ตอนที่แล้วบทที่ 85 เร่งความเร็ว (1)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 87 เร่งความเร็ว (3)

บทที่ 86 เร่งความเร็ว (2)


[.แปลโดยแฟน.เพจ ยักษาแปร มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ.]

[.Thai-novel ลง.ไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอน แต่จะราคาแพงที่สุด.]

[.หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ100คน ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบไม่มีการแก้คำผิด และยิบย่อยมากมาย ไปนั่นแหละ.]

บทที่ 86 เร่งความเร็ว (2)

พัคพันซอมองคังวูจินนิ่งๆ ก่อนจะปล่อยมือเขาออกไป แล้วตอบ

“การแสดงครั้งก่อนดีมากเลยนะ”

ทันใดนั้น ผู้กำกับคิมโดฮีและผู้ช่วยผู้กำกับก็เดินเข้ามา ผู้กำกับคิมโดฮีเป็นคนเอ่ยปากก่อน

“ถ้าทักทายกันเสร็จแล้ว วูจินก็ไปแต่งหน้าและเตรียมชุดได้เลย”

“ครับ ผู้กำกับครับ”

“อาจารย์ แต่คุณแน่ใจแล้วนะคะ?”

“แน่ใจสิ”

คังวูจินหันไปมองพัคพันซอ ผู้ชายที่ใบหน้าดูเหมือนเสือ

‘เขาไม่สบายหรือเปล่านะ?’

พัคพันซอสังเกตเห็นสายตาของคังวูจิน เขาจึงโบกบทภาพยนตร์ไปมาเพื่อให้คังวูจินสบายใจ

“ไม่เป็นไรหรอก คุณวูจินก็แค่ตั้งใจแสดงไปเถอะ ผู้กำกับคิมแค่ชอบโอเวอร์ไปหน่อยน่ะ”

“ครับ- เข้าใจแล้วครับ”

ผู้กำกับคิมโดฮีถอนหายใจเบาๆ แล้วหันไปสั่งผู้ช่วยผู้กำกับ

“โอเค งั้นรีบกันหน่อย คุณวูจินเริ่มจากชุดแต่งตัวก่อนเลย คุณวูจิน! อ่านบทภาพยนตร์แล้วใช่มั้ย วันนี้แต่งหน้าจัดเต็มนะคะ”

“ครับ”

ไม่นาน คังวูจินก็เดินไปกับผู้ช่วยผู้กำกับ ไปยังจุดที่ทีมแต่งหน้าเตรียมพร้อมอยู่ พัคพันซอจ้องมองแผ่นหลังของวูจินอยู่เงียบๆ แล้วหันไปกระซิบกับผู้กำกับคิมโดฮี

“อย่าไปห่วงเลยนะ ถ้าเธอกังวลก็แค่สั่งให้หยุดการแสดงกลางคันก็พอแล้ว”

“ก็ได้ค่ะ…”

ผู้กำกับคิมโดฮีตอบรับไปแบบนั้น แต่ก็แอบรู้สึกแปลกใจกับพัคพันซอ

‘ปกติเขาเป็นคนใจเย็นมากแท้ๆ ทำไมถึงร้อนรนขนาดนี้?’

เธอมองไปที่คังวูจินที่อยู่ด้านหน้าไกลออกไปจากพัคพันซอ

‘หรือว่าจะเป็นเพราะคุณวูจินกันนะ? น่าแปลกจริงๆ ทั้งคุณแจจุนก็เหมือนกัน แม้ว่าจะมีความมุ่งมั่นของนักแสดงหน้าใหม่ แต่ดูเหมือนคุณวูจินจะมีพลังบางอย่างที่ปลุกเร้าให้นักแสดงคนอื่นๆ ตื่นตัวขึ้นมา หรือว่าเป็นเพราะแบบนี้?’

ผู้กำกับคิมโดฮีเริ่มรู้สึกสงสารนักแสดงที่ต้องร่วมงานกับคังวูจินขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมกับนึกถึงคำพูดของจินแจจุน พระเอกของเรื่องที่ผ่านมาเมื่อวานนี้

‘เวลาแสดงกับเขา รู้สึกเหมือนถูกปลดเปลื้องออกไปหมดเลย ไม่ใช่ในฐานะนักแสดง แต่ในฐานะตัวละคร’

นั่นเป็นสิ่งที่คิมโดฮี ในฐานะผู้กำกับไม่เคยสัมผัสได้เลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้กำกับคิมโดฮีก็เดินไปยังจุดที่วางจอภาพ 3 เครื่อง

“อืม?”

ชเวซองกุน ผู้ชายผมรวบตึงปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางกลุ่มคนดูที่ทีมงานกำลังควบคุมอยู่ และ...

‘พวกเขาน่าจะมาวันนี้สินะ?’

เขามาพร้อมกับแขกอีกสองคน ชเวซองกุนและผู้กำกับคิมโดฮี แลกสายตาแบบไกลๆ แต่ผู้กำกับคิมโดฮีก็ยังคงขมวดคิ้ว

‘ใครกันนะ? ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่สองคนเลย? ดูจากที่ปิดหน้าแบบนี้ คงเป็นคนดังสินะ’

ชเวซองกุนนำทางแขกสองคนที่ปิดบังใบหน้าด้วยหน้ากาก ผู้กำกับคิมโดฮีรู้สึกสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะได้ยินเรื่องราวมาบ้างแล้วก็ตาม แต่การที่มาเยี่ยมคังวูจิน แสดงว่าพวกเขาอยู่ในวงการเดียวกัน แต่จะไปถามตรงๆ ก็ดูจะไม่เหมาะสม

ผู้กำกับคิมโดฮีเกาคางพลางเรียกผู้ช่วยผู้กำกับ

“ทางโน้น เห็นนั่นไหมคะ? CEOชเว กับอีกสองคน”

“อ๋อที่ใส่หน้ากากน่ะเหรอ พวกเขาน่ะ ใครกันเหรอครับ?”

“ไม่รู้ แต่สองคนนั้นเป็นแขกของCEOชเว บอกทีมต่างๆ ให้ไม่ต้องไปยุ่งกับพวกเขานะคะ”

“ครับ เข้าใจแล้ว”

“มีเก้าอี้เหลือไหม?”

“มีครับ เหลืออยู่หลายตัว”

“เอาไปให้พวกเขา ให้พวกเขานั่งดู”

ทันทีที่ได้รับคำสั่ง ผู้ช่วยผู้กำกับก็วิ่งไปหยิบเก้าอี้พลาสติกที่ซ้อนกันอยู่มา ชเวซองกุนรับเก้าอี้แล้วก้มศีรษะลงไปหาผู้กำกับคิมโดฮีเป็นการแสดงความขอบคุณ ชเวซองกุนกางเก้าอี้พลาสติกออกแล้วชี้ไปยังสองแขก

“เชิญนั่งครับ”

ภาษาญี่ปุ่นง่ายๆ ไม่แปลกใจเลย เพราะแขกคือ ผู้กำกับเคียวทาโร่และนักเขียนอาคาริ ไม่นาน ผู้กำกับเคียวทาโร่ก็ทักทายชเวซองกุนเบาๆ

“ขอบคุณครับ”

“ขอบคุณค่ะ”

นักเขียนอาคาริลงไปนั่งบนเก้าอี้พลาสติก แม้จะมีสตาฟเดินผ่านไปมาอยู่บ้าง แต่ผู้กำกับเคียวทาโร่และนักเขียนอาคาริก็ไม่ได้ใส่ใจ โดยเฉพาะนักเขียนอาคาริที่ดันแว่นขึ้นไปบนสันจมูก

“อืม-”

เธอมองไปยังคังวูจินที่กำลังแต่งหน้าอยู่ท่ามกลางสตาฟ

‘รูปร่างหน้าตาดีนะ’

แรกสัมผัส เธอรู้สึกไม่เลวร้าย แต่สายตาก็ยังคงจับจ้องไปที่ผู้กำเคียวทาโร่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ผู้กำเคียวทาโร่กำลังพูดคุยกับ ชเวซองกุนเป็นภาษาญี่ปุ่นง่ายๆ

‘ถึงแม้ว่าผู้กำกับจะหลงใหลเขา แต่ที่แท้จริงเขาจะเก่งมากน้อยแค่ไหนกันนะ?’

นักเขียนอาคาริหันกลับมาจ้องมองวูจินอีกครั้ง

‘แน่นอนว่าเขาต้องแสดงเก่งแน่ๆ แต่ได้ยินมาว่าอายุยังไม่มาก ในวงการแสดง ประสบการณ์เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้นะ’

ถึงแม้จะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการแสดง แต่ นักเขียนอาคาริก็สร้างสรรค์นวนิยายมากมาย นั่นหมายถึงการสร้างตัวละครมากมายมหาศาล ความมีชีวิตชีวาของตัวละครนั้น ย่อมต้องมาจากประสบการณ์ อย่างน้อย นักเขียนอาคาริก็คิดเช่นนั้น

‘ต้องดูต้องสัมผัส ต้องเรียนรู้มากมาย ถึงจะทำให้การแสดงเข้มข้นขึ้น ในแง่นี้ เด็กคนนั้นอาจจะยังขาดไปบ้าง’

นักเขียนอาคาริเฝ้ามองคังวูจินอย่างไม่ละสายตา

“คงจะมีอะไรบางอย่างที่ช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปได้”

เวลาผ่านไปราว 40 นาที

การแต่งหน้าและเตรียมชุดของคังวูจินเสร็จสิ้น แน่นอนว่าการเตรียมการถ่ายทำก็พร้อมเช่นกัน กล้องมากมายถูกจัดวางไว้หน้าโต๊ะเล็กๆ ตรงหน้าโกดัง ไฟและอุปกรณ์เสียงก็เช่นกัน ระยะห่างของทีมงานที่ล้อมรอบพื้นที่ถ่ายทำนั้นแคบลง ผู้ชมถอยหลังออกไป พัคพันซออยู่ที่โต๊ะเล็กๆ ส่วนคังวูจินยืนอยู่ด้านนอกพื้นที่ของกล้อง

การซ้อมเบาๆ เสร็จสิ้นไปแล้ว

ดังนั้นทีมงานทุกคนจึงเฝ้าดูพื้นที่ถ่ายทำอย่างเงียบเชียบ ผู้กำกับคิมโดฮีกำลังคุยกับผู้กำกับภาพเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว

“ตอนที่อีซังมันเข้าไป อย่าถ่ายแบบให้เขาเข้าไปตรงๆ แต่ให้เข้าไปจากด้านนอก เข้าใจใช่ไหมคะ?”

“อือ โอเค โอเค”

หลังจากที่ชเวจุนโฮ มหาเศรษฐีเจ้าพ่อค้ายาเสพติดถูกจองซองฮุนปิดฉากชีวิตไปนานพอสมควร จองซองฮุน ก็เริ่มขยายอาณาจักรยาเสพติดของตัวเองอย่างรวดเร็ว โดยร่วมมือกับอีซังมัน เขาส่งยาเสพติดไปขายที่ญี่ปุ่น ทำให้เงินทองไหลมาเทมา และฐานะของเขาก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

แต่ความจริงแล้ว จองซองฮุนเป็นตำรวจ

ภารกิจลับของเขาเริ่มสั่นคลอน เมื่อจองซองฮุนเริ่มติดกับดักเงินตรา เขาไม่สนใจคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่เป็นห่วงความปลอดภัยของเขา ทำให้การค้าขายที่ญี่ปุ่นต้องหยุดชะงักไปชั่วคราว

เพราะผู้บังคับบัญชาแอบแทรกแซง

จองซองฮุนจึงหันมาโฟกัสที่ตลาดภายในประเทศเกาหลีแทน อีซังมันกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่นหรือเกาหลี จองซองฮุนทำงานช้าเกินไป อีซังมันไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากความขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชา

แต่อีซังมันก็ไม่สามารถกำจัดจองซองฮุนได้ง่ายๆ

หัวหน้าใหญ่อีซังมันคิดหนักอยู่พักใหญ่ เพราะจองซองฮุนเติบโตขึ้นมาจนมีอิทธิพลมากแล้ว ขนาดของธุรกิจก็ใหญ่ขึ้นหลายเท่าตัว ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าจัดการเขาได้ การผลิตและจำหน่ายยาเสพติดก็จะสะดุดลงด้วย แถมยังไม่ได้รับของขวัญฟรี ๆ อีกต่างหาก

อีซังมันเลยตัดสินใจลอบติดต่อคิมฮยอนซู ผู้ผลิตยาเสพติดที่ทุกคนเรียกกันว่า “ศาสตราจารย์คิม” โดยไม่ให้จองซองฮุนรู้

และก็เพื่อจะดึงศาสตราจารย์คิมเข้าเป็นฝ่ายเขาด้วย

ต่อมา...

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ!”

ผู้กำกับคิมโดฮีพูดจบการสนทนากับช่างภาพ แล้วนั่งลง สตาฟผู้ชายคนหนึ่งตีสเลทดัง “ตัก!” ตรงหน้ากล้อง

“ซีน...-”

เสียงสัญญาณดังไปทั่วผ่านเครื่องขยายเสียง

“แอ็คชั่น!!”

กล้องจับภาพโต๊ะพับหน้าโกดัง บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารทะเลและเหล้าโซจู พัคพันซอนั่งอยู่ตรงนั้น ไม่สิ ศาสตราจารย์คิมต่างหาก ศาสตราจารย์คิมสวมเสื้อเชิ้ตผ้าลินินสีน้ำตาล ระบายอากาศได้ดี มือของเขายกขึ้น

-ฟู่

ศาสตราจารย์คิมเทน้ำเหล้าใส่แก้ว ใบหน้าเคร่งเครียด แม้จะรู้สึกตึงเครียด แต่ก็ไม่มากเกินไป อึก อึก! ศาสตราจารย์คิมดื่มน้ำเหล้าหมดแก้วในอึกเดียว แล้วหยิบตะเกียบขึ้นมา

“อืม... คุณชอบปลาดิบไหม?”

เสียงทุ้มแหบพร่าแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง คังวูจินในชุดสูทเดินเข้ามา ไม่สิ อีซังมันต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่สำคัญหรอก เพราะทั้งคู่ก็เหมือนกัน เบื้องหลังเขาคือลูกน้องนับสิบคน

“ชอบสิ...เฮ้อ ร้อนชะมัด”

อีซังมันหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะ ถอดสูทออก แล้วดึงแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นรอยสักชัดเจนบนแขนทั้งสองข้าง ไม่นาน อีซังมันก็ทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามศาสตราจารย์คิม

“ทำไมเจอศาสตราจารย์คิมยากเย็นเหลือเกินนะ?”

อีซังมันยื่นมือไปเติมเหล้าในแก้วของศาสตราจารย์คิม บรรยากาศของเขานั้นแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แม้สายตาจะยังคงฉายแววความบ้าคลั่ง แต่ก็ดูอ่อนแอ ไร้เรี่ยวแรง ไม่ใช่ความอ่อนแอที่ตั้งใจแสดงออก

ความรุนแรงที่เคยแผ่ซ่านออกไปจากอีซังมันในตอนนี้ลดลงไปมาก

แต่เขากลับส่งกลิ่นเหม็นรุนแรงออกมา เหมือนงูที่แฝงตัว แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงตัวอ่อนของแมลงที่อาศัยอยู่ในตัวตั๊กแตน เมื่อถูกบีบก็จะโผล่ออกมา เหมือนหนอนที่คืบคลานไปมา บางและอ่อนแอ แต่กลับน่าขยะแขยงและอันตราย

- กึก

อีซังมันที่คาบบุหรี่อยู่ยื่นซองบุหรี่ไปให้ศาสตราจารย์คิม

“สูบซักมวนสิ”

“ผมเลิกสูบแล้ว”

“ทำไมเลิกสูบของดีแบบนี้ล่ะ”

“ผมแก่แล้ว”

“บ้าเอ้ย อย่ามาทำเป็นแก่เลย ฉันเรียกแกศาสตราจารย์ก็จริง แต่คิดว่าตัวเองเป็นศาสตราจารย์จริงๆ เหรอ?”

อีซังมันที่กัดฟันกรอดอย่างกะทันหัน ก็หัวเราะเยาะออกมาทันที ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและดูน่าสับสนยิ่ง กล้องจับภาพนั้นไว้ได้อย่างใกล้ชิด

“อ้า- ขอโทษ ขอโทษ ศาสตราจารย์คิมครับ”

ศาสตราจารย์คิมมองอีซังมันอย่างจับจ้อง ก่อนจะถามกลับ

“ไหวไหม?”

“หมายความว่ายังไง?”

“ก็ดูหน้าคุณสิ คุณน่ะกำลังจะตายอยู่แล้ว”

“ตาแก่ เดี๋ยวแกจะโดนขวดเหล้าทิ่มปากก่อนที่ฉันจะหยุดพูดนะ”

คำพูดของอีซังมัน แม้จะดูอ่อนแอ แต่ก็แหลมคมบาดลึก ปลายแขนที่เกาไปมา บ่งบอกถึงความโกรธแค้นที่ซ่อนอยู่ ใจของเขาพลุ่งพล่าน แต่ก็พยายามกลั้นเอาไว้ ราวกับว่ามันเป็นเพียงคำเตือนเท่านั้น แต่ศาสตราจารย์คิมกลับมองอีซังมันด้วยความสงสาร

ก็สมควรแล้ว

ดวงตาที่ลึกโหล ร่องลึกใต้ตาที่เข้มขึ้น ฝ้ากระที่ขึ้นเต็มใบหน้า ผมที่ยุ่งเหยิงจนดูเหมือนขนสุนัข เคราที่ขึ้นรกๆ

ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าไม่ใช่อีซังมันอีกต่อไปแล้ว เขาเป็นเพียงคนติดยาที่หลงใหลในความสุขเท่านั้น

“แล้ว คุณเรียกผมมาทำไม”

“เข้าประเด็นเลย? เข้าประเด็นเลยก็ดีสิ ฉันอยากให้แกเลิกดูดตูดจองซองฮุนได้แล้ว มาเลียตูดฉันแทนเถอะ”

“จะให้ทิ้งจองซองฮุน?”

“เปล่า ทิ้งไปเลยก็เสียดาย”

-ฟึบ

อีซังมันหัวเราะเหมือนคนบ้า เขายื่นตัวเข้าไปหาศาสตราจารย์คิม

“ทำไมไม่ขายไตของไอ้หมอนั่นล่ะ?”

“เสียดายนะ แต่ผมไม่ค้าขายกับพวกติดยา”

“······อะไรนะ?”

“ถ้าจะทำธุรกิจ ก็ต้องขายยาสิ จะกินยาที่ผลิตทำไม วันนี้ถือว่าผมไม่ได้ยินอะไรแล้วกัน”

“แกกับจองซองฮุน ไปนอนด้วยกันมารึไง?”

“······”

“ฉันจะให้แกมาเลียตูดฉัน แต่แกกลับยัดเข้าไปในตูดฉันแทน ลิ้นแกนี่มันยาวชะมัด ไอ้เวร”

อีซังมันในตอนแรกกับอีซังมันในตอนนี้ ต่างกันอย่างชัดเจน ไม่สิ เรียกว่าเสื่อมทรามมากกว่า ความนุ่มนวล ความหนักแน่นที่เขาเคยมี หายไปหมดสิ้น เหลือเพียงภาพของคนบ้าที่ติดยา

จริง ๆ เขาเริ่มบ้าแล้ว

ความเปลี่ยนแปลงนั้นสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในน้ำเสียง แววตา และการกระทำของอีซังมัน

ศาสตราจารย์คิมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ดื่มเหล้าโซจูหมดแก้วอย่างรวดเร็ว แล้วลุกขึ้นยืน เมื่อเขาเดินออกไป อีซังมันที่กำลังจุดบุหรี่ใหม่พลางยิ้มเยาะอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่รอยยิ้มนั้นแตกต่างจากเมื่อก่อน ราวกับว่าการควบคุมที่เคยมีอยู่หายไปหมดสิ้น

“พวกมึงเอาแต่เงินทองมาใส่ตัว แต่ทำกับกูเหมือนขอทาน”

ศาสตราจารย์คิมไม่สนใจอีซังมัน แต่ลูกน้องสิบกว่าคนเข้ามาขวางทาง อีซังมันจึงลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า

“ศาสตราจารย์คิม ไม่เห็นต้องรีบร้อนอะไรนักเลย แค่ไปทำยาให้พวกติดยาเสพติดหน่อยเอง”

“ไปคุยกับจองซองฮุนเถอะ”

อีซังมันเดินเข้าหา ศาสตราจารย์คิมที่ยืนนิ่งอยู่ช้าๆ เหมือนคนไม่รีบร้อน แต่สายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความร้ายกาจ อีซังมันเอียงหน้าไปแนบกับไหล่ขวาของศาสตราจารย์คิมที่หันหลังให้เขาอยู่ กล้องจับภาพทั้งสองคนเข้าด้วยกันแบบชัดๆ

อีซังมันกระซิบข้างหูศาสตราจารย์คิม เสียงของเขาฟังดูแปลกประหลาด

“ทำไมต้องพูดถึงจองซองฮุน จองซองฮุน อยู่เรื่อย ไอ้หมอนั้นมันก็รู้สูตรเหมือนกันใช่ไหม?”

“······ไม่รู้สิ”

“แต่ดูเหมือนจะรู้นะ”

“ช่วยเปิดทางหน่อย”

ในตอนนั้น ศาสตราจารย์คิม หรือ พัคพันซอ เช็ดเหงื่อที่มือออกกับกางเกง มันเป็นการแสดง แต่ก็ไม่ใช่การแสดง เพราะเขาได้ยินเสียงของอีซังมันที่ข้างหู

เขาเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะตาย

แต่คำพูดของอีซังมันยังไม่หยุด

“ดื้อจังนะ”

อีซังมันถอนหน้าออกจากไหล่ของศาสตราจารย์คิม แต่เสียงแปลกๆ ของเขายังคงดังก้องอยู่ข้างหลังศาสตราจารย์คิม

“จองซองฮุน ไอ้พวกนั้นมันเลิกยุ่งกับพวกเราแล้ว บอกว่าจะเน้นตลาดในประเทศอะไรนั่น แต่ก็ไม่เห็นจะขยับเขยื้อนเลย เงียบเชียบไปหมด แล้วจะทำยังไงดี?”

“อีซังมัน”

“งี้ฉันว่า คงต้องตัดคนออกให้พอยาไส้สักเดือนแล้วล่ะ ตัดไปสักคนแล้วกัน”

ศาสตราจารย์คิมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพยายามผลักพวกที่ขวางทางออกไป แต่ก็ไม่ง่ายเลย อีซังมันมองศาสตราจารย์คิมที่กำลังหันหลังให้ เห็นได้ชัดว่าความคิดและเหตุผลของเขาหายไป เหลือเพียงสัญชาตญาณดิบเท่านั้น

“ดูสิ-”

อีซังมันมองไปรอบๆ แล้วก็เห็นกองอิฐที่กองอยู่หน้าโกดัง

“อืม ใช่เลย”

เขาหยิบอิฐขึ้นมาหนึ่งก้อน มือของเขาเหนื่อยล้า ราวกับกำลังรอเวลาเลิกงาน อีซังมันถืออิฐเดินไปหาศาสตราจารย์คิมที่กำลังเดินผ่านพวกของเขา

“ศาสตราจารย์คิม”

ศาสตราจารย์คิมหยุดชะงักแล้วหันกลับมา ในทันใดนั้น อีซังมันก็ฟาดอิฐใส่หน้าของศาสตราจารย์คิม

- ปัง!

ใบหน้าของเขาเรียบเฉย ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ เหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา

“ของเก่าๆ แบบนี้จะขายได้หรือเปล่านะ? เฮ้จะขายได้ไหม?”

ลูกน้องตัวสั่นเทิ้ม

“ฮึ... คงยากครับ”

“ใช่ไหม? แล้วดวงตาละ?”

“······”

“ช่างแม่งแล้ว”

อีซังมันล้มตัวลงไปบน ศาสตราจารย์คิมที่นอนร้องครวญครางอยู่บนพื้น

“อ... อึก- คะ... คะ...”

อีซังมันปีนขึ้นไปบนหลังของศาสตราจารย์คิม แล้วเริ่มงานของเขา เขาใช้ก้อนอิฐทุบหัวศาสตราจารย์คิมสองครั้ง

- ปัง!! ปัง!!!

ไม่มีความลังเล ไม่มีการลังเลใดๆ ในไม่ช้า เลือดก็พุ่งออกมาจากหัวของศาสตราจารย์คิม เลือดสีแดงสดนั้นซึมเข้าไปในก้อนอิฐอย่างชัดเจน

- กึก

อีซังมันเอาอิฐแนบไปที่จมูก ดมกลิ่นเลือด แล้วหัวเราะเยาะอย่างเหี้ยมโหด

“เพราะแก่แล้วสินะ มันเลยเหม็นเน่าแบบนี้”

“······ อึก...”

“จะอยู่รอดก็ต้องดิ้นรนสิ! เอาล่ะ เอาล่ะ อยู่เฉยๆ แข็งใจไว้ก่อนนะ”

• ปั๊ก! ปั๊ก! ปั๊ก! ปั๊ก!

เสียงทุ้มหนักดังก้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงอิฐบล็อกทุบลงบนศีรษะของศาสตราจารย์คิม เสียงนั้นดังกึกก้องราวกับจะบดขยี้กะโหลกศีรษะให้แหลกละเอียด แต่ความรู้สึกนั้นก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะทุกครั้งที่อีซังมันทุบลงไป กระดูกของศาสตราจารย์คิมก็แตกละเอียดจนเหลือเพียงก้อนเนื้อเละเทะ

แต่ทว่าอีซังมันก็ยังไม่หยุดมือ

- ปั๊ก! ปั๊ก! ปั๊ก!

ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามฝังศพก้อนเนื้อนั้นลงไปในดิน อีซังมันทุบลงไปอย่างแรง ราวกับจะบดขยี้ให้แหลกละเอียด ละเลงเนื้อเลือดไปทั่วพื้นดิน

เลือดสีแดงสดกระเด็นไปทั่วใบหน้าของอีซังมัน ผสมผสานกับรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของเขาอย่างน่าสะพรึงกลัว

อีซังมันทุบตีอย่างบ้าคลั่งอยู่หลายสิบวินาที ก่อนจะหยุดลง

“ฮึ่...”

อีซังมันเหวี่ยงก้อนอิฐที่ถืออยู่ใส่พวกบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะพับหลังเขาโดยไม่เช็ดเลือดที่เปรอะเปื้อนใบหน้า เขาคว้าเหล้าโซจูขึ้นมาดื่มรวดเดียว ตามด้วยเนื้อปลาแซลมอนหนึ่งคำ

อีซังมันเคี้ยวเนื้อปลาแซลมอนอย่างไม่ใส่ใจ ใช้ตะเกียบจิ้มเศษเนื้อที่ติดอยู่บนพื้น

“เรียกจองซองฮุนมา แล้วก็เก็บของพวกนี้ไปซะ”

เขาเอาบุหรี่มาอมไว้ในปาก กล้องซูมเข้าไปใกล้ใบหน้าของอีซังมัน เผยให้เห็นรอยเลือดและฝ้ากระที่เต็มไปหมด อีซังมันเกาแขนตัวเอง สบตาเลนส์กล้อง มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย

“หรือไม่ก็พวกแกจัดการเองก็ได้ สับให้ละเอียด กินให้หมด”

จบ

ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร , ลงแบบราคาถูกแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับ หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิก กระซิก ;-;

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด