ตอนที่ 17 มีผู้บ่มเพาะอมตะในมณฑลหลินเจียงของเรา
ตอนที่ 17 มีผู้บ่มเพาะอมตะในมณฑลหลินเจียงของเรา
หัวใจของเหล่าเจิ้งเริ่มกลับมาสงบอีกครั้ง ตามหลักเหตุผลแล้ว เขาไม่ควรบอกว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่ชายหนุ่มตรงหน้าก็ได้ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ และเห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่มีพลังเหนือมนุษย์ เช่นนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องเก็บงำเป็นความลับ
เขาดันจ้วงเฉียงและซุนเหมิงที่กำลังพยายามขัดขวางเขาออก และพูดอย่างจริงจังว่า "นี่คือแกนวิญญาณระดับที่ 3 ที่ได้มาจากหมีซอมบี้ระดับ 3"
"แต่ฉันขอร้องเถอะ คุณอย่าเอามันไปเลย เพราะมันมีประโยชน์ต่อสถาบันวิทยาศาสตร์ชีวภาพของเราเป็นอย่างมาก"
"ด้วยความช่วยเหลือนี้ เราอาจจะสามารถพัฒนาอาวุธที่ควบคุมซอมบี้ได้ นี่จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อโลก..."
ฉู่เสวียนกล่าวว่า “ข้าบอกว่าจะเอามันไปจากเจ้าเมื่อไหร่กันที่?”
การแสดงออกของเหล่าเจิ้งแข็งทื่อไปทันที "คุณไม่ได้ต้องการมันเหรอ นี่คือแก่นวิญญาณขั้นที่ 3 เชียวนะ"
ฉู่เสวียนหัวเราะเบา ๆ "ในสายตาของข้า มันไม่แตกต่างจากลูกแก้วบนพื้นมากนัก”
“ข้าขอดูหน่อยได้หรือไม่” เขายื่นมือออกมา
เหล่าเจิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นกล่องให้เขา เขาใช้ชีวิตมาจนแก่ปูนนี้ และได้พบกับผู้คนมามากมาย แต่คำพูดของชายหนุ่มคนนี้มีความเย่อหยิ่ง และดูเหมือนว่าเขาจะดูถูกแก่นแท้ของพลังวิญญาณนี้จริงๆ
ฉู่เสวียนเปิดกล่อง จากนั้นข้าก็เห็นลูกปัดสีแดงเข้มนอนอยู่ในก้นกล่องอย่างเงียบ ๆ เมื่อมองแวบแรก มันดูเหมือนจะไม่แตกต่างไปจากลูกแก้วธรรมดาๆมากนัก แต่เมื่อเขาสัมผัสอย่างระมัดระวัง เขาก็ค้นพบว่าลูกแก้วนี้มีพลังงานอยู่ แก่นแท้ของพลังงานนี้ด้อยกว่าพลังในหินวิญญาณเสียอีก แม้ว่าปริมาณจะค่อนข้างมาก แต่เมื่อเทียบกันแล้ว แทบจะเทียบกับความเข้มข้นของพลังวิญญาณในหินวิญญาณระดับต่ำไม่ได้ด้วยซ้ำ
หลังจากมองไม่กี่ครั้ง ฉู่เสวียนก็นำของกลับเข้าไปในกล่อง แล้วส่ายหัวเล็กน้อย
แกนพลังวิญญาณขั้นที่ 3 ที่บอกว่ามีพลังงานนักหนา กลับน้องกว่าพลังวิญญาณในหินวิญญาณระดับต่ำเสียอีก
แต่ก็ทำให้เขาพอจะเข้าใจแนวคิดคร่าวๆ เกี่ยวกับระบบพิเศษของดาวเคราะห์โลกาวินาศนี้ขึ้นมาบ้าง
“เจ้าสองคนเป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติขั้นที่ 1 อย่างนั้นเหรอ ? เจ้ามาจากค่ายทหารใช่หรือไม่?”
สายตาของฉู่เสวียนจ้องไปที่ชายชุดดำสองคน เขาเห็นว่าทุกการเคลื่อนไหวของชายทั้งสองดูจะประสานกัน ความร่วมมือแบบนี้เป็นเรื่องยากที่จะปลูกฝังในคนทั่วไป และต้องได้รับการฝึกมาจากค่ายทหารเท่านั้น
ทั้งสองมองหน้ากันและพยักหน้า
จ้วงเฉียงพูดอย่างจริงจังว่า "พวกเราอยู่ในกองทัพหลินเจียงของมณฑลหลินเจียง ได้รับคำสั่งให้นำแกนวิญญาณของหมี่ซอมบี้กลับมา และปกป้องศาสตราจารย์เจิ้งให้กลับไปอย่างปลอดภัย"
ฉู่เสวียนพยักหน้าเล็กน้อย แม้ว่าวิกฤตซอมบี้จะปะทุขึ้นจนวันสิ้นโลกมาถึง แต่ตราบใดที่มนุษยชาติยังไม่สูญพันธุ์ อย่างน้อยก็ถือว่ามีกองกำลังอยู่ เห็นได้ชัดว่าอำนาจอย่างเป็นทางการของราชวงศ์หยานฮั่นยังคงไม่สูญสิ้น
“แล้วใครจะมารับตัวพวกเจ้ากลับไป” ฉู่เสวียนถามอย่างไม่ใส่ใจ
ซุนเหมิงตอบว่า "บริษัทรักษาความปลอดภัยเฮยเฟิง พวกเขาจะขับเฮลิคอปเตอร์มารับพวกเรา"
ฉู่เสวียนพยักหน้า "แล้วพวกเขาอยู่ที่ไหนล่ะ"
จ้วงเฉียงทำอะไรไม่ถูก "เฮลิคอปเตอร์ของพวกเขาไม่ได้ใช้งานมาเป็นเวลานาน และจำเป็นต้องซ่อมแซม จึงตกลงกันว่าจะออกมาก่อนเที่ยงวัน แต่เรากลับถูกซอมบี้รุมล้อมเป็นจำนวนมาก จึงต้องส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกไปล่วงหน้า"
"ด้วยเหตุนี้บางทีอาจจะล่าช้าไปบ้าง”
ชายทั้งสองมองหน้ากันและถอนหายใจ ท้ายที่สุดแล้วบริษัทรักษาความปลอดภัยเฮยเฟิงก็เป็นเพียงกองกำลังเล็กๆระดับท้องถิ่น จะเอาไปเทียบกับกองทัพหลินเจียงที่เข้มงวดได้อย่างไร
ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะตายหรือไม่ แต่ถ้าหากไม่สามารถนำแกนวิญญาณระดับ 3 กลับไปได้ มันก็ถือว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของมณฑลหลินเจียง
ฉู่เสวียนยิ้มเล็กน้อย "แต่พวกเจ้าก็ช่วยดึงดูดซอมบี้ได้มากมาย ซึ่งเป็นประโยชน์กับข้ามาก"
"เจ้าช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่ แล้วข้าจะช่วยพวกเจ้าให้กลับไปอย่างปลอดภัย"
ศาสตราจารย์เจิ้งเบิกตากว้าง
"ได้โปรดพูดออกมา! เราจะช่วยแน่นอนถ้าเราทำได้!" หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็รู้สึกว่าเขาพูดมากเกินไป จึงรีบพูดออกมาว่า "แต่เราไม่สามารถทำอะไรที่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ได้ เพราะมันคือสิ่งสำคัญที่สุด "
ฉู่เสวียนยิ้ม "เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไร แค่ยืนบนดาดฟ้านี้ แล้วดึงดูดให้ซอมบี้เขามายังที่แห่งนี้ต่อไป ด้วยยันต์หินที่ข้าแปะไว้ ไม่ต้องกลัวว่าประตูจะพัง"
ศาสตราจารย์เจิ้งและชายทั้งสองมองหน้ากันทันที เมื่อเห็นแววตาของแต่ละคน แวบแรกก็มีข้อสงสัยบางอย่าง
ดึงดูดซอมบี้ต่อไปงั้นเหรอ? ชายหนุ่มคนนี้ต้องการทำอะไร?พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉู่เสวียนกำลังจะทำอะไร ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
ศาสตราจารย์เจิ้งจึงพยักหน้า "เรื่องนี้ไม่ยาก เราทำได้"
ฉู่เสวียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ครู่ต่อมาเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วยกดาบของเขาขึ้นมา
ในตอนนั้นก็ได้มีลมแรงพัดเข้ามาที่ดาดฟ้าจนทั้งสามคนลืมตาแทบไม่ได้ เมื่อพวกเขากลับมามองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง จู่ๆ ฉู่เสวียนก็ปรากฏตัวอยู่บนท้องฟ้า
ศาสตราจารย์เจิ้งและอีกสามคนตกตะลึง เมื่อครู่ที่ฉู่เสวียนปรากฏตัวครั้งแรกพวกเขามองเห็นไม่ชัด แต่ตอนนี้พวกเขาเห็นแล้วว่าฉู่เสวียนสามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ด้วยตาของพวกเขาเอง!
นี่มันอะไรกัน?
บินได้ด้วยดาบ! นี่ไม่ใช่สิ่งมนุษย์จะมาสามารถทำได้ นอกจากในนิยายกำลังภายในเท่านั้น?
แต่มันกลับมาปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตาพวกเขาจริงๆ!
จ้วงเฉียงกลืนน้ำลายลงไป "กำลังบินอยู่ในอากาศ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสามารถทำได้..."
ซุนเหมิงพูดด้วยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "เขาเป็นผู้ฝึกฝนหรือเปล่า"
หัวใจของศาสตราจารย์เจิ้งก็เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน เขารู้สึกเหมือนว่าโลกทัศน์ของเขาที่ถูกก่อร่างสร้างขึ้นมาใหม่จากวิกฤตซอมบี้ได้พังทลายลงอีกครั้ง "เราต้องรายงานเรื่องนี้โดยเร็วที่สุดหลังจากกลับไป...”
“ผู้ฝึกฝนอมตะ... เรามีผู้ฝึกฝนอมตะในมณฑลหลินเจียงจริงๆ!” มือแก่ๆ ของเหล่าเจิ้งสั่นเทา
อีกด้านหนึ่ง เมื่อฉู่เสวียนบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาก็พยายามหาสถานที่ที่เหมาะสมในการตั้งมหาค่ายกลแปลงโลหิต ซึ่งประกอบไปด้วยขบวนทั้งหมด 18 รูปแบบ เขาจำเป็นจะต้องจัดขบวนทั้ง 18 รูปแบบนี้ให้อยู่ใน 18 ตำแหน่ง และหินวิญญาณจะต้องฝังอยู่ในขบวนทั้ง 18 รูปแบบนี้ด้วย
ในที่สุด มหาค่ายกลแปลงโลหิตก็ถูกเปิดใช้งานด้วยหินวิญญาณ
ความสำเร็จของค่ายกลที่ฉู่เสวียนได้จัดขึ้นมา ถือว่าอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น
แต่เขาก็ตั้งใจให้มันออกมาเป็นเช่นนี้ ทั้งที่เขาสามารถจัดเตรียมมหาค่ายกลแปลงโลหิตได้อย่างเชี่ยวชาญ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เขาก็ได้จัดขบวนทั้ง 18 รูปแบบเสร็จสิ้น เมื่อมองจากทางด้านบน ขบวนทั้ง 18 รูปแบบนี้มีอาคารที่ยังสร้างไม่เสร็จเป็นจุดศูนย์กลาง ก็ก่อตัวออกไปทั้งสิบแปดด้าน ล้อมรอบซอมบี้จำนวนมากที่เข้ามาในอาคารแห่งนี้ไว้
เหตุผลที่ฉู่เสวียนขอให้ศาสตราจารย์เจิ้งและคนอื่น ๆ อยู่บนดาดฟ้า ก็เพื่อดึงดูดซอมบี้ต่อไปและป้องกันไม่ให้พวกมันเดินออกมาจากอาคารอย่างไร้จุดหมาย หลังจากทำเช่นนี้ ฉู่เสวียนก็กลับไปที่ดาดฟ้า
ศาสตราจารย์เจิ้งและอีกสองคนกำลังกินโปรตีนบาร์และดื่มน้ำอยู่ เมื่อเห็นฉู่เสวียนกลับมา พวกเขาก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
"มากับข้าทีละคน" ฉู่เสวียนดึงศาสตราจารย์เจิ้งแล้วพาออกไป
อาวุธเวทย์มนตร์บินได้ของเขาสามารถบรรทุกคนเพิ่มได้อีกเพียงคนเดียวเท่านั้น
ชายทั้งสองก้าวไปข้างหน้าด้วยสัญชาตญาณ พยายามยืนขวางศาสตราจารย์เจิ้งเอาไว้
เพราะท้ายที่สุดแล้ว คำสั่งที่พวกเขาได้รับคือปกป้องความปลอดภัยของศาสตราจารย์เจิ้งให้ถึงที่สุด
แต่ศาสตราจารย์เจิ้งก็รีบวิ่งไปข้างหน้าแล้วขยิบตาให้พวกเขา
เมื่อทั้งสองคนคิดอะไรได้บางอย่างได้ ก็รีบก้าวตามไปทันที
ด้วยความแข็งแกร่งของฉู่เสวียน การฆ่าทั้งสามคนนั้นไม่ต่างอะไรจากปลอกกล้วยเข้าปาก เป็นเพียงเรื่องของโอกาสเท่านั้น
แต่ว่าฉู่เสวียนก็ได้ทำตามที่ให้สัญญากับพวกเขาไว้จริงๆ ในเวลานี้หากพวกเขาไม่กล้าไว้วางใจฉู่เสวียน นี่ไม่เท่ากับทำให้ฉู่เสวียนโกรธอย่างนั้นเหรอ?
“สหาย ฉันจะไปกับคุณก่อน” ศาสตราจารย์เจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม
ฉู่เสวียนดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ด้วยสติปัญญาที่มีเหนือมนุษยชาติทั่วไป เขาย่อมมองเห็นความหมายที่ซ่อนอยู่ในการกระทำของศาสตราจารย์เจิ้งออกอย่างง่ายดาย
แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะถึงอย่างไรสามคนนี้ก็ช่วยดึงดูดซอมบี้จำนวนมากมายมาให้เขา และมันก็ทำให้เขาอารมณ์ดี ฉะนั้นการรักษาสัญญาและส่งพวกเขาออกไปยังที่ที่ปลอดภัยนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องทำ
ในไม่ช้า ฉู่เสวียนก็พาทั้งสามคนออกจากอาคารที่ยังสร้างไม่เสร็จ และวางพวกเขาไว้ในที่โล่งที่ไร้ซอมบี้
“ไปติดต่อหน่วยกู้ภัยด้วยตัวเองก็แล้วกัน ข้ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ” ฉู่เสวียนโบกมือให้พวกเขา แล้วออกไปทันที
"ขอบคุณมาก" ศาสตราจารย์เจิ้งโค้งคำนับเขาและอดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า "ฉันขอถามชื่อของคุณได้ไหม"
“ฉู่เสวียน” ฉู่เสวียนตอยอบ่างไม่ใส่ใจ
"ขอบคุณเจ้านะสหายฉู่เสวียน ฉันชื่อเจิ้งเป่าซาน ฉันจะจดจำบุญคุณของคุณที่ช่วยชีวิตพวกเราในวันนี้ตลอดไป” ศาสตราจารย์เจิ้งโค้งคำนับอีกครั้งและจากไปภายใต้การดูแลของจ้วงเฉียงและซุนเหมิง