บทที่ 25: เจ้าจำไม่ได้หรือ?
หลังจากที่คนรับใช้ได้ยินคำสั่งของไทเฮา ขันที 2 คนก็เดินเข้ามาหิ้วปีกหว่านผินและลากนางออกไปด้วยท่าทางที่หยาบคาย
“ท่านแม่!”
มู่ไป๋ไป่รู้สึกหวาดกลัวขณะพยายามที่จะเข้าไปห้ามพวกเขา แต่จู่ ๆ ก็มีคนคว้าหลังคอเสื้อของเธอก่อนจะดึงออกไป
ชิงเยว่จับตัวของเด็กหญิงเอาไว้แน่นแล้วพูดว่า “องค์หญิงหก พระองค์ควรทำตัวดี ๆ คนรับใช้ในตำหนักฉือซิ่งนั้นทำอะไรไม่ยั้งมือ ร่างกายของพระองค์นั้นเป็นดั่งหยกล้ำค่า หากพระองค์ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย เช่นนั้นฝ่าบาทคงจะตำหนิพวกเรา”
“ปล่อยนะ!” ดวงตาของมู่ไป๋ไป่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธ ในขณะที่คนตัวเล็กพยายามสะบัดแขนขาของตัวเองเพื่อให้หลุดออกจากการจับกุมอย่างสิ้นหวัง
อย่างไรก็ตาม ร่างนี้ก็เป็นเพียงเด็กอายุ 4 ขวบครึ่งเท่านั้น เธอไม่มีทางสู้แรงของชิงเยว่ได้เลย ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงเฝ้าดูแม่ของตนถูกลากออกไป
แม้ว่าเธอจะได้ใกล้ชิดกับหว่านผินเพียงไม่กี่วัน แต่อีกฝ่ายก็คอยดูแลเธออย่างดีด้วยใจจริง เธอจึงนับว่าหว่านผินนั้นเป็นแม่ของเธอ และตอนนี้เธอก็รู้สึกทั้งโกรธและเป็นกังวลมาก
“ไป๋ไป่ แม่ไม่เป็นไร” ซูหว่านที่ถูกดึงออกจากตำหนัก ถึงแม้ว่าใบหน้าของนางจะซีดลงด้วยความหวาดกลัว แต่นางก็ยังคงพยายามฝืนยิ้มให้ลูกสาววางใจ “ไป๋ไป่ เจ้ารอแม่อยู่ที่นี่นะ แล้วแม่จะรีบกลับมา”
แต่โทษทัณฑ์ที่หว่านผินได้รับเป็นการโบย 20 ไม้ ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากถูกโบยแล้วนางจะยังมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่ มันคงเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจหากนางยังกลับมาได้
ดังนั้นถ้ามู่ไป๋ไป่ไม่คิดหาวิธีช่วยท่านแม่จากสถานการณ์เสี่ยงตาย วันนี้คงกลายเป็นวันตายของอีกฝ่าย และเธอก็จะถูกพระสนมคนอื่นเอาไปเลี้ยงดูเพราะเธอไม่มีแม่คอยดูแล
เด็กหญิงกัดริมฝีปากตัวเองขณะพยายามเค้นความคิดในสมองเล็ก ๆ ของเธอออกมาให้เร็วที่สุด
มันคงไม่มีทางสำเร็จแน่นอนหากเธอจะขอร้องให้ไทเฮาปล่อยซูหว่านไป
ในความคิดของเธอ ไทเฮานั้นรับมือได้ยากกว่ามู่เทียนฉงเสียอีก หากใช้ประสบการณ์อันยาวนานของเธอในการอ่านนิยายแนวชิงดีชิงเด่นในวังหลวง ยิ่งเธอพยายามร้องขอความเมตตาในเวลานี้มากเท่าไหร่ หว่านผินก็จะยิ่งตายเร็วขึ้นเท่านั้น
เวลานี้ท่านพ่อน่าจะว่าราชการเสร็จแล้ว…
มู่ไป๋ไป่กัดฟันและคิดวางแผนในใจ เธอพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อตั้งสติแล้วหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับนางกำนัลนิ่ง ๆ “อีขี้ข้าชาติหมา เจ้าบังอาจมาทำร้ายองค์หญิงอย่างข้า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ แน่!”
“พระองค์เรียกหม่อมฉันว่าอะไรนะ?!” สถานะของชิงเยว่ในวังหลวงนับว่าไม่ได้ต่ำต้อยเลย แม้แต่ไทเฮาก็ยังไม่เคยพูดจารุนแรงกับนางเช่นนี้
มันไม่มีทางที่นางจะถูกเรียกว่า ‘อีขี้ข้าชาติหมา’ อย่างแน่นอน ดังนั้นใบหน้าของนางจึงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความโกรธ
“ทำไม เจ้าไม่ใช่ขี้ข้าอย่างนั้นหรือ?” มู่ไป๋ไป่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา
จากหางตา เธอสังเกตเห็นว่าไทเฮาซึ่งอยู่ไม่ไกลไม่ได้เข้ามาขวาง ดังนั้นเธอจึงพูดยั่วคนตรงหน้าต่อไป “ในเมื่อเจ้ารู้ดีว่าองค์หญิงนั้นมีร่างกายล้ำค่าดั่งหยก แล้วทำไมเจ้าไม่รีบปล่อยมือออกเสียล่ะ”
“มิเช่นนั้น หากองค์หญิงคนนี้ไปฟ้องเสด็จพ่อ เสด็จพ่อของข้าจะต้องลงโทษเจ้าให้หลาบจำแน่!”
คำพูดของมู่ไป๋ไป่อาจจะฟังดูหยิ่งผยองไปบ้าง แต่มันก็สมเหตุสมผล
ชิงเยว่ถึงกับพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง และเผลอปล่อยมือตัวเองโดยไม่รู้ตัว
มู่ไป๋ไป่รอจังหวะนี้อยู่แล้ว เธอจึงรีบวิ่งออกจากห้องโถงไปทันที
ปัจจุบันหว่านผินรับการโบยไป 2 ครั้งแล้ว เพื่อไม่ให้บุตรสาวต้องเป็นกังวลมากยิ่งขึ้น นางจึงพยายามกัดฟันกลั้นเสียงร้องเอาไว้เต็มที่
มู่ไป๋ไป่ที่รีบวิ่งออกมาน้ำตาไหลทันทีเมื่อเห็นท่าทางกัดฟันอดทนของผู้เป็นแม่
แล้วเธอก็วิ่งเข้าไปหาอีกฝ่าย ก่อนที่การโบยครั้งที่ 3 จะกระทบหลังของซูหว่าน เด็กหญิงก็เข้าไปนอนขวางแม่ของตนเอาไว้
“ไป๋ไป่?” หว่านผินที่สติเริ่มเลือนรางเงยหน้าขึ้นมาด้วยความยากลำบาก “เจ้าหลบออกไปเดี๋ยวนี้ อย่าให้พวกเขาทำร้ายเจ้า แม่ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องกลัว”
“ไม่!” มู่ไป๋ไป่จ้องหน้าขันทีและนางกำนัลที่กำลังจะพยายามเข้ามาดึงตัวเธอออกไปด้วยสายตาดุดันพร้อมกับตะโกนข่มขู่ว่า “วันนี้ใครกล้าแตะต้ององค์หญิงอย่างข้าก็ลองดู!”
นางกำนัลและขันทีหลายคนรู้สึกลังเลไม่กล้าก้าวออกมาทันที
พวกเขาไม่ใช่คนโง่ พวกเขารู้ว่าตอนนี้องค์หญิงหกกำลังได้รับความโปรดปราน มันเป็นเรื่องปกติที่จะทำให้นายเหนือหัวของพวกตนไม่พอใจ ซึ่งมันก็เป็นพวกเขาที่คอยเผยแพร่ข่าวลือเหล่านี้
“พวกเจ้าจะมัวยืนบื้ออีกทำไม รีบเข้าไปดึงองค์หญิงหกออกมาเร็วเข้า ถ้าเผลอไปทำร้ายพระวรกายที่สำคัญขององค์หญิงเข้า พวกเจ้าจะรับโทษไหวอย่างนั้นหรือ!” ชิงเยว่ออกคำสั่งอย่างเข้มงวด “พวกเจ้าอยากหัวหลุดออกจากบ่าหรืออย่างไร!”
สิ้นเสียงตะโกน เหล่าสาวใช้และขันทีก็ไม่ลังเลอีกต่อไป
พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อดึงมู่ไป๋ไป่ออกมาอย่างไม่เต็มใจ และสุดท้ายพวกเขาก็กระซิบว่า “องค์หญิงหก ทรงอย่าทำให้พวกกระหม่อมต้องลำบากใจเลย ลุกขึ้นเถิด”
ทางด้านเด็กหญิงยังคงกอดหว่านผินเอาไว้แน่น
บ้าเอ๊ยยย! ทำไมมู่เทียนฉงยังไม่มาสักที?!
ลูกสาวคนนี้ของท่านยื้อต่อไปไม่ไหวแล้วนะ!
“ฮ่องเต้เสด็จ!” เสียงหนึ่งดังขึ้นเหมือนเป็นระฆังยุติการต่อสู้
มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ ในที่สุดผู้ช่วยชีวิตของเธอก็มาถึงแล้ว เธอรีบปล่อยมือจากผู้เป็นแม่และปล่อยให้ขันทีลากตัวเธอออกไป
ในตอนนั้นเอง ยามที่มู่เทียนฉงก้าวเข้ามาในตำหนักฉือซิ่ง เขาก็เห็นหว่านผินนอนพาดอยู่บนแท่นลงโทษด้วยใบหน้าไร้สีเลือด
และมู่ไป๋ไป่ก็ถูกคนรับใช้ในวัง 2 คนลากตัวออกไป ในขณะที่ใบหน้าของเด็กน้อยเต็มไปด้วยน้ำตา ซึ่งมันทำให้เขาที่เห็นภาพนั้นรู้สึกปวดใจ
“ฮือออ ท่านพ่อช่วยด้วย! ท่านแม่กำลังจะตายแล้ว!”
มู่ไป๋ไป่ได้รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดในกายตะโกนออกไปเสียงดังลั่น เป็นผลให้ขันที 2 คนที่รั้งตัวเธอไว้ถึงกับหวาดกลัวจนตัวสั่น
ใบหน้าหล่อเหลาของมู่เทียนฉงนั้นเย็นชามากกว่าปกติทันที “เกิดอะไรขึ้น?”
ขันทีและนางกำนัลในตำหนักฉือซิ่งไม่มีใครกล้าตอบสักคน พวกเขาทำเพียงแค่นั่งคุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองผู้มาเยือนด้วยซ้ำ
นั่นทำให้มู่ไป๋ไป่เป็นอิสระ เธอจึงรีบวิ่งและกระโดดกอดขาของคนเป็นพ่อ
เมื่อเด็กหญิงได้กลิ่นตัวที่คุ้นเคยของมู่เทียนฉง เธอก็รู้สึกสบายใจขึ้น ทำให้น้ำตาที่เธอพยายามกลั้นไว้หลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย
พวกเธอกำลังได้รับความไม่เป็นธรรม!
ทางด้านมู่เทียนฉงมองลูกสาวที่กำลังเช็ดใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำหูน้ำตาบนเสื้อคลุมมังกรของเขา ในขณะที่คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น
ส่วนอันกงกงที่อยู่ด้านข้างรู้สึกหวาดกลัวมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นองค์หญิงหกคนนี้ท้าทายความอดทนของฝ่าบาทอยู่ตลอดเวลา เขาไม่รู้ว่าครั้งนี้ฝ่าบาทจะยังทรงตามพระทัยนางต่อไปหรือไม่
“เจ้าร้องไห้ทำไม?” มู่เทียนฉงถามออกมาด้วยใบหน้าถมึงทึง
นั่นยิ่งทำให้ทุกคนตกใจจนเผลอกลั้นลมหายใจขณะมองดูมู่ไป๋ไป่ที่กำลังสะอื้นอย่างน่าสงสารต่อหน้าฝ่าบาท
ดูเหมือนว่าวันเวลาดี ๆ ขององค์หญิงหกจะสิ้นสุดลงแล้ว
เมื่อย้อนนึกถึงยามที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานองค์หญิงใหญ่ในอดีต แต่ในตอนนี้นางถูกสั่งจำคุกอยู่ในคุกใต้ดินเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่มีเหตุผลที่องค์หญิงหกจะได้รับสิทธิพิเศษเหนือใคร
ความโปรดปรานของฝ่าบาทคงอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น
บัดนี้มู่ไป๋ไป่รู้สึกหวาดกลัวอยู่ภายใน พร้อมกับที่เธอเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างเป็นกังวล
อย่างไรก็ตาม เมื่อครู่นี้เธอร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำและเปียกปอนไปด้วยน้ำตา
ในขณะนี้ภาพเบื้องหน้าของเธอพร่ามัว และเธอไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของมู่เทียนฉงได้ชัดเจน ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เธอจะไม่ทันสังเกตเห็นความโกรธในดวงตาของเขาเลย
“ในยามที่เกิดเรื่อง เจ้ารู้จักแต่ร้องไห้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นหรือ ทำไมเจ้าถึงได้โง่ขนาดนี้?” ฮ่องเต้หนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงดุดันก่อนจะยื่นมือออกไปอุ้มเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้ตรงหน้าเข้ามาไว้ในอ้อมแขน
ทำไม…
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
เหล่านางกำนัลและขันทีในตำหนักต่างเงี่ยหูฟังเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“...” มู่ไป๋ไป่นิ่งอึ้งมองใบหน้าที่ขยายขึ้นอย่างกะทันหัน เธอไม่เข้าใจว่าพ่อขี้โมโหคนนี้หมายความว่าอย่างไรกัน
“เจ้าจำที่เราบอกไม่ได้หรือ?”
มู่เทียนฉงจ้องมองลูกสาวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดึงแขนเสื้อของเขาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะปาดมันไปที่ใบหน้าของคนตัวเล็กแบบลวก ๆ อยู่ 2-3 ครั้ง พร้อมกับทำสีหน้ารังเกียจ
ทว่าการกระทำที่ดูหยาบกระด้างนั้นกลับดูอ่อนโยนมากในสายตาของคนที่พบเห็น
“บุตรสาวของเราเป็นบุตรสาวของโอรสสวรรค์ เราอยากเห็นนักว่าใครกล้ารังแกเจ้า!”
ชิงเยว่ที่กำลังพยุงไทเฮาเดินออกมาจากตำหนักบังเอิญได้ยินคำพูดของมู่เทียนฉง มันทำให้หัวใจของนางหนักอึ้งและนางก็รู้สึกกระสับกระส่าย
แท้จริงแล้วฝ่าบาททรงสนพระทัยองค์หญิงหกมากถึงเพียงนี้เลยหรือ!