ตอนที่แล้วบทที่ 22 ขาดเพียงปีกคู่หนึ่ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 24 มุ่งเป้ามาที่จุดอ่อน

บทที่ 23 มันอร่อยจริง ๆ หรือ?


บทที่ 23 มันอร่อยจริง ๆ หรือ?

ขณะที่แขกทุกคนในร้านกำลังรับประทานอาหาร พวกเขาก็หันไปมองที่ประตูห้องครัวเป็นครั้งคราว

หลังจากรออยู่พักหนึ่ง เมื่อซิ่วเอ๋อร์ปรากฏตัวอีกครั้ง ทุกคนก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นปีกสีขาวโพลนผุดขึ้นมาจากด้านหลังของเธอ

ทุกคน “!!!”

แม้จะเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่เมื่อเห็นปีกคู่นั้น พวกเขาก็ยังคงตกใจจนพูดอะไรไม่ออก

ในเวลานี้ มุมมองทั้งหมดของพวกเขาพลันแตกสลาย ราวกับแก้วที่แตกกระจายไปทั่วทุกสารทิศ

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พวกเขาต้องทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับโลกใบนี้ใหม่ทั้งหมด

แม้แต่ซ่งอวี้หลวนซึ่งเป็นคนที่ยอมรับสิ่งต่าง ๆ ได้ดีที่สุด ก็ยังรู้สึกยากที่จะยอมรับเรื่องนี้

เธอไม่เคยเห็นคนที่มีปีกมาก่อน ไม่เคยอ่านเจอในตำราเล่มไหน หรือแม้แต่ในตำนานของเทพเซียนก็ไม่มี

คนเราจะมีปีกได้อย่างไร? เทพเซียนสามารถทำให้คนมีปีกได้งั้นหรือ? แล้วเถ้าแก่จะทำให้ตัวเธอมีปีกได้ไหมนะ?

เฟิงหยวนหนิงปิดหน้าจอระบบ แล้วชื่นชมผลงานของตัวเองอย่างพึงพอใจ

การได้เห็นคนมีปีกเป็นครั้งแรกในชีวิต มันช่างน่าสนใจและเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่จริง ๆ

ไม่ใช่แค่ลูกค้าที่ความเชื่อพังทลาย เธอก็รู้สึกว่าโลกทัศน์ของตัวเองกว้างขึ้นมาก แต่เธอจะไม่แสดงออกมาให้คนอื่นเห็นหรอก

อาหารที่ซิ่วเอ๋อร์นำมาเสิร์ฟครั้งนี้คือข้าวผัดสับปะรด

เธอวางจานข้าวผัดสับปะรดลงบนโต๊ะของชีปั๋วหรงและพรรคพวกตำรวจ แล้วเดินกลับเข้าห้องครัวไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ชีปั๋วหรงมองตามเธอทุกฝีก้าว ขณะที่เธอหันหลังกลับ เขาฉวยโอกาสเอื้อมมือไปดึงขนนกเส้นหนึ่งจากปีกสีขาวนั้น

ดูเหมือนซิ่วเอ๋อร์จะรู้สึกตัว จึงหันกลับมามองเขา

ชีปั๋วหรงตื่นตกใจ หัวใจเต้นรัวลั่นไม่เป็นจังหวะ กลัวว่าซิ่วเอ๋อร์จะถามไถ่หรือดุด่าเขา

ทว่าซิ่วเอ๋อร์เพียงเหลือบมองเขาครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองเฟิงหยวนหนิง ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องครัวไปโดยไม่พูดอะไร

ชีปั๋วหรงถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก

เขายกขนนกขึ้นมามองใกล้ ๆ แล้วพิจารณาอย่างละเอียด

ขนนกอันนี้ดูเหมือนของจริงมาก ไม่ต่างจากขนนกของนกทั่วไปเลย หรือว่าปีกคู่นั้นจะงอกออกมาจากหลังของเธอจริง ๆ? แต่คนเราจะมีปีกได้อย่างไร? นี่ขัดกับสามัญสำนึกมากเกินไป

ทันใดนั้นก็มีเสียงใสของหญิงสาวดังขึ้น “เถ้าแก่ ทำให้เรามีปีกด้วยได้ไหมเจ้าคะ?”

คนที่พูดไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซ่งอวี้หลวน

ชีปั๋วหรงเงยหน้าขึ้นมอง แล้วหันไปมองเฟิงหยวนหนิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น

จะเกิดอะไรขึ้นหากคนอื่น ๆ ก็สามารถมีปีกเป็นของตัวเองได้? หลังจากมีปีกแล้ว จะสามารถเหาะเหินบินบนอากาศเหมือนกับนกได้หรือเปล่า?

เฟิงหยวนหนิงส่ายหัวอย่างไม่แยแส “ไม่ได้หรอก ซิ่วเอ๋อร์เป็นหุ่นเชิด ไม่ใช่มนุษย์ นางจึงติดปีกคู่นั้นได้ แต่พวกท่านทำไม่ได้”

ซ่งอวี้หลวนดูผิดหวังเล็กน้อย “เป็นอย่างนี้นี่เอง ก็จริง หากคนเรามีปีกคงจะแปลกประหลาดน่าดู”

ชีปั๋วหรงมองดูขนนกอยู่อีกสักพัก แล้วเก็บมันไว้ก่อน

ทันใดนั้นก็มีคนร้องเสียงหลงขึ้นมาจากโต๊ะว่า “อึก แย่แล้ว มียาพิษในอาหาร!”

ชีปั๋วหรงตกใจ หันไปมองตำรวจนายนั้นด้วยความสงสัยพร้อมถามคำ “เกิดอะไรขึ้น?”

เขาไม่ค่อยอยากเชื่อว่ามีพิษในอาหารจริง ๆ

ด้วยความสามารถของเถ้าแก่ หากต้องการทำร้ายใครสักคน คงไม่จำเป็นต้องลงมือวางยาพิษให้ยุ่งยาก

ทุกคน “???”

ซ่งอวี้หลวนถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “พูดจาไร้สาระ! เถ้าแก่จะมาวางยาพิษเจ้าได้อย่างไร?”

ไป๋ฮ่าวเกอพูดเสริม “จริงด้วย ด้วยสถานะของเถ้าแก่ คงไม่ทำเรื่องเช่นนั้นได้”

ชีปั๋วหรงกระแอมในลำคอ “ถูกต้องแล้ว เจ้ากำลังเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า?”

กัวอี้ถังทานเนื้อปลาอย่างมีความสุข พลางเหลือบมองด้วยความสงสัย เขาซึ่งเป็นบุตรชายของผู้อาวุโสแห่งหุบเขาการแพทย์ยังไม่เคยมีเรื่องราวอะไรกับเถ้าแก่ แล้วเหตุใดเถ้าแก่ต้องไปวางยาพิษตำรวจธรรมดาคนหนึ่ง?

นายตำรวจที่กล่าวอ้างว่าถูกวางยาพิษ ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาคลอเบ้า พยายามแก้ตัวอย่างสุดชีวิตว่า “หัวหน้าขอรับ มันมีพิษจริง ๆ ลิ้นของข้าเจ็บปวดจนแทบสิ้นสติแล้ว!”

“…” เฟิงหยวนหนิงอดไม่ได้ที่จะกลอกตา “เจ้าไปกินพริกที่อยู่ในไก่ผัดพริกแห้งมาใช่หรือไม่? แม้แต่พริกแบบนี้ยังกล้ากินเข้าไปโดยตรง ช่างกล้าหาญยิ่งนัก”

“หรือว่าพริกนั่นจะมีพิษ?” นายตำรวจที่กล่าวอ้างว่าถูกวางยาพิษหน้าซีดเผือด ก่อนที่จะกินพริกในจานอาหารนี้ เขาได้รับข้อมูลมาว่าพริกพวกนี้ใช้สำหรับการปรุงรส

ในเมื่อหัวหอมและกระเทียมสามารถกินได้ แล้วทำไมจะกินพริกไม่ได้? เขาจึงไม่ลังเลที่จะคีบพริกขึ้นมากิน

ไหนเลยจะรู้ว่าต้องลงเอยเช่นนี้

เฟิงหยวนหนิงนั่งพิงโซฟาอย่างสบายอารมณ์ “มันไม่พิษ แค่เผ็ด โดยพื้นฐานแล้วความเผ็ดนั้นเป็นความเจ็บปวดอย่างหนึ่ง พริกแบบนี้ใช้สำหรับปรุงรส ไม่ได้เอาไว้กินโดยตรง ปกติแล้วแม้แต่คนที่ชื่นชอบอาหารเผ็ด ยังไม่กินพริกแห้งพวกนี้เลย”

ซ่งอวี้หลวนหัวเราะเยาะเย้ย “ฮ่า ๆ โชคดีที่ข้ามีวิสัยทัศน์ ไม่ได้กินพริกเหล่านี้เข้าไป”

แค่ใส่พริกไว้ในจานเพื่อเพิ่มรสชาติ ก็ทำให้ส่วนผสมอื่น ๆ มีรสเผ็ดขนาดนั้น เธอคงไม่โง่พอที่จะกินพริกเข้าไปตรง ๆ หรอก

ชายโง่คนนั้นดวงซวยไปหน่อย ยังไม่ทันได้ชิมอาหารอย่างอื่น ก็ดันคีบพริกไปกินตั้งแต่คำแรก

“…” นายตำรวจที่กล่าวอ้างว่าถูกวางยาพิษถึงกับอยากจะร้องไห้ “ทว่า การนำสิ่งที่น่ากลัวอย่างพริกมาปรุงรส อาหารจานนี้มันจะอร่อยจริง ๆ เหรอ?”

นายตำรวจคนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วย

ใช่แล้ว แค่พริกเพียงเม็ดเดียวก็ทำให้คนเราตกอยู่ในสภาพย่อยยับขนาดนี้ การเอาสิ่งนี้มาปรุงรส แล้วไก่ผัดพริกแห้งจานนี้จะอร่อยได้อย่างไร?

“ใช่ เหตุใดต้องนำของแบบนี้มาปรุงรสด้วย?”

“คราแรกข้าก็คิดว่าพริกพวกนี้ดูแปลก ๆ ปรากฏว่ามันเป็นไปตามที่ข้าคาดไว้”

ทันใดนั้นพวกเขาตระหนักได้ว่า ตอนนี้ยังอยู่ในร้านของคนอื่น การวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้จะทำให้เถ้าแก่ขุ่นเคืองหรือไม่? พวกเขาจึงรีบหันไปดูปฏิกิริยาของเฟิงหยวนหนิง แต่กลับพบว่าเธอมองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีทีท่าว่าจะโกรธเลยแม้แต่น้อย

พวกเขาทั้งหมดจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หนึ่งในบรรดานายตำรวจกล่าวขึ้นอีกว่า “ความจริงแล้ว ข้าวผัดสับปะรดจานนี้ก็แปลก ๆ อะแฮ่ม”

เขาไม่ได้พูดอะไรต่อหลังจากนี้ เพียงแค่บ่นพึมพำอยู่ในใจ

มีเหตุผลอะไรที่ต้องเอาผลไม้มาผัดกับข้าว? มันเป็นรสหวานกับรสเค็มไม่ใช่เหรอ? แปลกประหลาดจริง ๆ

เฟิงหยวนหนิง “…” ชอบก็กิน ถ้าไม่อยากกินก็แล้วแต่

หลิงจิ่งผู้กินเผ็ดไม่ได้ รู้สึกเหมือนเจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์ เขาพยักหน้าเห็นด้วย “การใช้พริกมาปรุงรสไม่เหมาะสมจริง ๆ…”

ซ่งอวี้หลวนพลันหันไปจ้องตาเขม็ง ขัดจังหวะคำพูดของเขาทันที “มีอะไรไม่เหมาะสม? ตัวเองกินเผ็ดไม่ได้ นั่นมันเป็นปัญหาของเจ้าเอง จะไปโทษว่าพริกเผ็ดเกินไปได้อย่างไร?”

หลิงจิ่งรีบปิดปากเงียบ ไม่กล้าพูดอะไรต่อ

ซ่งอวี้หลวนหันไปต่อว่าบรรดานายตำรวจ “พวกเจ้าเองก็ยังไม่ทันได้ลองชิม แล้วมีสิทธิ์อะไรมากล่าวหาว่าอาหารเหล่านี้ไม่ดี? เถ้าแก่เตือนแล้วว่าห้ามสิ้นเปลืองอาหาร พวกเจ้าจัดการเอาเองเถิด”

หัวหน้าหน่วยสืบสวนชีปั๋วหรงได้เตรียมใจมาบ้างแล้ว จึงคีบเนื้อไก่จากจานไก่ผัดพริกแห้งใส่ปาก ก่อนจะเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

เลิศรสกว่าที่เขาคิดไว้มาก!

นี่คือรสเผ็ดงั้นเหรอ? รสเผ็ดแบบนี้มันไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่เลยสักนิด แต่กลับรู้สึกน่าตื่นเต้นและติดใจเสียมากกว่า

เขาอดไม่ได้ที่จะเร่งความเร็วในการคีบเนื้อไก่เข้าปากไม่หยุด ปากยังเคี้ยวไม่ทันเสร็จ ก็คีบคำที่สองเข้าไปแล้ว

เนื้อไก่กรอบนอกนุ่มใน ทำให้เคี้ยวเพลิน น้ำซอสที่เคลือบอยู่ด้านนอกหอมหวานและเผ็ดร้อน กินแล้วสดชื่นมาก

ตำรวจคนอื่น ๆ เห็นชีปั๋วหรงกินเร็วขึ้นเหมือนกับภูตผีที่หิวโหย จึงอดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจ

ที่แท้หัวหน้าของพวกเขาก็เป็นคนแบบนี้หรอกหรือ เขาแกล้งทำเป็นว่าประทับใจกับอาหารเพื่อเอาใจเถ้าแก่ ช่างน่าอับอายจริง ๆ

ทว่า เถ้าแก่บอกห้ามสิ้นเปลืองอาหาร…

เช่นนั้นต้องฝืนกินลงไปจริง ๆ เหรอเนี่ย?

นายตำรวจรูปร่างกำยำที่นิ่งเงียบมาตลอดคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบตะเกียบขึ้นมา ตักข้าวผัดสับปะรดมาใส่ถ้วยของตัวเอง

เขาไม่เหมือนกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ เมื่อวานภรรยาของเขาแอบมาซื้อสินค้าจากโรงแรมนี้โดยที่เขาไม่รู้ตัว ทำให้เขาได้ลองทานทั้งบะหมี่และหม้อไฟสำเร็จรูป

ในเมื่ออาหารที่ขายอยู่ด้านนอกยังอร่อยถึงขนาดนั้น เขาจึงคิดว่าอาหารที่ขายด้านในคงจะไม่ด้อยไปกว่ากัน

เขาลองชิมข้าวผัดคำแรกก็ต้องตกใจจนตาค้าง

โดยส่วนตัวเขาเองก็คิดว่า การนำผลไม้มาผัดกับข้าวนั้นประหลาด แต่ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะเข้ากันได้ดีและรสชาติอร่อยถึงขนาดนี้?!

เนื้อสับปะรดหวานฉ่ำ รสชาติหอมหวานของสับปะรดแทรกซึมเข้าไปในข้าว ช่วยลดความเลี่ยนของข้าวผัด ทำให้รู้สึกสดชื่นในปากทุกครั้งที่กิน

เขาตักข้าวคำโต ๆ กินรวดเดียวจนหมดถ้วยอย่างรวดเร็ว

เขาหันไปมองเพื่อนร่วมงานที่มองมาด้วยสายตาสงสัยและสับสน ก่อนจะเลื่อนจานข้าวผัดสับปะรดมาหาตัวเอง พร้อมกับพูดว่า “หากพวกเจ้าไม่กิน เช่นนั้นข้าจะช่วยกินแทนให้หมดแล้วกัน”

สหายตำรวจ “…”

ในที่สุดก็มีคนเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

หากคนเดียวแสดงท่าทีแปลก ๆ อาจจะบอกว่าแกล้งทำ แต่หากมีสองคนที่แสดงท่าทีแปลก ๆ ออกมาเหมือนกัน นี่คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วใช่ไหม?

ในเวลานี้ ซิ่วเอ๋อร์ยกอาหารอีกจานมาวางที่โต๊ะ ซึ่งเป็นเมนูกุ้งมังกรน้ำจืดผัดซอสหมาล่า

ชายคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกุ้งมังกรน้ำจืดขึ้นมาหนึ่งตัว ค่อย ๆ ปอกเปลือกแล้วใส่เข้าปาก

ร่างกายของเขาพลันสั่นสะท้านทันใด จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบกุ้ง ปอกเปลือก และกินอย่างรวดเร็วราวกับมีคนมาไขลาน

สหายตำรวจ “…”

“อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“มันอร่อยจริง ๆ หรือ?”

“คงไม่ได้แกล้งทำหรอกใช่ไหม?”

“ช้าก่อน ขอข้าลองชิมบ้าง”

ไม่นานหลังจากนั้น

ตำรวจทุกนายต่างก็เข้าร่วมการแย่งชิงอาหารกันอย่างดุเดือด

“ช้าหน่อย ช้าหน่อย อย่ามาแย่งข้าได้หรือไม่?”

“มันมากเกินไปแล้ว อาหารอร่อยขนาดนี้ เหตุใดจึงไม่บอกกันบ้าง เอาแต่กินอยู่คนเดียว”

“มีอาหารมาเพิ่มอีกแล้ว เป็นวุ้นใส่น้ำเชื่อม เหมือนจะมีกลิ่นหอมของดอกไม้ หน้าตาสวยงาม ข้าแทบไม่กล้ากินเลยเนี่ย เฮ้ย เจ้าพวกขี้ขโมย ช่วยกินช้า ๆ หน่อยได้ไหม?!”

“หวานชื่นใจ เย็นฉ่ำมาก หลังจากกินของเผ็ด ๆ แล้วมากินวุ้นเย็นแบบนี้ มันสดชื่นไปทั้งร่างกาย”

“เถ้าแก่ขอรับ ขอวุ้นเย็นเพิ่มอีกถ้วยได้ไหม?”

“เถ้าแก่ขอรับ เป็นพวกเราที่เข้าใจผิดไปเอง ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเราไม่เคยกินของอร่อย ๆ แบบนี้มาก่อน จนเข้าใจผิดคิดว่าอาหารที่ร้านท่านไม่ดี ข้ากล้ารับประกันเลยว่า ไม่มีอาหารไหนอร่อยไปกว่าอาหารจากที่นี่อีกแล้ว”

“นี่มันไม่ใช่อาหารของคนธรรมดาแล้ว แต่เป็นอาหารชั้นสูงที่เหล่าเทพเซียนบนสวรรค์เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้กิน”

กัวอี้ถังฟังสิ่งที่พวกเขาพูด แล้วเหลือบมองจานอาหารของตัวเอง จากนั้นมองไปทางอาหารบนโต๊ะอื่น ๆ ด้วยความโล�

เขาได้ลิ้มรสอาหารอันโอชะเพียงสองอย่างเท่านั้น ในขณะที่คนอื่น ๆ กลับสามารถลิ้มรสอาหารหลายอย่างพร้อมกัน

ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

เขาเองก็อยากลองชิมบ้างเหมือนกัน

ทว่าหากสั่งอาหารหลายอย่าง ลำพังตัวเขาคงกินไม่หมดแน่ ๆ

ด้วยความคิดที่ว่าเดี๋ยวเขาก็ต้องพักอยู่ในโรงแรมนี้ จึงให้ผู้ติดตามทั้งสองคนกลับไปยังหุบเขาการแพทย์ เพื่อนำของที่ซื้อกลับไปไว้ที่บ้าน

ทำให้ตอนนี้เขาไม่มีพรรคพวกมาช่วยแบ่งเบาภาระในการทานอาหารเลย

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด