บทที่ 21 ตรวจพบข้อผิดพลาด กำลังทำการแก้ไข
บทที่ 21 ตรวจพบข้อผิดพลาด กำลังทำการแก้ไข
เฟิงหยวนหนิงแสร้งทำเป็นชิมอาหารอย่างพิถีพิถัน โดยคีบอาหารแต่ละอย่างมาชิมเพียงเล็กน้อย
ประการแรกเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตนเอง และประการที่สอง เธอไม่ได้ตั้งใจจะกินมากกว่านี้ตั้งแต่แรก เพราะต้องเก็บท้องไว้กินอาหารกลางวัน
ทันใดนั้นเอง เธอก็เห็นกัวอี้ถังวิ่งเข้ามาในร้านอาหาร พร้อมกับชูเงินขึ้นมาตะโกนใส่เธอ
เฟิงหยวนหนิงถึงกับตะลึงงัน
ห้องว่างเหรอ? เธอเพิ่งตระหนักได้ว่า ดันลืมแก้ข้อความบนป้ายไฟที่หน้าโรงแรมเสียสนิท
เธอรีบเปิดหน้าจอระบบ แล้วแก้ไขข้อความบนป้ายไฟใหม่ว่า “ยินดีต้อนรับสู่โรงแรมเซียนหยวน มีห้องว่างหลายห้องให้บริการ ในราคาหนึ่งตำลึงต่อคืน”
จากนั้น เธอก็ลองดูข้อมูลอื่น ๆ ในระบบ
เงื่อนไขการอัปเกรดโรงแรม: ร้านอาหารรองรับลูกค้าทั้งหมด 4/3000 และทำภารกิจให้สำเร็จ 0/3 ภารกิจ
ภารกิจ: ขายปลาต้มพริกให้ลูกค้าครบ 100 จาน เพื่อปลดล็อกเอฟเฟกต์พิเศษของโรงแรม “สี่ฤดูดุจดั่งฤดูใบไม้ผลิ”
จำนวนคนที่มาใช้ลานบ้านธีม “สวนน้ำพุ” 5/50 คน
ดูเหมือนว่าการที่คนคนเดียวกันเข้าไปในสวนซ้ำ ๆ จะไม่ได้นับเป็นแต้มสะสม หรือว่าเธอควรจะปฏิเสธไม่ให้ลูกค้าปัจจุบันต่ออายุห้องพัก แล้วให้ลูกค้าใหม่เข้ามาแทน?
กัวอี้ถังเห็นว่าเฟิงหยวนหนิงไม่สนใจเขาเลย จึงรู้สึกใจคอไม่ดี โอ๊ย แย่แล้ว หรือว่าเถ้าแก่จะไม่พอใจเขาจริง ๆ?
ก่อนหน้านี้ เขาเคยถูกเถ้าแก่ปฏิเสธไม่ให้เข้าไปในลานบ้าน เนื่องจากไม่ได้เข้าพัก
เมื่อลองคิดดูอีกที สุดท้ายเถ้าแก่ก็คือเจ้าของที่นี่ เช่นนั้นกฎระเบียบต่าง ๆ ในโรงแรมก็ต้องเป็นกฎที่เถ้าแก่ตั้งขึ้นมาเองไม่ใช่เหรอ?
เขามีเหตุผลที่จะสงสัยว่า บางทีเถ้าแก่อาจจะตั้งกฎนี้ขึ้นมาเพื่อกลั่นแกล้งเขาก็เป็นได้
อนิจจา ใครบอกให้เขาเป็นคนแรกที่เข้าไปถามเถ้าแก่ ทว่าพอได้ยินราคาก็ดันถอยกลับ? ด้วยการเริ่มต้นที่ไม่ดี จึงส่งผลกระทบอย่างร้ายแรง
เขาก้มหน้าเศร้าซึม “เถ้าแก่ ข้าตระหนักแล้วว่าได้ทำผิดไป โปรดให้โอกาสข้าได้แก้ตัวอีกสักครั้งเถิด…”
“???” ทำผิด? เฟิงหยวนหนิงรู้สึกงุนงง
เธอเปิดระบบจัดการห้องพัก แล้วพบว่าระยะเวลาการเข้าพักของซ่งอวี้หลวนและหลิงจิ่งหมดลงแล้ว ตอนนี้ห้อง 203 จึงว่าง
เธอคิดอยู่นาน แล้วก็ทำการ์ดห้อง 205 ขึ้นมาหนึ่งใบ “ห้อง 205 หนึ่งคืน”
เธอลุกขึ้นยืน แล้วยื่นการ์ดใบนั้นให้กัวอี้ถัง
กัวอี้ถังรับการ์ดห้องพักมาพร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเผยยิ้มแจ่มใส พูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ขอบคุณขอรับเถ้าแก่”
เขารู้สึกว่าได้รับการให้อภัยและยอมรับจากเถ้าแก่แล้ว จึงเลือกโต๊ะนั่งอย่างมีความสุข
เฟิงหยวนหนิงสั่งว่า “ซิ่วเอ๋อร์ ขอปลาต้มพริก 1 ชาม และข้าวผัดสับปะรด 1 จาน”
ไหน ๆ ก็ให้เธอสั่งอาหารแล้ว เธอจึงสั่งอาหารตามใจชอบ
ข้าวผัดสับปะรด 1 จานก็อิ่มท้องแล้ว ส่วนปลาต้มพริกนั้นสำหรับทำภารกิจ ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
“เจ้าค่ะนายหญิง”
ซิ่วเอ๋อร์ทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอนำเมนูอาหารไปวางไว้ในแต่ละโต๊ะ แล้วเปิดหน้าต่างทุกบานในห้อง ก่อนจะกลับมายืนข้าง ๆ เฟิงหยวนหนิงเงียบงัน
ตอนนี้เธอได้รับคำสั่งใหม่ จึงรีบกลับเข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง และทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อทำตามคำสั่งของเฟิงหยวนหนิง
กัวอี้ถังมองไปที่โต๊ะอื่น ๆ แล้วลืมตาโพลง เขาค้านขึ้นว่า “เถ้าแก่ขอรับ เหตุใดคนอื่น ๆ จึงได้อาหารมากมาย ขณะที่ท่านสั่งอาหารให้ข้าเพียงสองจานเท่านั้น?”
เฟิงหยวนหนิงขมวดคิ้วแล้วตำหนิ “หากสั่งมาเยอะแล้วกินไม่หมด จะทำอย่างไร? จะให้สิ้นเปลืองอาหารไปเปล่า ๆ หรือ?”
ถ้าลูกค้าทุกคนสั่งอาหารเยอะจนซิ่วเอ๋อร์ทำไม่ทัน เธอไม่ต้องไปช่วยงานด้วยหรือ? เพราะอย่างนั้นเธอจึงต้องส่งเสริมให้ลูกค้ารักษานิสัยที่ดีงาม และอย่าสิ้นเปลืองอาหารโดยใช่เหตุ
กัวอี้ถังถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เขาจึงก้มหน้าลงยอมรับความจริงว่า “คงกินไม่หมดจริง ๆ ขอรับ ท่านพูดถูก แต่ว่า…” เขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาอ้อนวอน “ขอเปลี่ยนจากปลาต้มพริกเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่? ขะ… ข้าไม่ค่อยชอบทานปลาสักเท่าไหร่ กลัวว่าก้างจะติดคอ”
ปลามีกลิ่นคาว และยังมีก้าง คุณภาพเนื้อธรรมดา แต่กลับกินลำบาก เขาจึงไม่ชอบกิน
“วางใจเถิด ไม่มีก้าง จึงไม่ติดคอแน่นอน” อยากจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเหรอ? อย่าแม้แต่จะคิด ถึงไม่อยากกินก็ต้องกิน
“แต่ว่า…” กัวอี้ถังยังคงพยายามคัดค้าน
เฟิงหยวนหนิงขัดจังหวะเขา “อาหารปรุงเสร็จแล้ว คงเปลี่ยนให้ไม่ได้ เข้าใจหรือไม่?”
กัวอี้ถังก้มหน้าลงอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ขอรับ”
เถ้าแก่บอกว่าห้ามสิ้นเปลืองอาหาร แล้วยังไม่ยอมให้เปลี่ยนเมนูปลาต้มพริกให้ เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาต้องกินให้หมดใช่ไหม?
โอ๊ย แล้วจะทำยังไงดีล่ะ?
ไป๋ฮ่าวเกอรับฟังการสนทนาของทั้งสองคน เขาพลันวางตะเกียบลงและมองอาหารที่เต็มโต๊ะ ก่อนจะรู้สึกไม่ค่อยดี
เห็นได้ชัดเลยว่า อาหารมากมายขนาดนี้ แค่เขากับเหมายี่สองคนคงไม่มีทางกินหมด
เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ความจริงเถ้าแก่ได้เตือนเรื่องนี้กับเขาเป็นครั้งที่สองแล้ว
อย่างไรก็ตามขณะที่เถ้าแก่เตือนครั้งแรก เขามัวแต่คิดอยากจะลองชิมอาหารทุกอย่าง จึงไม่ได้ใส่ใจในคำเตือนของนาง
แบบนี้ก็แย่สิ
หากสุดท้ายกินอาหารบนโต๊ะไม่หมด มันจะเป็นการทำให้เถ้าแก่ขุ่นเคืองหรือเปล่า?
ซ่งอวี้หลวนหน้าซีดเผือดไม่ต่างกัน เธอกำลังคิดเรื่องเดียวกับไป๋ฮ่าวเกอ “ศิษย์พี่ชาย รีบกินสิ กินเพิ่มอีกหน่อย พยายามกินอาหารให้หมดโต๊ะเลยนะ!”
หลิงจิ่ง “…”
เขารู้สึกเหมือนโลกมืดมนทันใด
อาหารอย่างอื่นก็ว่าไปอย่าง หากพยายามสักหน่อยก็คงกินหมด
ทว่ามันมีกุ้งมังกรน้ำจืดผัดซอสหมาล่า ไก่ผัดพริกแห้ง และปลาต้มพริก…
ขออภัย อาหารพวกนี้รสชาติเผ็ดร้อนเกินไป เขาทนไม่ไหวแน่ ๆ
แล้วจะทำอย่างไรดี?
ไม่นานนัก ซิ่วเอ๋อร์ก็ยกอาหารจานแรกมาเสิร์ฟให้กัวอี้ถัง
เมื่อมองดูดี ๆ ปรากฏว่าไม่ใช่ข้าวผัดสับปะรด แต่เป็นปลาต้มพริกที่เขาไม่อยากกิน ทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจขึ้นมา
เขาหันไปมองเถ้าแก่ นางบอกว่าห้ามสิ้นเปลืองอาหาร
ถึงแม้จะไม่อยากกิน เขาก็ต้องกินปลาต้มพริกชามนี้ให้หมด
กัวอี้ถังกัดฟันกรามแน่นด้วยความไม่เต็มใจ แล้วใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่งขึ้นมา
เนื้อปลาถูกแล่เป็นชิ้นบาง เมื่อสังเกตดู เขาไม่เห็นว่ามีก้างปลาเลย
เขาลองสูดดมกลิ่นเนื้อปลา ปรากฏว่ามันไม่มีกลิ่นคาว แต่กลับมีกลิ่นหอมฉุนของเครื่องเทศแทน
เขาคีบเนื้อปลาเข้าปาก ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองก็เบิกกว้าง
เนื้อปลาชิ้นนี้สัมผัสนุ่มลิ้น รสชาติหวานฉ่ำ เมื่อกินคู่กับน้ำซุปเผ็ดร้อน มันอร่อยเกินกว่าจะหาคำบรรยายใด ๆ!
ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า เนื้อปลาจะสามารถอร่อยได้ถึงขนาดนี้?
นอกจากปลาต้มพริกชามนี้ไม่มีกลิ่นคาว เนื้อปลายังสดและนุ่มกว่าเนื้อสัตว์อื่น ๆ ซึ่งแทบไม่ต้องเคี้ยวเลยด้วยซ้ำ
เดิมทีเขาไม่ชอบกินปลาเลย แต่ตอนนี้ เขากลับหลงรักรสชาติของปลาต้มพริกแสนอร่อยนี้เสียแล้ว
…
“หัวหน้า โรงแรมตกแต่งอย่างหรูหราเช่นนี้ หากต้องการคืนต้นทุน แค่สินค้าที่ขายข้างนอกก็เพียงพอ คิดว่าอาหารในร้านจะแพงมากไหม? แล้วพวกเราจะมีปัญญาทานอาหารที่นี่หรือขอรับ?”
“แจ้งไว้ล่วงหน้า หากแพงเกินไป ข้าคงไม่มีปัญญาจ่าย”
“ข้าไม่เคยเห็นอาหารเช่นนี้มาก่อนเลย ชิ้นเนื้อดูประหลาด คล้ายกับเอาถ่านดำมาเคลือบไว้ แล้วผักสีแดงนั่นคือสิ่งใด ไม่รู้ว่าอาหารจานนี้จะอร่อยจริง ๆ หรือเปล่า?”
“หัวหน้า จะเลี้ยงใช่ไหมขอรับ?”
ชีปั๋วหรงได้ยินดังนั้น เส้นเลือดที่ขมับพลันเต้นตุบ ๆ “ข้าเลี้ยงเอง พวกเจ้ากินกันให้เต็มที่”
ความจริงค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้ ชีปั๋วหรงไม่ได้เป็นคนออกเอง แต่ผู้บังคับบัญชามอบเงิน 30 ตำลึงแก่เขา ซึ่งน่าจะเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว
ชีปั๋วหรงนำพรรคพวกอีกห้าคนเดินเข้าไปในล็อบบี้ของโรงแรม ตอนที่เห็นแวบแรก เขารู้สึกตื่นตาตื่นใจกับทุกอย่างของสถานที่นี้
เป็นอย่างที่กัวอี้ถังบอกไว้จริง ๆ โรงแรมแห่งนี้เปรียบเสมือนตำหนักทองคำของเทพเซียน คริสตัลใสส่องแสงระยิบระยับประหนึ่งทองคำ สถานที่แห่งนี้งดงามและอลังการยิ่งกว่าห้องที่เห็นเมื่อครู่
เขามองตาค้างจนไม่อยากละสายตา จึงเผลอเดินช้าลง และเดินวนเวียนอยู่ในล็อบบี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขาเดินไปดูทุกมุมอย่างละเอียดเป็นเวลานาน จนรู้สึกพอใจแล้ว จึงเดินไปที่ประตูกระจกเพื่อเข้าไปในห้องอาหาร
แต่ปรากฏว่า ทันทีที่เดินเข้าไป ทุกสายตาต่างหันมาจับจ้องที่เขาเป็นตาเดียว
ชายรูปงามผู้สูงศักดิ์มองดูพวกเขา แล้วหันกลับไปพูดกับเถ้าแก่ “เถ้าแก่ขอรับ หากเราทานไม่หมดจริง ๆ จะขอให้คนอื่นมาช่วยทานได้หรือไม่? อย่างเช่นพวกเขาเหล่านั้น”
คนที่พูดก็คือไป๋ฮ่าวเกอนั่นเอง
เฟิงหยวนหนิงไม่ได้ตอบเขา แต่กลับหันไปถามชีปั๋วหรงและพวกพ้อง “พวกท่านอยากสั่งอาหารใด?”
สีหน้าไป๋ฮ่าวเกอแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย หรือว่าเถ้าแก่จะไม่อนุญาตให้เขาทำเช่นนั้น?
หัวหน้าชีปั๋วหรงคิดสักครู่แล้วยกมือขึ้นคำนับ “เถ้าแก่ขอรับ เรื่องสั่งอาหารเอาไว้ทีหลัง พอดีอยากจะถามว่ายังมีห้องว่างอีกหรือไม่?”
ในเมื่อโรงแรมขยายแล้ว ตอนนี้คงจะมีห้องว่างเหลือเฟือเลยใช่ไหม?
ตามที่ผู้บังคับบัญชาบอกไว้คือ มีเพียงลูกค้าที่เข้าพักเท่านั้นที่จะเข้าไปด้านในลานบ้านได้ ฉะนั้นการเข้าพักจึงสำคัญที่สุด เขาต้องพยายามจองห้องพักให้หมดทุกห้อง
เฟิงหยวนหนิงกล่าวว่า “มีแน่นอน แล้วพวกท่านต้องการเปิดห้องกี่ห้อง?”
ชีปั๋วหรงตอบ “เงิน 20 ตำลึง เพียงพอที่จะจองห้องว่างทั้งหมดหรือไม่ขอรับ?”
เฟิงหยวนหนิงขมวดคิ้ว “แน่นอนว่าเพียงพอ ทว่าข้าไม่เห็นด้วย พวกท่านมาที่นี่เพื่อสร้างความวุ่นวายงั้นหรือ?”
มีแค่หกคน แต่กลับต้องการจองห้องพักทั้งหมด ฝันไปเถอะ!
ถึงแม้คนคนนี้จะหน้าตาโหดเหี้ยม แต่คิดว่าจะขู่เธอได้งั้นหรือ?
ชีปั๋วหรงหน้าเปลี่ยนสี รีบก้มหัวลง “หามิได้ขอรับ เถ้าแก่เข้าใจผิดไป ในเมื่อท่านไม่เห็นด้วย เช่นนั้นตามแต่ท่านจะชี้แนะ ว่าสมควรเปิดกี่ห้อง?”
ผู้บังคับบัญชาได้บอกเรื่องลานบ้านให้เขาฟังเป็นพิเศษ เขาจึงตั้งใจจะจองห้องพักทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้พวกสำนักฝึกตนอื่น ๆ ได้รับผลประโยชน์ไปด้วย
แต่ดูเหมือนว่า เถ้าแก่จะเป็นผู้มีปัญญาหลักแหลม นางคงมองเห็นความคิดในใจของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง
เฟิงหยวนหนิงกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “มากสุดแค่ห้องเดียว ถ้าไม่อยากพักก็ไม่ต้องพัก”
เรื่องที่ว่าคนทั้งหกจะอัดกันอยู่ในห้องเดียวได้อย่างไร? นั่นไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องมาคิดมากให้ปวดหัว
ดูจากการแต่งกายของพวกเขาแล้ว ชัดเจนเลยว่าเป็นพวกข้าราชการ และน่าจะอาศัยอยู่ในอำเภอเมืองฉ่างหลิงใกล้ ๆ นี้เอง การที่พวกเขาต้องการพักในโรงแรม นั่นอาจมีเหตุผลอื่นซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งอาจไม่ได้ต้องการมาเข้าพักจริง ๆ
เฟิงหยวนหนิงหันไปบอกซ่งอวี้หลวนและหลิงจิ่งว่า “อย่างไรก็ตาม ห้องของพวกท่านหมดอายุแล้ว ทว่าข้ามีความประสงค์ที่จะให้คนอื่นมาลองใช้ลานบ้านกันเยอะ ๆ เช่นนั้นต้องขออภัยด้วยที่ไม่สามารถต่ออายุห้องให้ได้”
ซ่งอวี้หลวนรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดผ่าลงกลางศีรษะ
กัวอี้ถังได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ หมายความว่ากฎที่เถ้าแก่ตั้งขึ้นมาก็ไม่ได้มุ่งเป้ามาที่เขาโดยเฉพาะ? ตอนนี้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
ชีปั๋วหรงรีบกล่าวคำขอโทษ “เป็นความผิดของข้าเอง หวังว่าเถ้าแก่จะให้อภัย ท่านเป็นผู้มีจิตใจสูงส่ง และมีความเมตตากรุณายิ่ง”
การที่เถ้าแก่ให้ห้องพักแก่เขาห้องเดียว และยังปฏิเสธการต่ออายุห้องพักของลูกค้าคนอื่น มันชัดเจนแล้วว่าเป็นการเตือนให้เขาต้องมาขอโทษอย่างจริงใจ
เฟิงหยวนหนิง “…”
ซ่งอวี้หลวนมองเธอด้วยน้ำตาคลอเบ้า พร้อมกับอ้อนวอนขอร้อง “เถ้าแก่ ได้โปรดเมตตา ช่วยเหลือพวกเราสักหน่อยได้ไหมเจ้าคะ?”
เฟิงหยวนหนิงปฏิเสธอย่างไม่ไยดี “ไม่ได้”
คนที่ร้อนรนที่สุดคือหลิงจิ่ง เมื่อเทียบกับซ่งอวี้หลวนที่เส้มลมปราณเสียหาย เขาเป็นผู้รับผลประโยชน์จากลานบ้านแห่งนั้นโดยตรง
เขาอดไม่ได้ที่จะคิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับนายตำรวจ เขาพลันเกิดความคิดดี ๆ ขึ้น “เถ้าแก่ขอรับ หากเราชักชวนผู้อื่นมาช่วยเปิดห้องพักเพิ่มสักหนึ่งห้อง แล้วอยู่เบียดเสียดในห้องเดียวกันเยี่ยงพวกเขา จะเป็นไปได้ไหมขอรับ?”
ตราบใดที่พวกเขาสามารถหาลูกค้ามาให้ นางจะต้องยินดีเป็นแน่
เฟิงหยวนหนิงกำลังจะเห็นด้วย แต่แล้วก็ได้ยินเสียงระบบแจ้งเตือนเข้ามาในหัว “ตรวจพบข้อผิดพลาด กำลังทำการแก้ไข”
เฟิงหยวนหนิง “…”
ข้อผิดพลาด? ข้อผิดพลาดอะไร? หรือว่าจะเกี่ยวกับห้องพักและลานบ้าน?