บทที่ 36 ตำหนักจ้งเซียน
บทที่ 36 ตำหนักจ้งเซียน
"ก๊อกๆๆ"
ค่ำคืนมาเยือน
ร้านค้าเลขที่ 19 บนเขตติ้ง เสียงเคาะประตูดังขึ้น
เมื่อเปิดประตู กงเสี่ยวไฉที่อายุสิบสองปีก็ยืนอยู่หน้าประตู มือของนางถือถุงสองใบ
"นี่ ท่านปู่ให้ข้าเอามาให้"
พูดจบ กงเสี่ยวไฉก็ยัดถุงเก็บของใส่มือของซูหมิง
จากนั้นนางก็ยิ้มหวาน แล้วยื่นถุงผ้าใบเล็กๆ ที่ปักดอกไม้สีแดงให้ "นี่เป็นผลไม้จิตวิญญาณที่ข้าเอามาฝาก"
หลังจากรับถุงสองใบมา ซูหมิงยังไม่ทันได้พูดอะไร กงเสี่ยวไฉก็วิ่งกลับไปแล้ว
"เด็กคนนี้นี่..."
ซูหมิงยิ้ม แล้วส่ายหน้า
หลังจากรอนานหนึ่งวัน ในที่สุดกระดาษยันต์วิเศษของท่านปู่กงก็มาถึง
วันต่อมา
หลังจากเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ซูหมิงก็วางแผนที่จะออกจากย่านการค้าชิงสุ่ย เพื่อสร้างเคหาสน์หุ่นเชิด
เพราะการสร้างเคหาสน์หุ่นเชิด ต่างจากการสร้างหุ่นเชิดกระดาษ มันต้องใช้พื้นที่มาก
ส่วนในเขตด้านตะวันตกของย่านการค้าชิงสุ่ย เห็นได้ชัดว่าซูหมิงไม่มีพื้นที่ส่วนตัวขนาดนั้น
จะเห็นได้ว่า
การที่ผู้ฝึกตนมีถ้ำบ่มเพาะเป็นของตัวเอง มันสำคัญมากแค่ไหน
หลังจากยามเหมา(05.00-07.00 น.) ผ่านไป ซูหมิงก็ออกจากย่านการค้าชิงสุ่ยเพียงลำพัง
ครั้งนี้ ต่างจากครั้งที่แล้วที่เขากำจัดสัตว์อสูรกับท่านปู่กง
การที่ซูหมิงออกจากย่านการค้าชิงสุ่ยในครั้งนี้ เขาไม่ได้บอกใคร รวมถึงท่านปู่กงกับกงเสี่ยวไฉ
หลังจากออกจากย่านการค้าชิงสุ่ย ซูหมิงก็มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
ซูหมิงที่ศึกษแผนที่ของเขตปกครองซ่างหยางอย่างละเอียดรู้ว่า หลังจากออกจากย่านการค้าชิงสุ่ย เดินทางไปทางทิศใต้ตลอด ก็จะไปถึงเมืองหลักของเขตปกครองซ่างหยาง
แน่นอนว่าเป้าหมายของซูหมิงในครั้งนี้ ไม่ใช่การไปที่เมืองหลักของเขตปกครองซ่างหยาง
เขาแค่อยากหาที่เปลี่ยวๆ สักแห่ง เพื่อสร้างเคหาสน์หุ่นเชิดให้สำเร็จ
แน่นอน ในช่วงเวลานี้ เขาต้องกินและนอนในป่า
แต่เขาเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตขัดเกลาปราณขั้นเจ็ด ไม่เพียงแต่ทนต่อความหนาวเย็นและความร้อนได้เท่านั้น การอดอาหารก็เป็นเรื่องง่าย การกินนอนในป่า ย่อมไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา
มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
ซูหมิงเดินผ่านภูเขาและป่าหลายแห่ง ในที่สุดเขาก็พบจุดที่มีภูเขาและแม่น้ำอันสวยงาม ห่างจากย่านการค้าชิงสุ่ยประมาณ 500 ลี้
แม้ว่าสภาพแวดล้อมที่นี่จะดี แต่ปราณจิตวิญญาณกลับเบาบางมาก จึงไม่มีผู้ฝึกตนมาบ่มเพาะที่นี่
ซูหมิงมองภูเขาเขียวขจีที่สะท้อนอยู่ในทะเลสาบ แล้วพูดด้วยความดีใจ "มันช่างเป็นสถานที่ที่ดียิ่งนัก เหมาะสำหรับการปิดด่านฝึกฝน"
ซูหมิงพบภูเขาที่อยู่ใกล้ทะเลสาบมากที่สุด จากนั้นก็ตบถุงเก็บของ
ในพริบตา กระบี่บินที่เปล่งแสงวิญญาณก็บินออกมาจากถุงเก็บของ
มันคือกระบี่ชิงกวงระดับหนึ่งขั้นสูง ที่ซูหมิงหลอมขึ้นมา
ใบมีดของกระบี่ชิงกวงขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายใต้การควบคุมของปราณแก่นแท้
ในพริบตา มันก็เปลี่ยนจากกระบี่เล็กๆ สามนิ้ว กลายเป็นกระบี่บินที่มีความยาวเก้าฉื่อ(ประมาณ 3 เมตร) รวมถึงแสงกระบี่
ซูหมิงควบคุมกระบี่บิน ในไม่ช้าเขาก็ขุดถ้ำบ่มเพาะชั่วคราว บนเนินเขาสูงหลายร้อยเมตร
ถ้ำบ่มเพาะนี้ จะเป็นที่อยู่อาศัยของเขาในช่วงเวลาต่อไป
ข้างทะเลสาบ ณ เชิงเขา มีพื้นที่ราบที่เกิดจากการลดลงของระดับน้ำทะเลสาบ พื้นที่ราบเรียบๆ นี้ เป็นที่ที่ซูหมิงจะสร้างเคหาสน์หุ่นเชิด
ตามที่บันทึกไว้ในวิชาหุ่นเชิดกระดาษ
รูปแบบของเคหาสน์หุ่นเชิดไม่มีข้อกำหนดพิเศษ ผู้ที่ฝึกฝนทักษะวิชานี้ สามารถสร้างมันให้เป็นบ้านธรรมดา หรือสร้างมันให้เป็นตำหนักที่หรูหราก็ได้ ขึ้นอยู่กับความชอบของผู้ฝึกฝน
กุญแจสำคัญในการสร้างเคหาสน์หุ่นเชิด เหมือนกับการสังเวยหุ่นเชิดกระดาษ คือต้องใช้แก่นแท้โลหิตหัวใจของผู้ฝึกตน เพื่อสลักคำสาปสังเวยโลหิต
เมื่อเทียบกับคำสาปสังเวยโลหิตบนหุ่นเชิดกระดาษแล้ว คำสาปสังเวยโลหิตที่ใช้สร้างเคหาสน์หุ่นเชิด ย่อมซับซ้อนกว่ามาก!
ถ้าซูหมิงไม่ใช่ช่างหลอมสมบัติวิเศษ เขาคงไม่สามารถสลักคำสาปสังเวยโลหิตลงบนเคหาสน์หุ่นเชิดได้ในเวลาอันสั้น
ขั้นตอนแรกในการสร้างเคหาสน์หุ่นเชิด
คือการสร้างบ้านกระดาษ ขั้นตอนนี้เหมือนกับการสร้างหุ่นเชิดกระดาษ แม้แต่คนธรรมดาก็สามารถทำได้
แต่บ้านกระดาษที่ซูหมิงจะสร้าง มันค่อนข้างใหญ่โต เพราะเขาจะสร้างให้เป็นตำหนัก!
แน่นอน มันไม่ใช่ตำหนักแบบเดียวกับในพระราชวังของโลกมนุษย์ แต่ตามที่ซูหมิงคิด พื้นที่ของตำหนักนี้ต้องมากกว่า 100 ตารางเมตร
การใช้กระดาษยันต์วิเศษสร้างตำหนักขนาด 100 ตารางเมตร มันไม่ใช่งานเล็กๆ
ต่อให้ซูหมิงเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตขัดเกลาปราณขั้นเจ็ด การสร้างตำหนักกระดาษยันต์วิเศษนี้ให้เสร็จ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน
วันต่อๆ มา
ซูหมิงก็ใช้ชีวิตอย่างสันโดษที่นี่ เขฝึกฝนในตอนกลางคืน และสร้างบ้านกระดาษข้างทะเลสาบในตอนกลางวัน
เมื่อเวลาผ่านไป ตำหนักกระดาษที่เขาสร้างก็ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง
เหมือนกับการสร้างหุ่นเชิดกระดาษ
การสร้างบ้านกระดาษก็ต้องใช้กิ่งไม้จิตวิญญาณที่ผ่านการแปรรูปมาสร้างโครงก่อน สุดท้ายก็ใช้เยื่อกระดาษแปะกระดาษยันต์วิเศษลงบนโครงที่สร้างขึ้น
โชคดีที่ซูหมิงเป็นผู้ฝึกตน เขาไม่เพียงแต่สามารถใช้วิชาเหินหาวได้เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้วิชาควบคุมวัตถุได้อีกด้วย
การสร้างโครงของเขา ย่อมเร็วกว่าคนธรรมดามาก
แต่เมื่อเทียบกับช่างฝีมือในโลกมนุษย์แล้ว ประสบการณ์ของซูหมิงย่อมน้อยมาก
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงต้องไปที่เมืองหลักของเขตปกครองซ่างหยางเป็นพิเศษ เพื่อซื้อแบบแปลนและหนังสือเกี่ยวกับการสร้างบ้านกระดาษมาเป็นข้อมูลอ้างอิง
แบบนี้ ความคืบหน้าในการสร้างบ้านกระดาษของเขาก็ราบรื่นขึ้น
ใช้เวลามากกว่าครึ่งเดือน ในที่สุดซูหมิงก็สร้างบ้านกระดาษเสร็จ
ข้างทะเลสาบ บ้านกระดาษสูงประมาณหนึ่งจั้ง(ประมาณ 3 เมตร) หลังคากระเบื้องสีเขียว ทาสีแดง พื้นที่ภายในมากกว่า 100 ตารางเมตร ตั้งตระหง่านอยู่
เมื่อมองบ้านกระดาษตรงหน้า ถ้าเป็นคนอื่น พวกเขาคงไม่กล้าเรียกมันว่าตำหนัก
แต่ซูหมิงอาศัยระบบนิ้วทองคำ ตั้งชื่อบ้านกระดาษหลังนี้อย่างไม่เกรงใจว่า… ตำหนักจ้งเซียน(ตำหนักเซียนอนันต์)
หลังจากสร้างตำหนักจ้งเซียนเสร็จ ขั้นตอนต่อไปคือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด นั่นคือการสังเวย!
ข้างทะเลสาบ
นกตัวหนึ่งบินผ่านทะเลสาบ แล้วเกาะอยู่บนกิ่งไม้ฝั่งตรงข้าม มันมองตำหนักกระดาษหลังคากระเบื้องสีเขียว ทาสีแดง ดูเหมือนว่ามันจะสงสัยว่าทำไมถึงมีสิ่งปลูกสร้างแปลกๆ แบบนี้ปรากฏขึ้นที่นี่
หน้าตำหนักจ้งเซียน
ซูหมิงสงบสติอารมณ์ แล้วเริ่มโคจรวิชาวาฬยักษ์ทะเลคลั่ง
"ซู่ๆๆ"
ซูหมิงยังได้ยินเสียงเลือดในร่างกายของเขาเดือดพล่าน เหมือนกับคลื่นทะเลซัดเข้าฝั่ง
ในพริบตาต่อมา ซูหมิงก็ใช้ปราณแก่นแท้กรีดนิ้วชี้
เมื่อนิ้วชี้ถูกกรีด เลือดจำนวนมากก็ไหลออกมาจากนิ้วชี้
ซูหมิงไม่กล้าประมาท เขารีบใช้เลือดทาลงบนเคหาสน์หุ่นเชิด
การทาคำสาปสังเวยโลหิตทั่วไป นี่เป็นแค่ขั้นตอนแรก
แค่ขั้นตอนนี้ ก็สามารถใช้เลือดของผู้ฝึกตนขอบเขตขัดเกลาปราณขั้นปลายไปหนึ่งในสาม
แต่ซูหมิงที่ฝึกฝนวิชาวาฬยักษ์ทะเลคลั่ง ไม่เพียงแต่มีพลังปราณโลหิตที่เพียงพอเท่านั้น แต่ความสามารถในการสร้างเลือดของร่างกายก็แข็งแกร่งมาก
เมื่อเขาทาเลือดเพื่อสังเวยโลหิตปกคลุมทั่วทั้งตำหนักจ้งเซียน ใบหน้าของเขาก็แค่ซีดลงเล็กน้อย
แต่ขั้นตอนต่อไปคือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด และเป็นขั้นตอนสุดท้าย
การสังเวยโลหิตแก่นแท้!
นั่นคือคำสาปสังเวยโลหิตที่สามารถให้กำเนิดเมล็ดพันธุ์เต๋าพลังอิทธิฤทธิ์… ขนวิหคหนักพันจินในอนาคต
คำสาปสังเวยโลหิตหลักต้องใช้แก่นแท้โลหิตหัวใจทา ถึงจะสำเร็จ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูหมิงก็กัดฟัน แล้วใช้ปราณแก่นแท้บีบแก่นแท้โลหิตหัวใจออกมาจากหัวใจทีละหยด
แก่นแท้โลหิตหัวใจต่างจากพลังปราณโลหิตทั่วไป
ทันทีที่มันสัมผัสกับอากาศ อากาศทั่วทั้งทะเลสาบก็ร้อนขึ้น
ใบหน้าของซูหมิงซีดราวกับกระดาษ เขาไม่กล้าประมาท รีบตั้งสมาธิสลักคำสาปสังเวยโลหิตสุดท้าย
ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับครั้งนี้ ซูหมิงจมดิ่งลงไปในโลกของตัวเอง
ในเวลานี้ นอกจากเคหาสน์หุ่นเชิดตรงหน้าแล้ว เขาก็ไม่เห็นอะไรอีก
เมื่อคำสาปสังเวยโลหิตถูกสลักเสร็จ คำสาปสังเวยโลหิตทั้งหมดบนตำหนักจ้งเซียนก็เปล่งแสงสีแดงเข้ม
จากนั้น แสงสีแดงก็วาบขึ้น คำสาปสังเวยโลหิตทั้งหมดก็ซ่อนเข้าไปในเคหาสน์หุ่นเชิด แล้วหายไป
"สำเร็จแล้ว!"
ซูหมิงมีสีหน้าดีใจอย่างมาก