บทที่ 193-194
[-แปลโดยแฟนเพจ ยักษาแปร มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ-]
[-Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอนแต่จะราคาแพงที่สุด-]
[-หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ100คน ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบไม่มีการแก้คำผิด และยิบย่อยมากมาย ไปนั่นแหละ-]
บทที่ 193 พี่ชายซู??? (II)
"การวิเคราะห์ของคุณหนูซือคงมีเหตุผลมาก" เผ่ยมู่เฟิงกล่าว
"อืม" เหมิงฉีพยักหน้าอย่างแรง นางไม่สามารถคิดได้ละเอียดขนาดนี้ แต่เมื่อฟังการอนุมานของซือคงซิง นางไม่สงสัยในความเป็นไปได้เลย
"เหอะๆ" ซือคงซิงยิ้มอย่างร่าเริง "ใช่ไหมล่ะ? ดังนั้นคนๆนี้ต้องเป็นศัตรูของเจ้าสำนักเผ่ย หรือ..." นางหรี่ตาลงอีกครั้ง "ผู้บ่มเพาะที่ไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมและจงใจก่อปัญหาเพราะความแค้น!"
"ใช่ๆ" เหมิงฉีพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า "ซิงซิง เจ้าสุดยอดมาก!"
"เหอะๆ" ซือคงซิงเสยผมที่หลุดรุ่ยไปด้านหลังใบหู "แน่นอน นี่เป็นแค่การคาดเดาของข้า เพื่อความแน่ใจ เจ้าสำนักเผ่ยต้องส่งคนไปตรวจสอบ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินการประชุม"
"มีอีกเรื่องหนึ่ง" ในที่สุดซูจุนโม่ก็ตามทัน "นอกจากจะทำให้สำนักแพทย์ขนาดใหญ่เสียหน้า คนๆนี้ยังสามารถสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองได้อีกด้วย ในระหว่างการประชุมผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ นอกจากสำนักแพทย์แล้ว ยังมีผู้บ่มเพาะอิสระจำนวนมากที่ไม่มีสังกัด และแม้แต่ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสำนัก หากคนๆนี้ต้องการรวบรวมกลุ่มผู้บ่มเพาะและสร้างสำนักใหม่ นี่เป็นโอกาสที่ดีอย่างแน่นอน"
"เจ้าพูดถูก!" ซือคงซิงพยักหน้า "พวกเขาสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อก้าวกระโดดสำนักของพวกเขา"
"ตอนนี้ข้าค่อนข้างสงสัย" ซูจุนโม่ขมวดคิ้ว "ทำไมคนๆนี้ถึงมั่นใจว่าไม่มีใครรู้จักอาคม จนคิดว่าจะไม่มีใครมาทำลายแผนการนี้?"
"ในสามภพ ความรู้และมรดกของอาคมส่วนใหญ่ถูกตัดขาดไปเมื่อหมื่นปีก่อน มีเพียงไม่กี่คนที่รอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้" เผ่ยมู่เฟิงกล่าว "อาจารย์ของข้ามีเพื่อนสนิทที่เป็นผู้บ่มเพาะอาคม ตามที่เขาบอก การบ่มเพาะอาคมสูญเสียไปมากในช่วงภัยพิบัติ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างความรุ่งเรืองเฉกเช่นยุคโบราณขึ้นมาใหม่"
"ใช่" เมื่อพูดถึงเรื่องสำคัญ ซูจุนโม่ก็จริงจังขึ้นเช่นกัน "แม้แต่ในอาณาจักรอสูร ก็ไม่มีมรดกที่สมบูรณ์หลงเหลือจากยุคโบราณ อาณาจักรมารก็ไม่ต่างกัน ด้วยเหตุนี้ เป็นเวลาหมื่นปี ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด มนุษย์ อสูร หรือมาร ต่างก็เต็มไปด้วยความปรารถนาต่อทะเลแห่งดวงดาว ผู้บ่มเพาะนับไม่ถ้วนพยายามทุกวิถีทางเพื่อไปที่นั่น เพราะว่าหากพวกเขาสามารถค้นพบสมบัติและบันทึกที่หลงเหลือจากผู้บุกเบิกที่ล่วงลับ พวกเขาก็สามารถสร้างมรดกที่สูญหายไปมากมายขึ้นมาใหม่ได้"
เหมิงฉีรู้สึกโหยหาขึ้นมาทันที ไม่เพียงแต่การบ่มเพาะอาคมเท่านั้น แต่การบ่มเพาะวิชาแพทย์ก็สูญเสียมรดกไปมากมายในช่วงภัยพิบัติเช่นกัน
นางจะมีโอกาสได้เข้าไปในทะเลแห่งดวงดาวสักวันหนึ่งหรือไม่?
"ถึงแล้ว" ระหว่างที่พูดคุยกัน ทั้งสี่คนก็มาถึงทางเข้าโรงเตี๊ยมหลู่อี้ในไม่ช้า
เผ่ยมู่เฟิงหยุด ก่อนจะมองไปที่ใบหน้าของเหมิงฉี "อีกสองวัน การประชุมผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์จะเริ่มขึ้น โปรดอย่าไปไหนโดยไม่ระวัง ผู้เตรียมการซ่อนตัวอยู่ในความมืด และเราไม่รู้ว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวอีกครั้งเมื่อใด" เขาหยุดชั่วครู่ "ระวังตัวด้วย"
"พวกเราเข้าใจแล้ว" เหมิงฉีพยักหน้า
เผ่ยมู่เฟิงมองนางเป็นครั้งสุดท้ายอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะหันหลังและเดินจากไป ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่และแข็งแรงดุจต้นสน ต้นสนแสงแดดยามเช้าส่องลงมาบนร่างของเขาอย่างแผ่วเบา และทอดเงาลงบนถนนหินสีน้ำเงินที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ
เหมิงฉียืนอยู่ที่ประตูโรงเตี๊ยมหลู่อี้ มองดูร่างของเผ่ยมู่เฟิงที่กำลังจากไป
ซูจุนโม่มองไปที่เหมิงฉี จากนั้นก็มองไปที่เผ่ยมู่เฟิงซึ่งเกือบจะหายลับไปในระยะไกล เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างจริงๆ แต่ไม่กล้าพูดกับเหมิงฉี
"เข้าไปกันเถอะ" ซูจุนโม่ยื่นมือออกมาบังสายตาของเหมิงฉี ไม่ให้นางมองเผ่ยมู่เฟิงต่อไป
"จริงสิ" หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า "เหมิงฉี เจ้าเจอร้านนั้นหรือยัง?"
"เจอแล้ว" เหมิงฉีพยักหน้า ในที่สุดนางก็ละสายตาและหันไปหาซูจุนโม่ ทันใดนั้น รอยยิ้มของนางก็บานสะพรั่งราวกับดอกไม้ "แน่นอน ร้านนั้นหาง่าย ขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำของพี่ชายซู"
ไม่ ไม่ โปรดอย่าขอบคุณเขาเลย!
นางยิ้มแบบนี้ ข้าชักกลัวเล็กน้อยนะ!
ซูจุนโม่ยังไม่ทันได้สงบสติอารมณ์ แต่เหมิงฉีก็หันหลังและเดินเข้าไปในประตูโรงเตี๊ยมหลู่อี้แล้ว นางรู้ว่าซูจุนโม่กำลังเดินตามหลัง พึมพำเสียงเบาและเหลือบมองนางเป็นครั้งคราว แต่เหมิงฉีก็แค่ยิ้มอย่างเงียบๆ
ในที่สุดทั้งสามคนก็มาถึงลานเรือนที่พวกเขาเช่าไว้ เหมิงฉีกล่าวลาอีกสองคน จากนั้นก็เดินไปที่ห้องของนาง อารมณ์ของนางดีมาก เสียงฝีเท้าที่วุ่นวายดังตามมาจากด้านหลัง นางรู้ว่ามันเป็นของซูจุนโม่ ชายคนนั้นเดินไปมาในลานเรือนหลายรอบอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนจะไม่พอใจตัวเองเล็กน้อย
เหมิงฉีขอโทษซูจุนโม่ในใจอย่างเงียบๆ เมื่อมือของนางกำลังจะสัมผัสประตู นางก็หันกลับมาทันที "อ๊ะ รอเดี๋ยวก่อน พี่ชายซู"
"หืม?" ซูจุนโม่มองไปที่เหมิงฉี "มีอะไรเหรอ?"
"น้ำตกเมฆ...ท่านรู้ไหมว่ามันทำมาจากอะไร?" เหมิงฉีเอียงศีรษะเล็กน้อย มองซูจุนโม่ด้วยสายตาซุกซน "มันสวยงามมาก แต่ข้าไม่เคยเห็นที่ไหนเลยในสามภพ"
"น-น-น้ำตก...เมฆเหรอ?" ซูจุนโม่พูดตะกุกตะกัก เขาไม่กล้ามองตาเหมิงฉี
"เหมิงฉี แล้วน้ำตกเมฆมันเป็นยังไง?" ซือคงซิงถามขึ้นมาบ้าง
"สวยงามมาก" เหมิงฉีบรรยาย "มันเหมือนน้ำตก แต่แทนที่จะเป็นน้ำ กลับมีเมฆสีขาวเทลงมาจากเบื้องบน น่าทึ่งมาก!"
"อ๊ะ!" ซือคงซิงอุทาน "ข้ารู้แล้ว! พวกเราก็มีแบบนั้นในอาณาจักรอสูรเหมือนกัน! ถ้าข้าจำไม่ผิด...ข้าเคยได้ยินอาจารย์พูดว่าเจ้าแห่งอสูรคนปัจจุบันชอบน้ำตกเมฆ ที่พักของเขามีเมฆและหมอกดูเหมือนจะเทลงมาจากท้องฟ้าเหมือนน้ำตก มันสวยงามมาก มันคล้ายกับที่เจ้าว่าไหม?"
"ใช่" เหมิงฉียกคิ้วขึ้นแล้วยิ้ม
บทที่ 194 นางไม่จำเป็นต้องถูกผูกมัด (I)
“มีอยู่ในอาณาจักรอสูรด้วยหรือ?” เหมิงฉีพึมพำกับตัวเอง ราวกับจงใจให้ซูจุนโม่ได้ยิน "ถ้ามีโอกาส ข้าต้องไปดูให้เห็นกับตา"
"ดีเลย" ซือคงซิงตอบอย่างกระตือรือร้น "ถึงตอนนั้น ข้าจะนำทางเจ้าเอง อาณาจักรอสูรมีสถานที่สวยงามมากมาย และยังมีของอร่อยและสนุก ๆ มากมายด้วย แต่มีหลายพื้นที่ที่เราไม่สามารถไปได้ สถานที่เหล่านั้นปฏิเสธผู้บ่มเพาะมนุษย์"
"อืม" เหมิงฉียิ้ม นางยืดตัว หันหลังกลับ แล้วเดินเข้าไปในห้องของนาง "เช่นนั้นข้าขอตัวไปพักผ่อนแล้ว"
นางปิดประตูลง ข้างนอก ซูจุนโม่และซือคงซิงกำลังพูดหยอกล้อกันตามปกติ และเสียงของพวกเขาก็ค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ
เหมิงฉีสูดหายใจเข้าลึก ๆ และนั่งลงที่โต๊ะ นางหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา หยิบพู่กัน แล้วเขียนว่า 'เจ้าผู้ปกครองแห่งเสือขาว'
สามคำบนกระดาษสีขาวดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นต่อหน้าต่อตานาง
ครั้งแรกที่นางเห็นชายอาภรณ์สีขาวที่ดูเหมือนอาจารย์ไม่มีผิดเพี้ยนคือภายในบันทึกเปลวเพลิงของวังสวรรค์เฟินเทียน ฉู่เทียนเฟิงเรียกเขาว่า 'ผู้ครองแห่งเสือขาว' ตอนนั้นนางไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะอาจารย์ไม่เคยบอกว่าท่านเป็นผู้บ่มเพาะอสูร และเหมิงฉีก็ไม่เคยได้ยินท่านพูดถึงอาณาจักรอสูร เกือบทุกเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรอสูรที่นางรู้มาจากการพูดไม่หยุดของจิ้งจอกขาวที่ได้รับบาดเจ็บ
เหมิงฉีเขียนลงบนกระดาษอีกครั้งว่า 'แดนประจิม สำนักลับ' นี่คือสิ่งที่อาจารย์บอกนางเกี่ยวกับภูมิหลังของท่านเมื่อพวกเขาพบกันในชาติก่อน และนางไม่เคยสงสัยเลย แม้แต่ตอนนี้ นางก็จะไม่สงสัยในคำพูดใด ๆ ที่อาจารย์เคยพูด
การบ่มเพาะพลังในสามภพกำลังเสื่อมถอย และมรดกของอาคมก็เกือบจะขาดหายไป การที่จะมีสำนักที่ซ่อนตัวจากโลกภายนอกที่จะมีความรู้เกี่ยวกับอาคมมากมายเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่จะจินตนาการได้ บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องจริง ในฐานะสำนักลับ บางทีพวกเขาอาจไม่เคยเข้าร่วมในการต่อสู้วุ่นวายของสามภพด้วยซ้ำไป
เหมิงฉีเอียงศีรษะเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เสี่ยวชีได้ออกมาจากเรือนสัตว์อสูร มันกระโดดเบา ๆ และอยู่บนโต๊ะโดยไม่มีเสียง จ้องมองไปที่กระดาษตรงหน้าเหมิงฉี ร่องรอยของความสงสัยแวบผ่านดวงตาสีฟ้าครามของมัน
เหมิงฉีเงยหน้าขึ้นและยิ้ม นางยื่นมือออกไปลูบหัวเจ้าตัวน้อย จากนั้นหยิบพู่กันขึ้นมาอีกครั้งเพื่อเขียนบรรทัดที่สาม 'เจ้าแห่งอสูร'
เสี่ยวชีค่อยๆ ลดกรงเล็บที่มันยกขึ้น มันเหลือบมองข้อความบนกระดาษ ดวงตาของมันเป็นประกาย
มันก้าวถอยหลังไปสองก้าวด้วยความยากลำบาก
"เสี่ยวชี" เหมิงฉีรั้งมันไว้ นางวางมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ เท้าคางลงบนฝ่ามือ ดวงตาของนางอยู่ในระดับเดียวกับเสี่ยวชี นางจ้องมองดวงตาสีฟ้าของมันและถามว่า "เจ้าเป็นสมาชิกของเผ่าเสือขาวอสูรสวรรค์จริง ๆ หรือ?"
เสี่ยวชี "???"
"เจ้ารู้จักผู้ปกครองแห่งเสือขาวหรือไม่?" นางถามอีกครั้ง
เสี่ยวชี "!!!"
"ข้าได้ยินมาว่าอสูรสวรรค์เป็นผู้บ่มเพาะโดยกำเนิด ทันทีที่พวกเขาเกิด พวกเขาสามารถใช้เงาดาวในร่างกายเพื่อเริ่มบ่มเพาะ ดังนั้นพวกเขามักจะมีพลังมากตั้งแต่อายุยังน้อย" เหมิงฉีลูบหัวนุ่มฟูของเสี่ยวชีอย่างรักใคร่ "น่าเสียดายที่เจ้าได้รับบาดเจ็บ ไม่เช่นนั้นเจ้าต้องแข็งแกร่งกว่าข้ามากแน่ ๆ"
รอยยิ้มของเหมิงฉีลึกซึ้งขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาแต่แน่วแน่ นางให้สัญญาอย่างจริงจังว่า "ข้าจะรักษาเจ้าให้หายแน่นอน!"
ดวงตาของเสี่ยวชีเป็นประกายด้วยความประหลาดใจ
เมื่อรู้สึกดีขึ้น เหมิงฉีก็เก็บพู่กัน พับกระดาษ และเก็บเข้าไปในมิติเก็บของอย่างระมัดระวัง จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมองเสือขาวตัวน้อยที่ยังคงจ้องมองนางอยู่ นางยื่นมือออกไปอุ้มมันขึ้นมา แล้วเดินไปที่เตียง
เสือขาวตัวน้อยที่ยังคงอยู่ในภวังค์ ไม่ได้ดิ้นรนเลย เมื่อมันได้สติ เหมิงฉีก็นอนอยู่บนเตียงพร้อมกับมันอยู่ในอ้อมแขนของนางแล้ว
นางพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนจะต้องการระบาย เหมิงฉีโน้มตัวลงและกระซิบกับเสี่ยวชีที่นอนอยู่ข้าง ๆ นางว่า "ถ้ามีคนในโลกนี้ที่ปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดีและสมควรได้รับความไว้วางใจจากเจ้าอย่างสุดหัวใจ เจ้าจะทำอย่างไร?"
นางยังรู้สึกว่าคำถามของนางแปลกและไม่เข้าเรื่อง แม้ว่าเสี่ยวชีจะเป็นสมาชิกของเผ่าเสือขาวอสูรสวรรค์ แม้ว่ามันจะเป็นของเผ่าราชวงศ์แห่งอาณาจักรอสูร แต่มันก็เป็นแค่น้องเสือตัวน้อยที่ยังไม่โตเต็มวัย
เหมิงฉีเกาคางของเสี่ยวชีเบา ๆ เมื่อมองไปที่ใบหน้าน้อยน่ารักที่ดึงดูดใจนาง นางก็พูดด้วยความมุ่งมั่นว่า "ข้ายังคงเลือกที่จะเชื่อเขา ตราบใดที่มันเป็นคำพูดของเขา ข้าเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่"
เสี่ยวชี "???"
เมื่อพูดจบ เหมิงฉีก็ถอนหายใจยาว หันหลังกลับ และนอนราบลงบนเตียง
เมาสุราในเมืองเฟินเทียนและฝันเห็นชายอาภรณ์สีขาวในแดนเหนือสวรรค์ น้ำตกเมฆา ถุงหินวิญญาณที่ปรากฏขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เสียงของชายคนหนึ่งนอกตำหนักฮวาเจียง อาคมที่แข็งแกร่งกว่าสิ่งใดที่นางเคยใช้...
แล้วก็มีหอตำราฟ้าดินพร้อมข้อมูลเกี่ยวกับข่ายอาคมสี่ขั้วที่ปรากฏขึ้นมาทันเวลาพอดี...
เหมิงฉีหัวเราะคิกคักออกมาทันที ทำไมนางต้องดิ้นรนกับปัญหาเหล่านี้ด้วย? ถึงกับต้องจงใจทดสอบซูจุนโม่
อาจารย์ของนางเคยคิดทำร้ายนางแม้แต่ครั้งเดียวหรือไม่? คำตอบคือไม่
อาจารย์ปฏิบัติต่อนางดีหรือไม่? ดีมาก!
ท่านปฏิบัติต่อนางดีมาก มอบให้นางมากมายจนนางไม่สามารถตอบแทนท่านได้แม้จะใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางมี
แม้สวรรค์จะประทานโอกาสให้เกิดใหม่หนหนึ่ง ก็ยังได้รับสิ่งดีๆ มากมายถึงเพียงนี้
ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดอีกต่อไป! ข้าเพียงต้องฝึกตนให้แข็งแกร่งที่สุด หากข้าไม่ต้องอ่อนแอเหมือนชาติที่แล้ว สามารถบรรลุขั้นแก่นทองคำด้วยตนเองได้ ครานี้เมื่อพบเขาอีกครั้ง หรือเมื่อเขายอมพบข้า เขาคงยินดีรับข้าเป็นศิษย์
เหมิงฉีหันไปบีบหูของเสี่ยวฉีเบาๆ หลังจากปลดเปลื้องเรื่องที่ติดค้างในใจ นางรู้สึกเบาสบาย “หลับฝันดีนะ เสี่ยวฉีของข้า”
ทันใดนั้น เหมิงฉีก็ผล็อยหลับไป ขนตางอนยาวของนาง เมื่อหลับตาลงอย่างสงบ นางดูงดงามและอ่อนโยน ราวกับเป็นเพียงเด็กสาววัยสิบเจ็ดสิบแปด
เสี่ยวฉียังคงมึนงง เขาจ้องมองใบหน้าที่หลับใหลของเหมิงฉีครู่หนึ่ง จากนั้นก็ผ่อนคลายร่างกายลง ช่วงเวลานี้ พวกเขาอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน แทบไม่แยกจากกัน เขาชักเริ่มคุ้นเคยกับการนอนหลับเช่นนี้เสียแล้วสิ