บทที่ 26: หม่อมฉันอยากจะแข็งแกร่งขึ้น
“ฮือออ ท่านพ่อ ไป๋ไป่ไม่ใช่คนผิดสักหน่อย” มู่ไป๋ไป่ช้อนตาขึ้นมองบิดา
คนตัวเล็กพยายามกลั้นสะอื้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ไทเฮาบอกว่าไป๋ไป่เป็นเด็กไม่ดี แล้วยังบอกว่าท่านแม่สั่งสอนไป๋ไป่ไม่ดี ดังนั้นพระนางจึงต้องการจะลงโทษท่านแม่”
มู่ไป๋ไป่กะพริบตากลมโตขณะถามมู่เทียนฉงเสียงอ่อยว่า “ท่านพ่อ ไป๋ไป่เป็นเด็กไม่ดีจริง ๆ หรือเพคะ?”
“...” ไทเฮาไม่ได้พูดอะไรออกมา
เมื่อฮ่องเต้หนุ่มเห็นลูกสาวกำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของตนจนจมูกแดงก่ำ เขาก็รู้สึกใจสลายก่อนจะหันไปมองไทเฮาด้วยสายตาเย็นชา
ไทเฮาไม่คาดคิดว่ามู่เทียนฉงจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ทำให้พระนางรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาเช่นกัน
เมื่อก่อนองค์หญิงใหญ่เป็นคนที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด ตอนนั้นฝ่าบาทไม่เคยลงโทษนางเลย ทว่าคราวนี้กลับต่างออกไป เขาไม่ได้พูดอะไรที่ไม่จำเป็นหลังจากได้ยินสิ่งที่ลูกสาวเล่า
ทั้ง ๆ ที่พระนางยังไม่ได้แตะต้ององค์หญิงหกแม้แต่ปลายนิ้ว แต่เหตุใดเขาถึงมองพระนางด้วยสายตาเช่นนี้…
ไทเฮาพยายามระงับอารมณ์ที่ซับซ้อนในใจของตัวเอง ก่อนจะฝืนยิ้มแล้วตรัสว่า “ฝ่าบาท เหตุใดวันนี้พระองค์ถึงมีเวลามาเยือนตำหนักฉือซิ่งของเราเสียล่ะ…”
“หลังจากเสร็จการว่าราชกิจในท้องพระโรง เราก็อยากจะกลับไปรับประทานอาหารพร้อมกับองค์หญิงหก แต่พอกลับไปถึงตำหนักก็เห็นว่านางหายตัวไป” มู่เทียนฉงพูดขัดไทเฮาขึ้นมาก่อนที่นางจะทันได้พูดจบ “หากไทเฮาทรงอยากจะนำตัวนางออกจากตำหนักของเราไป พระองค์ก็ควรจะถามความเห็นของเราก่อนใช่หรือไม่?”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ฝ่ายที่ได้ยินถึงกับหน้าซีด
“ฝ่าบาท! เราคือพระมารดาของพระองค์ เราอุ้มท้องพระองค์มานับ 10 เดือน ที่เราทำนั้นเป็นเพราะมีเจตนาดีต่อฝ่าบาท เหตุใดฝ่าบาท…”
ยังไม่ทันได้พูดจบ ไทเฮาก็ยกมือขึ้นกุมศีรษะของตนเองคล้ายกับว่าพระนางโมโหจนแทบจะเป็นลม
ชิงเยว่ที่คอยอยู่ด้านข้างก็ตกใจและรีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวงมา
“ได้ ถือว่าเรายุ่งเรื่องของคนอื่นก็แล้วกัน” ไทเฮาถอนหายใจด้วยท่าทางหงุดหงิด
“เชิญฝ่าบาทพาตัวองค์หญิงหกและหว่านผินออกไปจากที่นี่เถอะ นับตั้งแต่นี้ไป เราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในวังหลังของพระองค์อีก”
หลังจากกล่าวจบพระนางก็หันหลังเดินเข้าตำหนักไป
ทางด้านมู่ไป๋ไป่ขยับตัวอย่างอึดอัด
ความตั้งใจเดิมของเธอก็คือทำให้มู่เทียนฉงลงโทษไทเฮา เพื่อให้ในอนาคตอีกฝ่ายไม่กล้าลงมือกับเธออีก
แต่ใครจะรู้ว่าพ่อขี้โมโหที่เป็นถึงฮ่องเต้นั้นจะอ่านเกมออก สิ่งที่เขาทำเป็นเพียงการทำให้ไทเฮากักเก็บความโกรธที่มีต่อเธอเอาไว้ หลังจากนี้มันคงจะแปลกถ้าไทเฮาไม่มายุ่งกับเธออีก
มู่ไป๋ไป่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอเพิ่งจะจัดการพี่สาวที่ชั่วร้ายของตัวเองไปได้ และตอนนี้ก็ถึงคราวของไทเฮา ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในวังหลังนี้มายาวนาน ดูเหมือนว่าวันเวลาต่อจากนี้ของเธอจะลำบากมากยิ่งขึ้น
ซึ่งความคิดทั้งหมดทั้งมวลนี้มู่เทียนฉงย่อมไม่รู้
เมื่อฮ่องเต้หนุ่มเห็นลูกสาวในอ้อมแขนทำหน้าบึ้งตึง เขาก็คิดว่านางรู้สึกไม่พอใจ จึงได้เอ่ยปากสั่งประหารนางกำนัลและขันทีในตำหนักที่เพิ่งทำร้ายหว่านผินกับมู่ไป๋ไป่ทันที
ทันใดนั้นในตำหนักฉือซิ่งก็เต็มไปด้วยเสียงร้องขอความเมตตา บ่าวทุกคนคุกเข่าลงบนพื้นราวกับว่าพวกเขาพบเจอกับปีศาจกระหายเลือด
มู่ไป๋ไป่ไม่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้กับตาตัวเองมาก่อน เมื่อเห็นคนรับใช้ในตำหนักถูกตีจนตายห่างจากเธอไปเพียงไม่กี่ก้าว เธอก็ต้องตกตะลึง
คนตัวเล็กนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งผู้เป็นพ่อพาเธอกลับไปที่ตำหนักฮ่องเต้
มู่เทียนฉงได้สั่งให้นางกำนัลในตำหนักเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สกปรกเลอะเทอะของมู่ไป๋ไป่ และสั่งกำชับให้คนในห้องครัวนำของว่างที่นางชื่นชอบมาเพื่อเบี่ยงเบนความคิดของเด็กหญิง
อย่างไรก็ตาม หลังจากเวลาผ่านไปได้ 1 เค่อ*แล้ว ของว่างที่วางอยู่บนโต๊ะก็ไม่ได้ถูกแตะต้องเลยสักนิด
*1 เค่อ = 15 นาที
“...” มู่เทียนฉงขมวดคิ้วถามว่า “ทำไม เจ้ายังอารมณ์ไม่ดีอยู่หรือ?”
มู่ไป๋ไป่ส่ายหัวตอบโดยไม่รู้ตัว และในที่สุดเธอก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ไม่ใช่เพคะท่านพ่อ”
แต่เธอก็กลัวว่ามู่เทียนฉงจะพาลเอาอารมณ์ไปลงกับคนอื่นมากกว่านี้
“ตอนนี้เจ้าสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ทำไมเจ้าไม่กินอะไรหน่อยล่ะ?” คนเป็นพ่อวางขนมลงในมือพลางเลิกคิ้วถาม
คราวนี้มู่ไป๋ไป่ไม่ได้ตอบทันที เธอก้มหัวลงมองมือเล็ก ๆ ที่กำลังบีบกันแน่น
หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอัดอั้นตันใจว่า “ไป๋ไป่รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอเกินไปเพคะ”
ในตอนแรกเธอรู้สึกหวาดกลัวที่เห็นคนของตำหนักฉือซิ่งถูกตีจนตายต่อหน้าเธอ
เด็กหญิงรู้สึกว่าพ่อขี้โมโหคนนี้น่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเธอก็กลับมาตั้งสติได้ ก่อนจะทำความเข้าใจเหตุและผลของเรื่องนี้
บางทีคนที่ตายไปอาจจะเป็นคนบริสุทธิ์ แต่ทั้งหมดนี้พ่อเจ้าอารมณ์ของเธอทำทุกอย่างเพื่อเธอ และเธอก็รู้สึกสงสารคนเหล่านั้น พวกเขาเองก็ไม่มีทางเลือก ถ้าไม่ทำตามคำสั่งไทเฮาก็ตาย พอทำก็ตายเช่นเดียวกัน
แล้วคนที่น่ากลัวจริง ๆ ไม่ใช่มู่เทียนฉง เขาแค่เป็นเพียงคนที่ยืนอยู่เหนือคนนับหมื่นและสามารถกำหนดชีวิตความเป็นความตายของผู้คนได้ด้วยคำพูดเพียงคำเดียว
“หืม?” ฮ่องเต้หนุ่มถามขึ้นมาด้วยความสนใจ “แล้วเจ้าคิดอะไรอีก?”
“หลังจากนี้ไป๋ไป่อยากจะแข็งแกร่งขึ้น” มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นสบตากับมู่เทียนฉงด้วยสายตามุ่งมั่น
จากนั้นเขาก็พูดเสียงจริงจังว่า “หลังจากที่เจ้าแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ก็จงใช้ความแข็งแกร่งนั้นปกป้องตัวเองและแม่ของเจ้า”
เมื่อถึงเวลานั้นเธอก็จะไม่ถูกคนอื่นคุกคามอีกต่อไป และเธอก็จะไม่มีวันปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์ต้องมาตายเพราะเธออีกเช่นกัน
เด็ก 4 ขวบครึ่งที่ตัวอ้วนกลมขึ้นเล็กน้อยกำลังนั่งอยู่บนตั่ง ท่าทางที่มุ่งมั่นและจริงจังของเธอนั้นทำให้คนที่มองอยู่รู้สึกมีความสุขจนทำให้สีหน้าของเขาอ่อนลง
ขณะเดียวกัน อวี้เซิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดแค่นเสียงหัวเราะและพูดเยาะเย้ยว่า “เจ้าเด็กนี่ซื่อบื้อมากจริง ๆ”
แต่พอมู่ไป๋ไป่รู้ตัวอีกที เธอก็รู้สึกเสียใจกับคำพูดที่คล้ายเด็กประถมของตัวเอง
ในขณะที่เธอกำลังคิดว่าจะแก้ตัวอย่างไร เธอก็ได้ยินพ่อระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
มู่เทียนฉงโดยพื้นฐานเป็นคนที่มีหน้าตาหล่อเหลาเอาการอยู่แล้ว แต่เนื่องจากในเวลาปกติเขาจะต้องรักษาท่าทีของตัวเองให้สง่างามในฐานะฮ่องเต้ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะแสดงความรู้สึกออกมาตามตรง แต่ตอนนี้ปมที่เคยผูกอยู่หว่างคิ้วของเขาได้หายไป และเขาก็ดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อยซึ่งทำให้มู่ไป๋ไป่ตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏ
แม่เจ้า พ่อคนนี้หน้าตาดีมากกกก
อันกงกงซึ่งกำลังรออยู่หน้าประตูก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงสรวลของฝ่าบาท
เขารีบมองเข้าไปด้านในด้วยสายตาเหลือเชื่อ หลังจากยืนยันว่านั่นเป็นเสียงสรวลจากฮ่องเต้จริง ๆ เขาก็หันกลับมาด้วยความงุนงง
“อันกงกง นั่นเสียงฝ่าบาทสรวลหรือขอรับ?” ขันทีผู้น้อยที่อยู่ด้านข้างอดที่จะเอ่ยปากถามขึ้นมาอย่างสงสัยไม่ได้ “น่าแปลกที่สีพระพักตร์ของฝ่าบาทมักจะดูไร้อารมณ์ในยามที่ว่าราชการในท้องพระโรง ในตอนนั้นพวกข้าน้อยตกใจกันแทบตาย นานแค่ไหนแล้วที่…”
“หุบปาก นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะเอามาพูดสุ่มสี่สุ่มห้าได้” อันกงกงดุอีกฝ่ายเสียงเย็น หลังจากที่ขันทีหนุ่มก้มศีรษะลงและปิดปากเงียบ อันกงกงก็ออกคำสั่งอีกครั้ง “สิ่งที่เราควรจำให้ขึ้นใจก็คือคนผู้นั้นทำให้ฝ่าบาทสรวลอย่างมีความสุขได้ ต่อจากนั้นต้องทำอย่างไรก็คิดเอาเองเถอะ”
“ต่อจากนี้ไปข้าน้อยจะกระฉับกระเฉงให้มากขึ้นในยามที่ต้องรับใช้องค์หญิงหกขอรับ”
ขันทีน้อยพยักหน้าซ้ำ ๆ พลางแอบคิดว่าองค์หญิงหกคนนี้ช่างเป็นอัจฉริยะจริง ๆ
ในห้องโถง มู่เทียนฉงลูบหัวของมู่ไป๋ไป่แบบไม่ออมแรง “เอาเถอะ เจ้าเป็นลูกสาวของเราจริง ๆ ช่างกล้าหาญยิ่งนัก”
“...” มู่ไป๋ไป่ที่ถูกแรงนั้นลูบเกือบตกจากตั่ง
“แต่เดิมเราอยากรอจนกว่าจะหาคนที่เหมาะสมมาสอนให้เจ้าก่อนที่จะให้เจ้าได้เรียนรู้ ในเมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นเราจะไม่รั้งรออีกต่อไป อาจารย์ที่เราหามาให้องค์รัชทายาทนั้นมีความเป็นเลิศในศิลปะทั้ง 6 ด้าน ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปให้เจ้าติดตามไปร่วมเรียนกับองค์รัชทายาท”
มู่เทียนฉงพูดขึ้นมาอย่างมีความสุข โดยไม่รู้สึกว่าคำพูดของเขามีอะไรผิดปกติเลย
ทว่าสีหน้าของอวี้เซิ่งที่ซ่อนอยู่ในความมืดนั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย และเขาก็หันไปมองมู่ไป๋ไป่ด้วยสายตาสงสัยมากขึ้น
แต่มู่ไป๋ไป่กลับตามความคิดของผู้เป็นพ่อไม่ทัน “หา!?”
ช้าก่อน มู่เทียนฉงเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่?
ที่เธอบอกว่าอยากจะแข็งแกร่งขึ้นมันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย!
มันเป็นเรื่องปกติที่เธอจะคุ้นเคยกับเนื้อหาการเรียนในยุคปัจจุบันมาก แต่ตอนนี้เธอได้ทะลุมิติมายังอดีต การที่เธอต้องเข้าเรียนนั้นมันไม่ต่างจากการเริ่มใหม่เลยไม่ใช่หรือ?
อย่างไรก็ตาม มู่เทียนฉงก็ไม่เปิดโอกาสให้ลูกสาวประท้วง และได้ประกาศราชโองการออกไปโดยตรง
ส่งผลให้ทุกคนในวังตกตะลึงที่องค์หญิงหกได้รับพระกรุณาอันล้นพ้นและได้รับอนุญาตให้เข้าศึกษากับองค์รัชทายาท
ในตำหนักชิงเหอ
“สิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ!” ลี่เฟยกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะด้วยความตกใจ “เจ้าได้ยินข่าวมาผิดหรือไม่?”