทำให้ฝ่ายโลจิสติกส์ของเราภูมิใจ สู้ต่อไป คูปองนาฬิกานั่นเธอสมควรได้รับอยู่แล้ว ทำงานให้ดี ขยันแบบนี้ต่อไปนะ ปีหน้ามีหวังได้เลื่อนขั้นอีกแน่ ๆ”
“ครับ หัวหน้าติง ผมจะพยายามครับ!”
เมื่อหัวหน้าสั่งให้ทำงานดี ๆ นอกจากตอบรับด้วยคำว่า “ครับ” แล้ว ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้
ถึงแม้ยุคนี้จะไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้บริหารจะไล่พนักงานออกได้ แต่ถึงยังไงคนเหล่านี้ก็เป็นผู้บังคับบัญชา หากไปทำให้พวกเขาไม่พอใจ ก็อาจโดนกลั่นแกล้งได้ง่าย ๆ
ในระหว่างนั้น ผู้เชี่ยวชาญการแล่เนื้อกำลังผ่าท้องหมูป่าและหมีดำเพื่อทำการชำแหละ เพื่อนำไปชั่งน้ำหนัก
หมูป่ามีน้ำหนัก 109 จินกว่า ๆ (ประมาณ 55 กิโลกรัม) ปัดให้เป็น 110 จิน ส่วนหมีดำหนักถึง 262 จิน (ประมาณ 131 กิโลกรัม) แต่หมีดำไม่ใช่แค่เนื้อเท่านั้นที่จะถูกประเมินราคา อุ้งมือหมีและดีหมีเองก็เป็นของมีค่าเช่นกัน
หัวหน้าติงมีการวางแผนไว้แล้ว ดีหมีจะถูกนำไปให้ผู้อื่น ซึ่งเขาตั้งใจจะนำติดตัวไปด้วย
ผู้เชี่ยวชาญชำแหละได้ควักดีหมีออกมา มันยังไม่ถึงระดับ “ดีทอง” แค่ “ดีเหล็ก” เท่านั้น
ดีหมีมีการจัดระดับตามคุณภาพ โดยมีลักษณะและสีที่แตกต่างกัน ดีหมีที่มีสีทองโปร่งใสเหมือนหยกและมีรสชาติขมปนหวานนั้น เรียกว่า “ดีทอง” หรือ “ดีทองแดง”; ส่วนดีหมีที่มีสีดำและมีลักษณะเป็นของแข็งหรือกึ่งแข็งเรียกว่า “ดีเหล็ก”; และดีหมีที่มีสีเขียวอมเหลืองซึ่งมีลักษณะเหมือนดอกกะหล่ำ เรียกว่า “ดีดอกกะหล่ำ”
หัวหน้าติงนำเงิน 160 หยวน ส่งให้โจวอี้หมินก่อนที่จะนำดีหมีติดตัวไป
ดีหมีไม่ได้ถูกจดบันทึกเข้าคลังสินค้า เช่นเดียวกับอุ้งมือหมีที่ประเมินราคาตามมูลค่าอุ้งมือหน้าและหลัง อุ้งมือหน้ามีราคา 10 หยวนต่อข้าง อุ้งมือหลัง 15 หยวนต่อข้าง ซึ่งเงินจำนวนนี้ถูกมอบให้โจวอี้หมิน และหัวหน้าแผนกเจิ้งจะนำอุ้งมือหมีติดตัวไปเช่นกัน
ส่วนเนื้อหมูป่า หัวหน้าแผนกหวังได้สั่งให้ผู้เชี่ยวชาญแล่เนื้อหั่นเนื้อหมูป่าจำนวน 12 จินไว้สำหรับนำไปแจกจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ในแผนก แน่นอนว่าเขาจะจ่ายเงินให้โจวอี้หมินด้วย แต่สิ่งของเหล่านี้ไม่ได้ถูกบันทึกเข้าคลังเช่นกัน
โจวอี้หมินอดไม่ได้ที่จะคิดในใจว่า ‘จริงๆแล้ว ก็คือ “ถ้าคุณไม่เอา ฉันก็ไม่เอา แล้วใครจะเอา?”’
สำหรับโจวอี้หมินนั้น มันไม่ได้เสียหายอะไร และเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย
จริงๆแล้วมันยังถือว่าดีที่พวกเขายอมจ่ายเงินเพื่อสิ่งของ ไม่ได้เอาไปเปล่า ๆ
เมื่อคำนวณแล้ว หมีดำทำเงินได้ถึง 460 หยวน ส่วนหมูป่าได้ 110 หยวน รวมทั้งสิ้น 570 หยวน ถือว่าเป็นรายได้ก้อนใหญ่ทีเดียว
ในครั้งนี้พวกเขายังให้ราคาหมูป่ามากถึง 1 หยวนต่อจิน เพื่อเป็นการแสดงความเห็นใจต่อชาวบ้าน
“อี้หมิน ฉันรู้ว่าเธออยากก้าวหน้า แต่ไม่ต้องทำงานหนักเกินไปนะ ระวังเรื่องความปลอดภัยด้วย” หัวหน้าแผนกหวังกล่าวเตือนด้วยความจริงใจ
โจวอี้หมิน “……”
‘ผมอยากก้าวหน้าหรือ? ทำไมผมไม่รู้เรื่องเลย?’
“ครับ หัวหน้าแผนก งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวก่อน! ยังมีเนื้อของเธออีก 1 จิน” หัวหน้าแผนกหวังเตือน
โจวอี้หมินโบกมือ “ผมไม่เอาหรอกครับ หัวหน้าแผนกเอาไปเถอะครับ ผมยังเก็บไก่ป่าไว้ตั้งสองตัวแน่ะ”
พอได้ยินว่าเจ้านี่แอบเก็บไก่ป่าไว้สองตัว หัวหน้าแผนกหวังก็ไม่เกรงใจอะไรอีก เขาจะนำเนื้อส่วนที่เตรียมไว้ให้โจวอี้หมินกลับบ้านไปเอง
หลังจากออกจากโรงงานเหล็ก โจวอี้หมินก็ครุ่นคิดว่าจะส่งมันเทศและมันฝรั่งให้หมู่บ้านซ่างสุ่ยเท่าไหร่ดี เพราะครั้งนี้ได้เงินมากถึงห้าร้อยกว่าหยวน
เขาตบหน้าผากตัวเอง นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ยังไม่ได้ดูสินค้านาทีทองราคา 1 หยวนเลย!
โจวอี้หมินจึงรีบเปิด “ร้านค้าในสมอง” และพบว่าวันนี้มีถั่วเหลือง 100 จิน และน้ำมันถั่วลิสง 100 จิน เขาจึงรีบซื้อทันทีโดยไม่รีรอ
ถั่วเหลืองเป็นวัตถุดิบที่ดี สามารถนำไปทำเป็นเต้าหู้และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองอื่น ๆ ได้
น้ำมันถั่วลิสง 100 จิน ถูกแบ่งออกเป็น 10 ถัง ถังละ 10 จิน จัดการแบ่งอย่างเป็นระเบียบดีมาก
ครั้งนี้การกลับบ้านของเขาต้องซื้อของเยอะเลยทีเดียว
นอกจากมันเทศและมันฝรั่งที่จะมอบให้หมู่บ้านซ่างสุ่ยแล้ว ยังต้องจัดหาข้าวฟ่าง 50 จินไว้สำหรับทำอาหารให้ช่างก่อสร้าง ส่วนเนื้อสัตว์ก็จะเอาไก่สองตัวกลับไปมากกว่านี้ไม่ได้ อากาศร้อนแบบนี้ไม่มีตู้เย็น เก็บเนื้อได้นานยาก
ในยุคนี้ แม้เนื้อสัตว์จะมีกลิ่นไม่ดีแล้ว แต่ผู้คนก็ยังคงรับประทานอยู่ ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากนัก
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว โจวอี้หมินก็กำลังจะกลับ แต่จู่ๆก็คิดอะไรได้ จึงเปลี่ยนทิศทางทันที
ไปซื้อนาฬิกาสักสองเรือน
คูปองนาฬิกาใบนั้นเขาตั้งใจจะซื้อนาฬิกาเรือนใหม่ให้คุณปู่
ส่วนของเขาเองตั้งใจว่าจะไปที่ร้านสินค้าฝากขายเพื่อหานาฬิกายี่ห้อดี ๆ สักเรือน
ก่อนจะข้ามเวลามาเขาเคยอ่านนิยายที่ตัวเอกไปหานาฬิกาแรร์ๆอย่าง “Rolex” ในร้านสินค้าฝากขาย ซึ่งไม่ต้องใช้คูปองแล้วก็ยังขายได้ราคาอีกในอนาคต
เขาไปที่ห้างสรรพสินค้าก่อนเพื่อซื้อนาฬิกาใหม่
ในยุคนี้ ห้างสรรพสินค้าแบ่งออกเป็นสามชั้น ชั้นหนึ่งจำหน่ายสินค้าเบ็ดเตล็ดเช่นอาหาร ของใช้ในชีวิตประจำวัน; ชั้นสองขายเสื้อผ้า อุปกรณ์ และสินค้าเหล็กกล้า; ส่วนชั้นสามขายสินค้าหรูหราและมีราคาแพงเช่นนาฬิกาและวิทยุ
พนักงานขายในห้างมักมีท่าทีหยิ่งผยองพอๆกับพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารเลย
โจวอี้หมินเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์นาฬิกาทันที
เขาเลือกนาฬิกายี่ห้อ “เซี่ยงไฮ้” เรือนหนึ่ง และยื่นคูปองนาฬิกาพร้อมเงิน 120 หยวนให้กับพนักงานขาย “คุณครับ ช่วยหยิบนาฬิกาเรือนนี้ให้ผมหน่อย”
พนักงานขายมองเขาอย่างงุนงง
ทำไมถึงซื้อเร็วขนาดนี้?
ต้องรู้ไว้ก่อนว่านาฬิกาถือเป็นสินค้าชิ้นใหญ่ ราคาเกินร้อยหยวน คนส่วนใหญ่จะดูนาน เลือกแล้วเลือกอีกจนพนักงานเบื่อหน่าย
“คุณแน่ใจว่าจะเอาเรือนนี้?”
โจวอี้หมินขมวดคิ้ว ก่อนถามกลับว่า “เรือนนี้มีปัญหาหรือเปล่าครับ?”
“พูดอะไรน่ะ ของใหม่จะมีปัญหาได้ยังไง”
“งั้นผมเอาเรือนนี้แหละครับ”
ช่างเถอะ แบบนี้ก็มีด้วย คนซื้อแบบไม่คิดมาก่อนก็ยังไม่เคยเจอ พนักงานขายรับคูปองนาฬิกากับเงิน 120 หยวน นับเงินสองรอบก่อนจะหยิบนาฬิกาให้โจวอี้หมิน
โจวอี้หมินลองใส่นาฬิกาดู พบว่าสายนาฬิกายาวเกินไปต้องตัดออกประมาณ 3 เซนติเมตร เขาจำได้ว่าข้อมือของปู่เล็กกว่าของเขาเล็กน้อย
เรื่องนี้ต้องหาช่างนาฬิกามาจัดการให้ ไม่ใช่เรื่องยาก
หลังจากออกจากห้างสรรพสินค้า โจวอี้หมินตรงไปยังร้านสินค้าฝากขายทันที ที่นั่นมีช่างนาฬิกามืออาชีพ
ร้านสินค้าฝากขายหรือเรียกอีกอย่างว่าร้านรับฝากขาย เป็นสถานที่รับซื้อขายสินค้าที่หลากหลายและมีไว้สำหรับการช่วยเหลือคนยากคนจน
ในร้านมีสินค้ามากมาย ไม่ได้จัดเรียงเป็นระเบียบแบบในห้างบรรยากาศภายในก็ดูมืดมนและหม่นหมอง
บนชั้นวางของ โต๊ะกระจกและพื้นเต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์เก่า เครื่องลายคราม เครื่องทองแดง เสื้อผ้า หนัง นาฬิกา จักรยาน และของเก่าอื่น ๆ ที่หลากหลาย
ในกรุงปักกิ่งมีร้านสินค้าฝากขายหลายร้าน โจวอี้หมินมาเลือกดูในร้านที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุด
หลังจากดูไปเรื่อย ๆ ก็พบกับนาฬิกาแบรนด์ “Patek Philippe” สภาพมือสอง เขาถามราคาดู ปรากฏว่าแค่ 80 หยวน
มีหรือจะรอช้า? เขารีบควักเงิน 80 หยวนจ่ายทันที
เขาพิจารณานาฬิกาแล้วเห็นว่ามันได้รับการดูแลรักษามาเป็นอย่างดี ถ้าเอาไปประมูลในอนาคต น่าจะได้เป็นแสนๆหยวนคงไม่ยาก
เขาจัดการตัดสายนาฬิกาใหม่ให้พอดีในร้านนี้ แล้วก็รีบออกจากร้านไป
โจวอี้หมินยังไม่รู้ว่า ขณะนี้มีคนกลุ่มหนึ่งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินทางมาที่หมู่บ้านโจวบ้านเกิดของเขา เป้าหมายคือตรวจสอบเรื่องบ่อน้ำที่เขาคิดค้นขึ้น หลังจากที่หัวหน้าหมู่บ้านหวังรายงานไป หน่วยงานข้างบนถึงกับตกตะลึง ราวกับได้ยินเรื่องมังกรออกจากถ้ำ รีบส่งคนมาดูความจริงด้วยตาตัวเองทันที
(จบบท)