บทที่ 22 ขาดเพียงปีกคู่หนึ่ง
บทที่ 22 ขาดเพียงปีกคู่หนึ่ง
เฟิงหยวนหนิงรีบละสายตาจากหลิงจิ่งไปทันที แล้วตั้งใจรอฟังข้อความแจ้งการแก้ไขของระบบ
“เพื่อรักษามาตรฐานการเข้าพัก ห้องเดี่ยวสามารถเข้าพักได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น โดยสามารถยกเว้นข้อจำกัดกับกลุ่มเปราะบางที่ต้องการผู้ดูแล เช่น เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี ผู้พิการ ผู้ป่วย และผู้สูงอายุที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้”
“หากมีผู้ที่ไม่ได้เข้าพักมาเยี่ยมแขกในโรงแรม พวกเขาสามารถอยู่ในห้องพักใด ๆ สูงสุดไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน”
“เนื่องจากเป็นอาคารที่มีฟังก์ชันพิเศษ ลานบ้านภายในจะไม่เปิดให้บริการเฉพาะแขกที่เข้าพักอีกต่อไป”
“ปลดล็อกระบบตั๋วเข้าลานบ้าน แขกที่เข้าพักสามารถใช้คีย์การ์ดเข้าชมลานบ้านได้ฟรี ส่วนแขกที่ไม่ได้เข้าพักจะต้องซื้อตั๋วเพื่อเข้าใช้บริการ ราคาตั๋วแนะนำอยู่ที่ 10 เหวินต่อชั่วโมง”
“ระบบได้แก้ไขข้อผิดพลาดเรียบร้อยแล้ว ขอให้โฮสต์ดำเนินการต่อไปและค้นหาข้อผิดพลาดของระบบเพิ่มเติม”
เฟิงหยวนหนิงถามระบบในใจว่า “ฉันช่วยหาข้อผิดพลาดก็ได้ แต่ทำไมถึงไม่มีรางวัลให้หน่อยล่ะ?”
“รางวัลคือระบบตั๋วเข้าลานบ้าน โดยได้ติดตั้งเครื่องจ่ายตั๋วไว้ที่ประตูทางเข้าลานบ้านเรียบร้อยแล้ว”
เฟิงหยวนหนิง “…”
ในเมื่อเพิ่มฟังก์ชันการซื้อตั๋วแล้ว ทำไมถึงไม่เพิ่มระบบตั๋วเข้าลานบ้านตั้งแต่แรกเล่า?
แต่พอถามไปอีก ระบบก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
หลังจากถามอีกหลายครั้ง ระบบก็เงียบหายไป
เฟิงหยวนหนิงจึงต้องจำใจยอมแพ้ เธอเข้าไปในระบบตั๋วเข้าลานบ้าน แล้วปรับราคาตั๋วเป็น 50 เหวินต่อชั่วโมง
ราคานี้สูงกว่าค่าห้องพักเล็กน้อย แต่ก็ไม่สูงเกินไป ถือว่ากำลังพอดี
หลิงจิ่งเห็นว่าเฟิงหยวนหนิงไม่ตอบอะไรเลย สีหน้าของเขาจึงเริ่มไม่สู้ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ
เดิมทีเขาวางแผนจะฝึกฝนร่างกายโดยอาศัยอุปกรณ์ในลานบ้าน ทว่าตอนนี้ ดูเหมือนหนทางนี้จะถูกตัดขาดเสียแล้วใช่ไหม?
หลิงจิ่งรู้สึกใจหดหู่ลงทันที “เถ้าแก่ ไม่มีทางผ่อนผันให้บ้างเลยหรือขอรับ?”
เฟิงหยวนหนิงกระแอมเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ก็ไม่เชิงว่าไม่มีทาง”
ซ่งอวี้หลวนและหลิงจิ่งต่างก็ดีใจ แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อได้ยินเฟิงหยวนหนิงพูดต่อว่า “ข้าตัดสินใจยกเลิกข้อจำกัดในการเข้าลานบ้าน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แขกที่ไม่ได้เข้าพักจะสามารถเข้าไปในลานบ้านได้ ทว่าต้องซื้อตั๋วสำหรับเข้าในราคา 50 เหวินต่อชั่วโมง”
“อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ข้าคิดไม่รอบคอบเอง เพื่อรักษามาตรฐานการเข้าพัก ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ห้องเดี่ยวจะอนุญาตให้เข้าพักได้เพียงคนเดียวเท่านั้น แขกที่เข้าพักแล้วสามารถไปมาหาสู่กันได้ แต่แขกที่ไม่ได้เข้าพักจะอยู่ในห้องได้ไม่เกินสองชั่วโมงต่อวัน โดยหนึ่งชั่วโมงเท่ากับครึ่งชั่วยาม”
ซ่งอวี้หลวนมองด้วยความเคารพและชมเชยว่า “เถ้าแก่ ท่านช่างมีจิตใจเมตตา มีคุณธรรมสูงส่ง และเห็นอกเห็นใจคนธรรมดาเยี่ยงเรามากที่สุด การทำเช่นนี้ ย่อมมีผู้คนมากมายที่รู้สึกถึงความเมตตาของท่าน”
เฟิงหยวนหนิง “…”
แต่ก็มีบางคนที่ไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลงของโรงแรม โดยคิดว่าอำนาจของกลุ่มตนเองสูญเสียข้อได้เปรียบบางประการ เช่น องค์ชายไป๋ฮ่าวเกอ และหัวหน้าหน่วยสืบสวน (สมาชิกหน่วยสืบสวนลับ) ชีปั๋วหรง
เมื่อลานบ้านไม่มีข้อจำกัดใด ๆ อีก ผู้คนจำนวนมากจะได้รับประโยชน์จากมัน พวกเขาในฐานะตัวแทนของราชสำนัก ย่อมไม่พอใจกับสถานการณ์เช่นนี้
แต่ภายนอก พวกเขาก็ต้องกล่าวชมเชย
ไป๋ฮ่าวเกอตามหลังซ่งอวี้หลวนทันที แล้วกล่าวชมเชยว่า “ด้วยสถานะของท่าน เห็นได้ชัดว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรามากนัก ทว่าท่านกลับให้ความสำคัญกับพวกเราอย่างยิ่ง แม้กระทั่ง…”
เฟิงหยวนหนิงขนลุกซู่ไปทั้งตัว จึงโบกมือขัดจังหวะเขาไป “พอแล้ว ข้าไม่ได้ชอบฟังเรื่องพวกนี้!” เธอหันไปมองซ่งอวี้หลวนและหลิงจิ่ง “ตอนนี้ยกเลิกข้อจำกัดการเข้าพักแล้ว ท่านทั้งสองจะต่ออายุห้องพักหรือไม่?”
“ต่อเจ้าค่ะ ต่อแน่นอน เถ้าแก่ โปรดวางใจ ข้าจะพูดให้น้อยลง ทำงานหนักขึ้น และจะเก็บความรู้สึกขอบคุณไว้ในใจ” ซ่งอวี้หลวนดีใจมาก และรีบตอบตกลงทันที
หลังจากได้สัมผัสกับห้องพักที่สะอาดและสบายขนาดนี้ แล้วจะให้เธอไปพักที่อื่นได้อย่างไร?
ไม่ต้องพูดถึงโรงเตี๊ยมซอมซ่อเหล่านั้น แม้แต่ห้องส่วนตัวที่สำนักขุนเขากระบี่ เธอก็ไม่อยากกลับไปอยู่ที่นั่นอีกแล้ว
เธออยากจะอยู่ในโรงแรมนี้ไปตลอดชีวิต
“…” เฟิงหยวนหนิงพูดไม่ออกครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ “เอาล่ะ จะต่ออายุให้อีกสามวัน”
เฟิงหยวนหนิงหันไปมองชีปั๋วหรงและพรรคพวก “พวกท่านคงไม่ได้ต้องการเข้าพักจริง ๆ ใช่หรือไม่? หากเป็นเช่นนั้น จะได้เก็บห้องพักไว้ให้คนอื่นที่ต้องการมากกว่า”
ชีปั๋วหรงหันไปมองลูกน้องของตนเอง ก่อนจะพูดว่า “เถ้าแก่ พวกเขาอาจไม่พัก แต่ข้าขอพักอยู่ที่นี่สักหนึ่งวันได้ไหมขอรับ?”
เขาต้องการสังเกตและสัมผัสบรรยากาศของโรงแรมแห่งนี้ รวมถึงอยากจะลองเข้าไปพักในห้องด้วยตนเอง เพื่อเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด
เฟิงหยวนหนิงพยักหน้า “ย่อมได้”
ในปัจจุบัน
สองศิษย์จากสำนักขุนเขากระบี่ ซ่งอวี้หลวนและหลิงจิ่ง เข้าพักในห้องเดี่ยวสองห้อง หัวหน้าหน่วยสืบสวนชีปั๋วหรงหนึ่งห้อง และองค์ชายไป๋ฮ่าวเกอพร้อมเหมายี่ผู้ติดตามอีกหนึ่งห้อง
เป็นผลให้โรงแรมเหลือห้องพักเพียง 5 ห้องเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เฟิงหยวนหนิงไม่ได้ให้ความสำคัญกับห้องพักอีกแล้ว เธอหันไปให้ความสนใจกับร้านอาหารและลานบ้านแทน
เมื่อจัดการให้แขกทุกคนเข้าพักเรียบร้อยแล้ว เฟิงหยวนหนิงจึงหันไปหาชีปั๋วหรงและพรรคพวกตำรวจ “พวกท่านจะสั่งอาหารจานไหนดี? เมนูวางอยู่บนโต๊ะอาหาร ลองเลือกดูได้เลย”
ชีปั๋วหรงหยิบเมนูขึ้นมาดู เมื่อเห็นภาพถ่ายสีเป็นครั้งแรก เขาก็ถึงกับตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ขออย่างละหนึ่งจานได้ไหมขอรับ?”
“ได้”
เนื่องจากโต๊ะหนึ่งนั่งได้ไม่เกิน 4 คน ชีปั๋วหรงจึงขออนุญาตเฟิงหยวนหนิง ยกโต๊ะสองตัวมารวมกันเป็นโต๊ะเดียว
เฟิงหยวนหนิงเข้าไปบอกซิ่วเอ๋อร์ในห้องครัวเสร็จ ก็กลับมานั่งบนโซฟาในร้านอาหาร จากนั้นเปิดหน้าจอระบบเสมือนจริงขึ้นมา
เงื่อนไขการอัปเกรดโรงแรม: ร้านอาหารรองรับลูกค้าทั้งหมด 11/3000 และทำภารกิจให้สำเร็จ 0/3 ภารกิจ
ภารกิจ: ขายปลาต้มพริกให้ลูกค้าครบ 4/100 จาน เพื่อปลดล็อกเอฟเฟกต์พิเศษของโรงแรม “สี่ฤดูดุจดั่งฤดูใบไม้ผลิ”
ตอนนี้ยังห่างไกลจากการทำภารกิจสำเร็จ เฟิงหยวนหนิงจึงเปิดระบบพนักงาน เข้าไปที่หน้าต่างของซิ่วเอ๋อร์ แล้วเริ่มเล่นเกมแต่งตัวอย่างมีความสุข
อืม รูปแบบประดับหน้าผากอันนี้ดูหรูหราดีจัง มีเอกลักษณ์เฉพาะ ลองเปลี่ยนดูหน่อยดีกว่า
ไฝใต้ตาอันนี้ก็สวยดี เติมเข้าไปแล้วกัน
ผมสีขาวเงินแบบนี้โคตรสวยเลย งั้นเปลี่ยน
นอกจากเครื่องสำอางแล้ว ในตู้เสื้อผ้าก็มีชุดให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชุดฮั่นฝูโบราณ ชุดฮั่นฝูดัดแปลง ชุดสมัยใหม่ หรือชุดราชวงศ์ยุโรป
แน่นอนว่า ตอนนี้เธอแค่ทดลองสวมใส่และสนุกกับการแต่งตัวในระบบ
หากเธอต้องการเปลี่ยนซิ่วเอ๋อร์ให้เป็นแบบนี้จริง ๆ มันคงต้องใช้เงินจำนวนมาก ซึ่งเธอไม่ได้มีความตั้งใจจะทำแบบนั้น
ถึงแม้ว่าก่อนจะข้ามมิติมา เฟิงหยวนหนิงจะมีทองติดตัวมาสามตำลึง ซึ่งมากพอที่จะใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยได้สักพัก แต่เธอก็ยังรู้สึกเสียดายที่จะใช้เงินมากเกินไป
ชีปั๋วหรงและพรรคพวกตำรวจไม่กล้าพูดคุยเสียงดัง พวกเขาเพียงนั่งนิ่งเงียบอยู่ที่โต๊ะ
ทันใดนั้นเอง ซิ่วเอ๋อร์ก็เดินออกจากห้องครัวพร้อมกับอาหารจานแรก ไก่ผัดพริกแห้ง
แต่แล้วชีปั๋วหรงพลันสังเกตเห็นว่า บนใบหน้าที่ขาวใสของซิ่วเอ๋อร์นั้น จู่ ๆ ก็ปรากฏรอยสีแดงแต้มตรงกลางหน้าผาก และมีไฝใต้ตาข้างซ้าย
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือ ผมของเธอเปลี่ยนเป็นสีขาว!
เขาจำได้อย่างชัดเจนว่า ก่อนหน้านี้ผมของเธอยังเป็นสีดำ แต่เพียงแค่พริบตาเดียว ผมของเธอก็กลายเป็นสีขาวไปเสียแล้ว?!
ผมของคนเราจะเปลี่ยนจากดำเป็นขาวได้เร็วขนาดนี้ได้ยังไง?
ชีปั๋วหรง “!!!”
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
คนอื่น ๆ ในร้านต่างพากันตกตะลึง
คนที่กำลังถือตะเกียบพลันทำตะเกียบหล่นพื้น
คนที่กำลังเคี้ยวอาหารก็ลืมเคี้ยวต่อไปชั่วขณะ
ขณะที่ซิ่วเอ๋อร์กำลังวางจานไก่ผัดพริกแห้งลงบนโต๊ะ ชุดที่เธอสวมใส่อยู่ก็แปรเปลี่ยนไปทันใด
เดิมทีเธอสวมชุดฮั่นฝูโบราณสีเขียวอ่อน แต่ตอนนี้ชุดของเธอกลายเป็นกระโปรงยาวที่ดูแปลกตาและหรูหราเป็นอย่างยิ่ง
ชีปั๋วหรงและเหล่านายตำรวจตกใจกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหัน พวกเขาพากันถอยหนีไปอยู่ห่าง ๆ ขณะมองมาที่ซิ่วเอ๋อร์ด้วยความหวาดกลัวและสงสัย
ซ่งอวี้หลวนงุนงงไปเล็กน้อย แต่แล้วเธอก็ทำทีเป็นไม่สนใจอะไร แล้วหยิบตะเกียบที่เกือบจะตกไปในชามปลาต้มพริกขึ้นมา
เธอกระแอมในลำคอเล็กน้อย มองไปทางทุกคนที่อยู่รอบ ๆ แล้วพูดด้วยท่าทางหยิ่งยโสว่า “พวกท่านตื่นตกใจทำไมกัน? นี่เป็นเพียงเล่ห์กลเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเถ้าแก่เท่านั้น แม้แต่ตัวซิ่วเอ๋อร์เองก็ถูกเถ้าแก่สร้างขึ้นมา แล้วการที่นางเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายและเครื่องสำอางจะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ได้อย่างไร? อย่าตกใจกันไปเลย ทุกคนนั่งลงเถิด เถ้าแก่สามารถสร้างโรงแรมแห่งนี้ขึ้นมาได้ในชั่วพริบตา แล้วนับประสาอะไรกับการสร้างคนขึ้นมาสักคน มันจะกลายเป็นเรื่องยากเข็ญสำหรับนางได้อย่างไรกันเล่า”
ชีปั๋วหรงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ สีหน้าดุร้ายคล้ายกับจะจับคนกินเป็นอาหาร “เถ้าแก่สามารถสร้างคนขึ้นมาได้จริง ๆ เหรอ?!”
ซ่งอวี้หลวนทำสีหน้าเย่อหยิ่ง พูดด้วยความภาคภูมิใจ “แน่นอนอยู่แล้ว เถ้าแก่มีพลังอำนาจมหาศาล พวกท่านต้องเรียนรู้ที่จะคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้”
ไป๋ฮ่าวเกอกระแอมเบา ๆ พยายามตั้งสติและพูดว่า “ถูกต้องแล้ว ซิ่วเอ๋อร์ถูกสร้างขึ้นมาโดยเถ้าแก่จริง ๆ พวกท่านไม่ต้องตกใจไปหรอก”
ชีปั๋วหรงยังคงรู้สึกไม่เชื่อ “แต่นางเป็นคนจริง ๆ ที่มีชีวิต แล้วจะสร้างขึ้นมาได้อย่างไร?”
กัวอี้ถังเด็กหนุ่มวัยรุ่นพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับเช่นกัน “ใช่ ใครที่ไหนจะสร้างคนมีชีวิตขึ้นมาได้?”
ซ่งอวี้หลวนจ้องมองพวกเขาด้วยความเหยียดหยาม “เดิมทีเถ้าแก่เป็นเทพเซียนที่ลงมาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์ ไม่มีสิ่งใดที่นางจะทำไม่ได้ พวกท่านจะมาใช้มุมมองของคนธรรมดาตัดสินนางได้อย่างไรกัน? พวกกลุ่มคนไร้ประสบการณ์ทางโลก หยุดโวยวายไม่เป็นเรื่องเสียที”
ไป๋ฮ่าวเกอพูดเสริม “ถูกต้องแล้ว เถ้าแก่มีวิธีการพิเศษ ซึ่งเกินกว่าที่เราจะคาดเดาได้”
เฟิงหยวนหนิง “…”
เธอปิดหน้าจอระบบ แล้วเหลือบไปมองซิ่วเอ๋อร์ที่กำลังจะเดินกลับเข้าห้องครัว พบว่าชุดของหญิงสาวเปลี่ยนไปตามที่เธอเลือกจริง ๆ
ทั้ง ๆ ที่เธอแค่ให้ซิ่วเอ๋อร์ลองสวมใส่ชุดเท่านั้น ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะบันทึกภาพลักษณ์นี้หรือไม่ แต่ทำไมการเปลี่ยนแปลงถึงได้เกิดขึ้นกับตัวซิ่วเอ๋อร์โดยตรงล่ะ?
หน้าจอเปลี่ยนชุดมีแค่โมเดล 3 มิติ ตอนที่เธอเปลี่ยนชุดให้ซิ่วเอ๋อร์ การแสดงตัวอย่างในหน้าจอนั้นไม่ค่อยชัดเจน
แต่ตอนนี้เธอสามารถเห็นผลลัพธ์ของการเปลี่ยนชุดได้อย่างชัดเจนจากซิ่วเอ๋อร์ตัวจริง หรือว่าระบบตั้งใจจะหลอกให้เธอเติมเงินหรือเปล่า? การได้เห็นผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ ย่อมดีกว่าดูในหน้าจอเยอะเลย
ตอนนี้ซิ่วเอ๋อร์มีผมยาวสีเงินสลวย สวมชุดราตรีทันสมัยสีขาว ดูจากด้านหลังแล้วเหมือนเทพธิดาก็ไม่ปาน
ขาดเพียงปีกคู่หนึ่ง
หรือว่า จะลองเพิ่มปีกให้ซิ่วเอ๋อร์อีกสักคู่ดี? เธอเองก็อยากจะเห็นคนมีปีกจริง ๆ สักครั้งในชีวิต
เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน คนเหล่านี้จึงหวาดกลัวเธอและซิ่วเอ๋อร์ไปเสียแล้ว ต่อให้ทำอะไรมากกว่านี้ มันคงไม่สำคัญอีกต่อไป
ต่างกันแค่เส้นยาแดงผ่าซีก
แขกแต่ละคนยังยอมรับโรงแรมที่ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันได้ แล้วจะมีอะไรที่พวกเขาจะรับไม่ได้อีกเล่า?