บทที่ 185-186
[-แปลโดยแฟนเพจ ยักษาแปร มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ-]
[-Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอนแต่จะราคาแพงที่สุด-]
[-หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ100คน ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบไม่มีการแก้คำผิด และยิบย่อยมากมาย ไปนั่นแหละ-]
[-แปลโดยแฟนเพจ ยักษาแปร มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ-]
[-Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอนแต่จะราคาแพงที่สุด-]
[-หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ100คน ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบไม่มีการแก้คำผิด และยิบย่อยมากมาย ไปนั่นแหละ-]
บทที่ 185 หอตำราฟ้าดิน (I)
"ไม่ต้อง" เฉิงเจิ้งเหิงกล่าวอย่างงุนงงเล็กน้อย "หากเป็นหินวิญญาณ พวกเรามีอยู่"
"อาจารย์" หลี่เช่อเอ่ยขึ้น "ศิษย์ก็มีหินวิญญาณ"
อาจารย์และศิษย์ต่างล้วงหยิบถุงผ้าไหมใบเล็กๆ ออกมาจากมิติเก็บของ หลี่เช่อคลำหาและยื่นมันให้เหมิงฉี ในขณะที่เฉิงเจิ้งเหิงผลักถุงอาภรณ์ไหมเข้าไปในมือของนางโดยตรง
เหมิงฉีได้แต่มองอย่างงุนงง
ซูจุนโม่และซือคงซิงก็ได้แต่มองอย่างงุนงงเช่นกัน
มีเพียงสีหน้าของเผ่ยมู่เฟิงที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับว่าสำหรับเขา ทุกสิ่งที่เหมิงฉีพูดหรือทำเป็นเรื่องปกติ
เหมิงฉีเปิดถุงผ้าไหมใบเล็กๆ ออกมาดู แล้วก็ส่งคืนหนึ่งในนั้น นางคำนวณในใจ หลี่เช่อดูเหมือนจะไม่ได้มีใจปฏิพัทธ์ลู่ชิงหรัน ทั้งสองน่าจะเป็นเพียงสหายธรรมดากัน เมื่อลู่ชิงหรันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบุรุษอื่น หลี่เช่อไม่เคยแสดงความไม่พอใจหรือหึงหวง กลับยิ้มด้วยความยินดีทุกครั้ง
เอาล่ะ พวกเขาต้องเป็นเพียงสหายกันเท่านั้นแน่
เหมิงฉีโยนถุงที่มีหินวิญญาณจำนวนน้อยกว่าเข้าไปในมิติเก็บของของนาง แล้วพูดกับเฉิงเจิ้งเหิงและหลี่เช่อว่า "ข้ายังไม่ทราบแน่ชัดว่ามันคืออาคมใด ข้าต้องตรวจดูอีกครั้ง"
"ข้าเข้าใจแล้ว" เฉิงเจิ้งเหิงพยักหน้า "เช่นนั้นพวกเราขอรบกวนคุณหนูเหมิงแล้ว"
เฉิงเจิ้งเหิงไม่ได้ซักถามเหมิงฉี ผู้บ่มเพาะบางคนปกปิดมรดกของสำนักตนเป็นความลับและจะไม่เปิดเผยให้คนภายนอกรู้ เขาก็รู้จักซูจุนโม่เช่นกัน แม้ว่าชายผู้นี้จะมาจากอาณาจักรอสูร แต่ซูจุนโม่ใช้เวลานานในสามภพและรู้จักกับหลายสำนักใหญ่ ในเมื่อซูจุนโม่รับประกันความเชี่ยวชาญด้านอาคมของเหมิงฉี มันก็ต้องเป็นความจริง เพราะ มีคนกล่าวว่าความรู้เกี่ยวกับอาคมได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีในอาณาจักรอสูรเมื่อเทียบกับสามภพ
เฉิงเจิ้งเหิงมองศิษย์ของเขาอีกครา ก่อนจะผละจากห้องไปโดยมิได้รอให้เหมิงฉีเอ่ยสิ่งใด
เผ่ยมู่เฟิงจ้องมองเหมิงฉีแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว "ข้าจะรออยู่หน้าประตู" จากนั้นก็หันหลังเดินตามเฉิงเจิ้งเหิงออกไป
เมื่อเฉิงเจิ้งเหิงจากไป เขาก็พาศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักชางหลางไปด้วย
ประตูปิดลงอีกครา ความเงียบสงบกลับคืนสู่ห้อง
หลี่เช่อนั่งสงบนิ่งอยู่บนเตียง เนื่องจากมองไม่เห็น
ซูจุนโม่และซือคงซิงนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดียวในห้อง
ซือคงซิงเหลือบมองเหมิงฉี "เจ้าว่า..." นางลดเสียงลงแล้วโน้มตัวเข้าหาซูจุนโม่ "พวกเราควรออกไปด้วยหรือไม่?"
"ไม่ได้!" ใบหน้าของซูจุนโม่เปลี่ยนเป็นสีดำ "พวกเราควรอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องเหมิงฉี"
เขาจะออกไปได้อย่างไร? เหมิงฉีน่าจะเป็นคนรักของท่านผู้เป็นนาย ในขณะที่หลี่เช่อเป็นชายหนุ่มรูปงาม แม้ว่าจะเป็นผู้ป่วย เขาก็ไม่สามารถทิ้งเหมิงฉีไว้ในห้องนอนตามลำพังกับชายที่เปลือยท่อนบนได้ หากท่านผู้เป็นนายรู้เรื่องนี้... ซูจุนโม่อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
ซูจุนโม่เงยหน้าขึ้นมองเหมิงฉีที่กำลังวุ่นวายอยู่ ในขณะนี้ อาภรณ์ชั้นในสีขาวของหลี่เช่อถูกถอดออกไปถึงเอว เผยให้เห็นแผ่นหลังเรียวไร้ไขมันส่วนเกิน ชายหนุ่มรูปงามมีผมยาวสยายอยู่รอบตัว ผมสีดำสนิทตัดกับผิวขาวผ่อง เนื่องจากพิษทำให้เขามองไม่เห็น เขาจึงดูเหมือนจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย
เขาดูน่าหลงใหลยิ่งนัก
"ไม่ได้!" ซูจุนโม่ย้ำอย่างหนักแน่น "เจ้ากับข้าต้องอยู่ที่นี่ และพวกเราไม่สามารถปล่อยให้พวกเขาอยู่ตามลำพังได้"
ซือคงซิงเลิกคิ้วขึ้น นางใช้มือทั้งสองข้างเท้าแก้มและจ้องมองเหมิงฉีอย่างตั้งใจ
มือของเหมิงฉียื่นออกไป ลากเส้นไปตามอาคมบนหลังของหลี่เช่อทีละน้อย แสงส่องไปที่ใบหน้าด้านข้างของนาง ทำให้ขนตายาวของนางดูเหมือนจะเคลือบด้วยแสงที่อ่อนโยน ผิวของนางซึ่งเดิมทีขาวและอ่อนนุ่มอยู่แล้ว ดูกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น
"เหมิงฉีช่างงดงามล่มเมืองยิ่งนัก" ซือคงซิงเปลี่ยนท่าทาง "และนางก็แข็งแกร่งมากด้วย เมื่อนางจดจ่อและจริงจังเช่นนี้ นางยิ่งงามพิลาสมากขึ้นไปอีก น่าเสียดาย..." นางถอนหายใจเบา ๆ "บุปผางามเช่นนี้กลับมีเจ้าของเสียแล้ว"
ซูจุนโม่ "..."
เขาควรจะไล่ซือคงซิงที่น่ารังเกียจผู้นี้ออกไปด้วย
"เหมิงฉีกำลังมีปัญหาหรือ?" ซือคงซิงเคาะโต๊ะเบา ๆ
ซูจุนโม่กลับมาสู่สติ เขาและซือคงซิงสบตากัน แล้วหันไปมองเหมิงฉีอย่างจนใจ ซึ่งเริ่มเดินไปมาในห้องโดยก้มหน้าลง
ทั้งสองมาจากเผ่าจิ้งจอก ซึ่งไม่คุ้นเคยกับการศึกษาอาคม พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลยและไม่สามารถช่วยเหมิงฉีได้
"มีวิธีที่เราสามารถช่วยเหมิงฉีได้ไหม?" ซือคงซิงมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามซูจุนโม่ "เจ้าไม่ได้ติดตามท่านเจ้าแห่งอสูรอยู่เสมอหรือ? พวกเขาบอกว่าท่านเจ้าแห่งอสูรเป็นอัจฉริยะด้านอาคม เจ้าไม่สามารถขอให้เขาช่วยเหมิงฉีได้หรือ?"
ซูจุนโม่ "..."
เขาก็อยากจะทำเช่นนั้น แต่ใครจะกล้าร้องขอเช่นนั้นต่อท่านผู้เป็นนาย?
เขา...
"หืม?" สีหน้าของซูจุนโม่ตะลึงงันทันที เขารีบค้นในมิติเก็บของของเขา
"ช่วยข้าเฝ้าที่นี่ด้วย" ซูจุนโม่ถือแผ่นหยกและพูดกับซือคงซิงอย่างเร่งรีบ จากนั้นก็หลับตาลงทันทีโดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม
หลังจากเดินไปรอบ ๆ ห้องสิบรอบ ในที่สุดเหมิงฉีก็คิดออก ในชาติก่อน นางจำอาคมทั้งหมดที่อาจารย์ของนางสอนไว้อย่างละเอียด อันที่จริง สิ่งที่นางเรียนรู้จากอาจารย์ของนางนั้นซับซ้อนกว่าอาคมเล็ก ๆ บนหลังของหลี่เช่อมาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับผู้บ่มเพาะอาคมทั่วไปในสามภพ วิธีที่เหมิงฉีศึกษาอาคมนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
บทที่ 186 หอตำราฟ้าดิน (II)
ในใต้หล้าแห่งสามภพ การจัดอาคมนั้นเป็นวิถีที่ผู้บ่มเพาะอาคมล้วนต้องบ่มเพาะ แต่วิธีที่พวกเขาศึกษาการจัดอาคมนั้นหาได้ต่างจากวิถีที่ผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ศึกษาเคล็ดลับวิชาแพทย์ไม่ กล่าวคือ เริ่มจากพื้นฐาน เรียนรู้การจัดอาคมที่ง่ายที่สุดก่อน ทำความเข้าใจในวัสดุแต่ละชนิดที่จำเป็นในการสร้างอาคม ประสิทธิภาพของวัสดุแต่ละชนิด และความหลากหลายของอาคมพื้นฐานที่สุด
กล่าวกันว่า ผู้บ่มเพาะอาคมนั้นมิใช่เพียงแต่ต้องเรียนรู้วิธีใช้อาคมเท่านั้น หากแต่ยังต้องเรียนรู้วิธีการถอดถอนอาคมด้วย นี่เป็นหนทางที่อาคมแบบใหม่จะถือกำเนิดขึ้นได้
ทว่าเหมิงฉีหาได้เคยศึกษาสิ่งเหล่านี้ไม่ อาจารย์ของนางมักเอ่ยเพียงว่า "เอาล่ะ เจ้าสามารถใช้อันนี้ได้" จากนั้นก็จะสอนเหมิงฉีเกี่ยวกับอาคมที่เขาเห็นว่านางสามารถใช้ได้ ข้ามพื้นฐานทั้งหมดไป สอนนางโดยตรงถึงวิธีการใช้งาน
ด้วยเหตุนี้ เหมิงฉีจึงสามารถใช้อาคมได้หลากหลาย แต่นางมิได้เก่งกาจในการถอดถอนอาคมที่ไม่รู้จัก นางเพียงศึกษาการทำงานและหลักการของมัน ถึงกระนั้น ฐานความรู้อาคมของนางก็กว้างขวาง แม้ว่าอาคมที่นางเห็นบนร่างของเสวี่ยหลิงเฟิงและหลี่เช่อจะเป็นสิ่งที่นางไม่รู้จักโดยสิ้นเชิง แต่นางก็ยังคงคิดออกบางอย่างหลังจากที่ครุ่นคิดมาทั้งคืน
"เหมิงฉี" ขณะที่เหมิงฉีกำลังวิ่งรอบที่สิบสอง ซูจุนโม่ก็เอ่ยเรียกนาง
"หา?" เหมิงฉีหันกลับมา
สีหน้าของซูจุนโม่แปลกไป สายตาที่เขามองเหมิงฉีก็ค่อนข้างแปลก แม้แต่น้ำเสียงของเขาก็ดูเหมือนจะเหม่อลอย "หากเจ้ายังไม่แน่ใจ เจ้าอยากไปดูตำราเกี่ยวกับอาคมไหม?"
"หา?" ดวงตาของเหมิงฉีเป็นประกาย "ข้าจะไปที่ใดได้?"
"แดนเหนือสวรรค์" ซูจุนโม่พยักหน้าอย่างหนักแน่น "เจ้าควรจะหาตำราที่เจ้าต้องการได้ที่นั่น"
"ข้าเคยดูแล้วครั้งล่าสุดที่ไปแดนเหนือสวรรค์" เหมิงฉีกล่าว "แต่ผู้บ่มเพาะอาคมเสื่อมถอยมานานนับพันปี พวกเขาเพิ่งเริ่มต้นศึกษาใหม่ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บ่มเพาะอาคมมักจะเก็บงำตำราลับของสำนักไว้เป็นความลับ ไม่ว่าจะเป็นตำหนักเซียนเมฆาหรือแดนเหนือสวรรค์ ไม่มีที่ใดขายตำราที่เกี่ยวกับการศึกษาอาคม"
"อืม..." ซูจุนโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ข้ารู้จักร้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในแดนเหนือสวรรค์ที่ขายตำราต่างๆ จากทั่วทั้งสามภพ ตั้งแต่ตำราซุบซิบนินทา บันทึกประวัติศาสตร์ ชีวประวัติของบุคคลสำคัญ ไปจนถึงบันทึกอาคมคาถา... พวกเขามีตำราทุกประเภท บางเล่มหายาก บางเล่มก็แปลกประหลาด บางทีเจ้าอาจจะเจออะไรบางอย่างที่นั่น"
เหมิงฉีเหลือบมองซูจุนโม่ด้วยความสงสัย หัวใจของนางเต้นแรงขึ้นกะทันหัน ว่ากันว่าไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรอสูรหรืออาณาจักรมาร มรดกเกี่ยวกับอาคมนั้นดีกว่าสามภพมาก ซูจุนโม่มาจากอาณาจักรอสูร บางทีเขาอาจจะรู้อะไรบางอย่างจริงๆ
นอกจากนี้ หลังจากเมาในเมืองเฟินเทียนครั้งล่าสุด นางจำได้เลือนลางว่าเห็นอาจารย์ในแดนเหนือสวรรค์ ตอนแรกนางคิดว่ามันเป็นแค่ความฝันหวานๆ ที่นางฝันไปหลังจากเมา แต่เมื่อนางไปแดนเหนือสวรรค์อีกครั้ง นางก็ได้รับแจ้งว่าแดนเหนือสวรรค์มีน้ำตกเมฆาที่นางเคยเห็นในความฝันจริงๆ
ดวงตาของเหมิงฉีกะพริบ นอกจากนี้ยังมีเสียงลึกลับที่นางได้ยินในป่าภายนอกตำหนักฮวาเจียง อาคมที่ถูกเปิดใช้งานในตอนนั้นเหนือกว่าความสามารถในปัจจุบันของนางอย่างแน่นอน
และสุดท้าย บันทึกที่ผู้อาวุโสแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนบันทึกไว้ที่อาณาจักรอสูร เสือขาวอสูรสวรรค์ในตำนานมีใบหน้าเหมือนกับอาจารย์ของนางไม่มีผิดเพี้ยน
"ร้านนี้อยู่ที่ใด?" เหมิงฉีถามซูจุนโม่ สายตาของนางลุกโชน
"อยู่ที่มุมพายัพของแดนเหนือสวรรค์" ซูจุนโม่พูดอย่างลังเล "แต่ข้าไม่สามารถรับประกันได้ เพราะมันเป็นเพียงความเป็นไปได้ แต่เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เหมิงฉี เจ้าควรไปลองเสี่ยงโชคดู"
"เจ้าพูดถูก" เหมิงฉีเห็นด้วย นางหยิบแผ่นหยกออกมาและตรงไปยังแดนเหนือสวรรค์ทันที
ซูจุนโม่ถอนหายใจยาว ปาดเหงื่อที่ผุดพราย "โชคดีที่เหมิงฉีเชื่อข้า"
ซือคงซิงเม้มริมฝีปาก "เจ้าวางแผนจะทำอะไร?"
"ข้าบอกเจ้าไม่ได้!" ใบหน้าของซูจุนโม่กลายเป็นจริงจังขึ้นมาทันที "แต่......" เขาเงยหน้าขึ้น ในแววตานั้นมีความไม่เชื่อ แต่ก็โล่งใจหลังจากที่การคาดเดาครั้งก่อนของเขาได้รับการยืนยัน "น้องหญิง เจ้าควรฟังคำเตือนของพี่ชายคนนี้ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จงเคารพและสุภาพต่อเหมิงฉี อย่าไปก่อกวนนางเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตลอดเวลา"
ซูจุนโม่ถอนหายใจ พึมพำ "โชคดีที่ข้าฉลาดและยืนหยัดเคียงข้างเหมิงฉีเสมอ! แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว พูดตามตรง ข้าก็ชอบเด็กสาวคนนี้เหมือนกัน นางซื่อสัตย์ ใจดี และทุ่มเท..."
"เจ้ากำลังพึมพำอะไร?" ซือคงซิงงุนงง
"ไม่มีอะไร!" ซูจุนโม่ได้สติกลับคืนมา "เอาเป็นว่า... ปกป้องเหมิงฉีให้ดี ตามนางไป แล้วเจ้าจะไม่ลำบาก!"