ตอนที่แล้วบทที่ 175-176
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 179-180

บทที่ 177-178


[,แปลโดยแฟนเพจ ยักษาแปร มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ],

[,Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอน แต่จะราคาแพงที่สุด,]

[,หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ100คน ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบไม่มีการแก้คำผิด และยิบย่อยมากมาย ไปนั่นแหละ,]

บทที่ 177 ความขัดแย้ง (I)

กลางหมู่ชนที่ชุมนุม ณ ที่นั้น ท่านปู่ใหญ่แห่งตระกูลเสวี่ยนั้นมีพลังบ่มเพาะสูงส่งที่สุด บรรลุถึงขั้นที่ห้าแห่งขอบเขตตัดวิญญาณแล้ว แม้เขาจะเป็นผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ แต่พลังที่แท้จริงของผู้บ่มเพาะตัดวิญญาณนั้นยากจะต้านทาน การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด ก่อนที่ซูจุนโม่ ซือคงซิง และผู้อื่นจะทันรู้ตัว เหมิงฉีก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นไปด้านข้างเสียแล้ว

ครั้นเห็นเหมิงฉีใกล้ปะทะกำแพง ซือคงซิงจึงรีบยกมือขึ้น น้ำสีดำพลันผุดขึ้นจากพื้น พุ่งตรงไปยังเหมิงฉีอย่างว่องไว

มือของซูจุนโม่วาบขึ้น พัดขนนกขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนมือของเขา เขายกมือขึ้นไปยังผู้อาวุโสเสวี่ย ทั้งที่รู้ดีว่าพลังบ่มเพาะของอีกฝ่ายสูงส่งกว่าตนเองมากนัก กระนั้น เขาก็ไม่ลังเลที่จะปลดปล่อยแสงหลายสายจากพัดของเขาพุ่งตรงไปยังผู้อาวุโสเสวี่ย

ทว่า เผ่ยมู่เฟิงกลับรวดเร็วยิ่งกว่า ร่างสีดำที่เคลื่อนไหวไม่ช้าไปกว่าผู้อาวุโสเสวี่ยนัก พุ่งตรงไปยังเหมิงฉีในทันที เมื่อเหมิงฉีได้สติกลับคืนมา แขนคู่หนึ่งก็ประคองร่างของนางเอาไว้ และนางก็ร่อนลงสู่พื้นอย่างมั่นคง

ณ เวลานั้น น้ำที่ซือคงซิงร่ายอาคมเรียกขึ้นมาก็กำลังพวยพุ่งออกมา

การโจมตีด้วยแสงของซูจุนโม่ยังไม่ทันได้สัมผัสผู้อาวุโสเสวี่ย

เสียง "แคร๊ง" ดังขึ้นจากดาบ พร้อมกับกระแสอำมหิตที่กวาดผ่าน เหมิงฉีตัวสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้ ในชั่วพริบตาต่อมา ดาบของเผ่ยมู่เฟิงก็ลอยอยู่ในอากาศ ปลายแหลมคมชี้ตรงไปยังผู้อาวุโสเสวี่ย

"ที่นี่คือเมืองซิงหลัว" เผ่ยมู่เฟิงก้าวไปข้างหน้า ปกป้องเหมิงฉีไว้เบื้องหลัง เขาคงความสุภาพเรียบร้อยมาโดยตลอด ไม่ว่าผู้อาวุโสเสวี่ยจะก้าวร้าวเพียงใด เขาก็ไม่แสดงความหุนหันพลันแล่นหรือโทสะใดๆ แต่ครานี้ น้ำเสียงของเผ่ยมู่เฟิงเย็นชา และแววตาของเขาก็ยิ่งเย็นเยียบกว่าน้ำเสียงเสียอีก "นางเป็นแขกของข้า"

ดวงเนตรของผู้อาวุโสเสวี่ยเป็นประกายวาววับ

เผ่ยมู่เฟิงคืออัจฉริยะผู้เลื่องชื่อ และเกียรติภูมิในฐานะผู้คลั่งไคล้ดาบของเขามิได้เลื่องลือไปทั่วแดนบูรพาเท่านั้น หากแต่ยังขจรขจายไปถึงแดนประจิม ชายหนุ่มผู้นี้มีอายุเพียงยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปี แต่กลับบรรลุถึงจุดสูงสุดของขั้นก่อกำเนิดวิญญาณแล้ว เขาอยู่ห่างจากขอบเขตตัดวิญญาณเพียงครึ่งก้าว และอาจจะทะลวงผ่านได้ทุกเมื่อ

แม้ว่าพลังฝึกตนของเผ่ยมู่เฟิงในตอนนี้ยังคงต่ำกว่าเขา ผู้อาวุโสเสวี่ยก็จะไม่มีวันประมาทเขา เพียงแค่เพลงดาบของเขาก็เพียงพอที่จะทดแทนความแตกต่างในขั้นพลังฝึกตนของพวกเขาได้

สีหน้าของผู้อาวุโสเสวี่ยซีดเผือด ดวงตาของเขาสั่นไหว และเขาค่อยๆ เปลี่ยนสายตาจากเผ่ยมู่เฟิงไปยังเหมิงฉี ก่อนจะหันไปมองซูจุนโม่และซือคงซิง

"คุณชายซูก็คิดจะต่อกรข้าผู้อาวุโสเช่นนี้หรือ?" ผู้อาวุโสเสวี่ยเอ่ยถามอย่างเชื่องช้าและเย็นชา

"นางเป็นผู้ที่ข้านำมาด้วย" ซูจุนโม่ก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน และยืนขวางระหว่างผู้อาวุโสเสวี่ยและเหมิงฉี "ยิ่งไปกว่านั้น นางเป็นเพียงผู้บ่มเพาะขั้นสร้างรากฐานตัวน้อย แม้จะมีสิ่งใดที่ทำให้ท่านผู้อาวุโสไม่พอใจ ท่านก็ยังเป็นผู้สูงส่ง เหตุใดจึงต้องถือสาเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้?"

เสวี่ยเฉิงเสวียนมองซูจุนโม่ด้วยความประหลาดใจ อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรทำนองว่า ‘เหมิงฉีอาจจะทำอะไรผิดไปจึงทำให้ผู้อาวุโสเสวี่ยขุ่นเคือง’ แต่กลับพูดตรงๆ ว่าผู้อาวุโสอย่างเขาไม่ควรสนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้

เห็นได้ชัดว่าเขาปกป้องเหมิงฉี

เสวี่ยเฉิงเสวียนเหลือบมองไปที่ม่านที่ปิดลงอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว ในฐานะพี่ชาย เขาก็พอจะรู้ใจน้องสาวของเขาบ้าง เหตุผลที่เสวี่ยหลิงเฟิงยืนกรานที่จะออกเดินทางไปเมืองซิงหลัวก่อนหน้านี้โดยไม่รอท่านพ่อก็เพราะซูจุนโม่ผู้นี้

"เหอะ" ผู้อาวุโสเสวี่ยแค่นเสียงเยาะเย้ย สายตาคมดุจเหยี่ยวของเขาลอดผ่านซูจุนโม่และเผ่ยมู่เฟิงไปตกที่เหมิงฉี "ผู้บ่มเพาะขั้นสร้างรากฐานตัวน้อย กลับสามารถมองออกถึงปัญหาของหลิงเฟิงได้ในทันที ข้าก็แค่ระแวงเล็กน้อยเท่านั้น"

"ท่านเสวี่ย" ซูจุนโม่ไม่ใส่ใจที่จะโต้เถียงกับผู้อาวุโสเสวี่ย เขาหันศีรษะไปมองเสวี่ยเฉิงเสวียน "เหมิงฉีเป็นคนที่ข้านำมาด้วย นี่หมายความว่าตระกูลเสวี่ยไม่ไว้ใจข้าหรือ?"

เสวี่ยเฉิงเสวียนตกตะลึง

แม้แต่เสวี่ยหลิงเฟิงที่นั่งอยู่บนเตียงก็เอื้อมมือไปเปิดม่านอย่างกะทันหัน นางมองไปที่ซูจุนโม่ ดวงตาเบิกกว้าง ดวงตาที่สดใสของนางเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

ความสัมพันธ์ระหว่างซูจุนโม่และตระกูลเสวี่ยนั้นเป็นไปด้วยดีมาโดยตลอด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายมีการติดต่อกันมากมาย ซูจุนโม่เป็นคนง่ายๆ เป็นมิตร จึงเข้ากับสมาชิกตระกูลเสวี่ยได้เป็นอย่างดี

เขามีรูปโฉมสง่างาม บุคลิกนุ่มนวล และมีความสามารถในการบ่มเพาะ บวกกับความรู้ที่กว้างขวาง เขาจึงมักจะแวะเวียนมาพูดคุยกับพี่น้องตระกูลเสวี่ยอย่างผ่อนคลาย พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวแปลกๆ และน่าสนใจจากทุกสาขาอาชีพ และแสดงมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา

แม้แต่เจ้าสำนักตระกูลเสวี่ย ผู้เป็นท่านพ่อของเสวี่ยเฉิงเสวียนก็ยังชื่นชมซูจุนโม่

เสวี่ยหลิงเฟิงแอบชื่นชมซูจุนโม่มานานแล้ว หัวใจของนางถูกขโมยไปโดยชายหนุ่มผู้นี้

"พ..พี่ชายซู..." เมื่อเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเสวี่ยและซูจุนโม่กำลังจะตกอยู่ในอันตราย เสวี่ยหลิงเฟิงก็ไม่สนใจว่าเหมิงฉีเป็นใคร นางสูดหายใจเข้าลึกๆ รีบปรับน้ำเสียงให้เบาลง และพูดอย่างน่าสงสารว่า "ได้โปรดอย่าโกรธเลย ท่านปู่แค่เป็นห่วงข้ามากเกินไปเท่านั้น"

นางหยุดครู่หนึ่ง แล้วพูดอีกครั้งว่า "ท่านปู่ใหญ่รักและเอ็นดูผู้เยาว์มาโดยตลอด จะทำร้ายพี่หญิงผู้นี้ได้อย่างไร? พี่หญิงผู้นี้มีเพียงขั้นพลังบ่มเพาะขั้นสร้างรากฐาน ท่านปู่ใหญ่เพียงแค่ขู่ให้นางกลัวและไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายนางจริงๆ"

เมื่อเสวี่ยหลิงเฟิงพูด น้ำเสียงที่อ่อนโยนของนางช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดลงเล็กน้อย

เสวี่ยเฉิงเสวียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก "หลิงเฟิงได้รับบาดเจ็บ ถูกวางโอสถพิษ และหมดสติไป ท่านปู่ใหญ่และข้าเป็นห่วงนางมาก พี่ชายซู โปรดอย่าถือโทษโกรธเคืองเลย" เขาประสานมือคำนับไปทางซูจุนโม่ "พวกเราเสียมารยาทแล้ว"

ถึงแม้ว่าท่านปู่ใหญ่เสวี่ยจะเป็นปู่ของพี่น้องตระกูลเสวี่ย แต่เสวี่ยเฉิงเสวียนได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำตระกูลในอนาคต และยังได้รับการบ่มเพาะให้เป็นผู้นำแห่งสหพันธ์เฟิงในอนาคตอีกด้วย เขาเป็นคนถ่อมตนและอ่อนโยน และเคารพผู้อาวุโสของเขามาโดยตลอด แต่ถ้าเขาพูด ผู้อาวุโสของตระกูลเสวี่ยก็จะไม่ขัดแย้งกับคำพูดของเขาต่อหน้าคนภายนอก เมื่อเสวี่ยเฉิงเสวียนพูดเช่นนี้ แสดงว่าเขาไม่ต้องการขัดแย้งกับซูจุนโม่ และผู้อาวุโสเสวี่ยก็ต้องอดทน

จากนั้น เสวี่ยเฉิงเสวียนก็หันไปประสานมือคำนับเหมิงฉี และพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า "สหายเต๋าเหมิง เมื่อครู่พวกเราเสียมารยาท โปรดอย่าถือโทษโกรธเคืองเลย"

ซือคงซิงวิ่งไปข้างเหมิงฉีแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของเสวี่ยเฉิงเสวียน หญิงสาวอาภรณ์สีแดงก็ส่งเสียงฮึดฮัดเบาๆ นางหันหน้าหนี อย่างเห็นได้ชัดว่ายังคงโกรธอยู่

เหมิงฉีส่ายหัวและพูดเสียงแหบแห้งว่า "ไม่เป็นไร"

บทที่ 178 ความขัดแย้ง (II)

เหมิงฉีส่ายหน้าแผ่วเบา "ไม่เป็นไร" หากนางคิดจะตำหนิผู้ใด ก็คงต้องตำหนิขั้นพลังบ่มเพาะอันต่ำต้อยของตนเอง ในชีวิตก่อน เหมิงฉีไม่เคยให้ความสำคัญกับพลังบ่มเพาะของนางมากนัก และมักจะถูกขัดขวางโดยมัน ครานี้เมื่อได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ นางควรจะได้เรียนรู้บทเรียนจากชีวิตก่อนมากพอ และต้องใส่ใจมากขึ้น

เหมิงฉีตัดสินใจแน่วแน่ เมื่อการประชุมบ่มเพาะวิชาแพทย์สิ้นสุดลง นางจะหาสถานที่เพื่อหลีกเร้นและทะลวงผ่านขอบเขต

ต้องทำให้ได้! ไม่ว่าอย่างไร นางต้องประสบความสำเร็จในการสร้างแก่นทองคำให้ได้อย่างน้อยที่สุด

"ขอบพระคุณ เจ้าสำนักเผ่ย" เหมิงฉีกล่าวขอบคุณเผ่ยมู่เฟิง นางเดินไปหาซูจุนโม่ "พวกเรากลับกันเถอะ"

เพื่อปกป้องนาง ซูจุนโม่เกือบจะขัดแย้งกับตระกูลเสวี่ย ไม่ว่าเหมิงฉีจะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับอาการของเสวี่ยหลิงเฟิงและอักขระต้องห้ามมากเพียงใด นางก็ไม่อาจอยู่ต่อได้อีก นอกจากนี้ เจ้าสำนักตระกูลเสวี่ยกำลังจะมา และเสวี่ยหลิงเฟิงก็น่าจะปลอดภัยในไม่ช้า

"ตกลง" ซูจุนโม่พยักหน้า เขาประสานมือคำนับเสวี่ยเฉิงเสวียน "พวกข้าขอตัวลา" จากนั้นเขาก็พาเหมิงฉีและซือคงซิงเดินไปที่ประตู

เสวี่ยเฉิงเสวียนยังคงต้องการถามเกี่ยวกับอักขระบนร่างกายของเสวี่ยหลิงเฟิง แต่ในท้ายที่สุด เขาก็เปิดปากโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเงียบงัน จากนั้นเขาก็หันไปหาเสวี่ยหลิงเฟิง ซึ่งกำลังจ้องมองร่างที่จากไปของซูจุนโม่ด้วยอาการเหม่อลอย เมื่อเห็นว่าน้องสาวของเขาไม่สามารถซ่อนความผิดหวังได้ เขาก็พูดกับนางว่า "หลิงเฟิง พักผ่อนให้สบายเถิด หลังจากที่ท่านพ่อมาถึงพรุ่งนี้ ท่านจะต้องรักษาเจ้าให้หายเป็นปกติอย่างแน่นอน"

"เจ้าค่ะ" เสวี่ยหลิงเฟิงพยักหน้าอย่างว่าง่าย "ข้าไม่เป็นไร ข้าแค่หวังว่าพี่ชายซูจะไม่ขัดแย้งกับตระกูลของเราเพราะเรื่องนี้ ท่านปู่ใหญ่แค่เป็นห่วงข้ามากเกินไป ไม่มีทางที่ท่านจะทำร้ายพี่สาวขั้นสร้างรากฐานผู้นั้นได้จริงๆ ข้าแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายซูถึงโกรธนัก?" นางถามอย่างไร้เดียงสา "พี่สาวผู้นี้มีความสัมพันธ์เช่นไรกับพี่ชายซูหรือ?"

"ข้าไม่ทราบ" เสวี่ยเฉิงเสวียนส่ายหัว "อย่าคิดมากเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยเลย"

"เจ้าค่ะ" เสวี่ยหลิงเฟิงยิ้มหวาน "มีพี่ใหญ่ ข้าไม่กลัวหรอก"

จากนั้น นางก็ยิ้มให้ผู้อาวุโสเสวี่ย "ท่านปู่ใหญ่ ท่านทำเด็กสาวคนหนึ่งตกใจกลัวนะเจ้าคะ ท่านคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนข้ากับพี่สาวใหญ่หรือ ที่เติบโตขึ้นมาภายใต้การสั่งสอนของท่าน?"

"เจ้าสำนักเผ่ย" ในที่สุดเสวี่ยหลิงเฟิงก็หันไปมองเผ่ยมู่เฟิง ใบหน้างดงามแต่เยียบเย็นของชายหนุ่มทำให้นางตกใจเล็กน้อย แต่เสวี่ยหลิงเฟิงก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็วและแย้มยิ้มให้เผ่ยมู่เฟิง "เพราะหลิงเฟิง พวกเราทำให้ท่านเดือดร้อน หลิงเฟิงอยากจะขอบคุณท่าน"

เผ่ยมู่เฟิงส่ายศีรษะอย่างเงียบงัน "คุณหนูเสวี่ยควรพักผ่อนให้สบายเสียก่อน" ในที่สุดเขาก็เอ่ย "เช่นนั้น ข้าจะขอตัวลาก่อน และจะมาเยี่ยมอีกครั้งในวันพรุ่งนี้" เผ่ยมู่เฟิงประสานมือคำนับหลังจากที่เขาพูดจบ หันหลังกลับ และก้าวออกจากห้องไป

ทันทีที่เขาจากไป เสวี่ยเฉิงเสวียนและผู้อาวุโสเสวี่ยก็ออกจากห้องไปเช่นกัน

ผู้อาวุโสเสวี่ยยืนอยู่ด้านนอกห้อง มองดูเสวี่ยเฉิงเสวียนปิดประตูให้แก่น้องสาวอย่างระมัดระวัง ผู้อาวุโสจ้องมองชายหนุ่มด้วยสายตาคมกริบ "เฉิงเสวียน เจ้าควรจะรั้งนางไว้ นางดูเหมือนจะรู้อะไรมากกว่านั้น" หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดอีกครั้ง "หากเจ้าทำเช่นนั้น เจ้าก็จะมีคำอธิบายให้บิดาของเจ้าในวันพรุ่งนี้"

"เรื่องท่านพ่อ ข้ามีวิจารณญาณของข้าเอง" เสวี่ยเฉิงเสวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา "นางเป็นคนที่พี่ซูนำมา ซึ่งเป็นแขกที่ท่านพ่อให้ความสำคัญมาโดยตลอด"

เสวี่ยเฉิงเสวียนเงยหน้าขึ้นมองผู้อาวุโสเสวี่ย ดวงตาของเขาไม่นุ่มนวลและสง่างามเหมือนตอนที่เขาอยู่ต่อหน้าเสวี่ยหลิงเฟิงอีกต่อไป ชายหนุ่มยืดหลังตรง และสีหน้าของเขาดูดุเดือดกว่าเดิม "วันนี้ข้าให้เกียรติท่านปู่ใหญ่ต่อหน้าคนภายนอก ข้าหวังว่าท่านปู่ใหญ่จะไม่ทำให้หลานคนนี้ลำบากใจในครั้งต่อไป โปรดกลับไปพักผ่อนเถิด ท่านพ่อและท่านอื่นๆ น่าจะมาถึงแต่เช้าในวันพรุ่งนี้"

...

ใต้แสงจันทร์ เหมิงฉีและซือคงซิงเดินเคียงข้างกันอย่างเชื่องช้า

ซูจุนโม่เดินอยู่ข้างๆ พวกนาง สีหน้าของเขาแข็งทื่อ และเขายังคงไม่พอใจอย่างมาก "เสวี่ยเฉินนี่มันเกินไปจริงๆ! น่าโมโหจริงๆ! เขากล้าลงมือกับเหมิงฉีต่อหน้าข้าแล้วเหวี่ยงนางออกไปแบบนั้น.... นี่มันอะไรกัน?! ถ้าไม่ใช่เพราะเผ่ยมู่เฟิงตอบสนองเร็วพอ เหมิงฉีคงได้รับบาดเจ็บสาหัส! ข้าโกรธ โกรธมากจริงๆ!!"

"หุบปาก! ถ้าเจ้าโกรธนัก ก็กลับไปซัดเขาให้หายแค้นสิ! อย่าส่งเสียงดังต่อหน้าเหมิงฉีได้ไหม!" ซือคงซิงจ้องมองเขา "ไม่ใช่เจ้าหรือที่ถอยออกจากการต่อสู้เมื่อครู่นี้?! ไม่เช่นนั้น ถึงแม้ว่าตาแก่นั่นจะอยู่ในขั้นตัดวิญญาณแล้ว ถ้าพวกเราร่วมมือกัน จะแพ้ได้อย่างไร? ยังมีเผ่ยมู่เฟิงอยู่ข้างพวกเราอีก!"

"นั่นคือตระกูลเสวี่ย เจ้าไม่รู้หรือ? ครั้งก่อน เสวี่ยเฉิงเสวียนใช้หอตำราของตระกูลเสวี่ยมาล่อเหมิงฉี และตอนนั้น ดวงตาของเหมิงฉีก็สว่างไสวกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าเสียอีก ถ้าพวกเราไปซัดผู้อาวุโสของตระกูลเสวี่ยตอนนี้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าในอนาคตนางอยากเข้าร่วมสหพันธ์เฟิง! นางจะไม่โกรธพวกเราหรือ?!"

"เหมิงฉีไม่ทำหรอก! แต่ข้าไม่ชอบตระกูลเสวี่ย ข้าไม่ชอบตาแก่นั่น เสวี่ยหลิงเฟิงที่โดนวางยาพิษนั่นก็แปลกๆ พี่ชายของนางก็น่ารำคาญ เมื่อเทียบกับเจ้าสำนักเผ่ยแล้ว พวกเขาแย่จริงๆ ทำไมเหมิงฉีต้องไปสหพันธ์เฟิงด้วย? ตำหนักซิงหลัวดีกว่าตั้งเยอะ!!"

"สหพันธ์เฟิงเป็นหนึ่งในสำนักแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในแดนประจิม... ไม่สิ ในสามภพต่างหาก! นั่นคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ เหมิงฉีก็เป็นผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ ทำไมนางต้องไปตำหนักซิงหลัวด้วย? เจ้าไม่เห็นหรือเมื่อครู่ ตอนที่ดาบของเผ่ยมู่เฟิงออกมา มีเพียงเราสองคนเท่านั้นที่ประหลาดใจ เหล่าผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์พวกนั้นกลับมีปฏิกิริยาเหมือนเห็นเศษเหล็กขึ้นสนิม เจ้าไม่เข้าใจหรือไง?"

การโต้เถียงของคนทั้งสองกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว เหมิงฉีเดินเคียงข้างซือคงซิง แม้ว่านางจะได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด แต่คำพูดเหล่านั้นก็เหมือนสายลมที่พัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่อาจทิ้งร่องรอยไว้ในใจนางได้

"เหมิงฉี" ซือคงซิงเขย่าแขนของเหมิงฉี "เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?"

"ข้าไม่รู้ว่าอักขระบนร่างของเสวี่ยหลิงเฟิงคืออะไร แต่..." นางก้มมองมือของตนเองและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกครั้ง "ช่างเป็นอักขระอาคมที่แยบยลนัก ช่างเป็นความคิดที่ชาญฉลาดด้วย!"

"แม้แต่เจ้าก็ยังไม่รู้?" ซือคงซิงและซูจุนโม่มองหน้ากัน ในสายตาของพวกเขา เหมิงฉีเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดในการศึกษาเกี่ยวกับอักขระอาคม เทียบเท่าได้กับผู้ยิ่งใหญ่เพียงไม่กี่คน

มีอักขระที่นางไม่รู้จักด้วยหรือ?!

"อืม" เหมิงฉีพยักหน้า "ข้าสงสัยว่าใครเป็นคนใส่อักขระนั้น... หญ้าภาพติดตาผสมกับน้ำคั้นดอกเหมยสีเขียว... มันใช้เปลวไอของเสวี่ยหลิงเฟิงเองเพื่อกระตุ้นการห้ามและหล่อเลี้ยงอักขระ แม้แต่พิษในร่างกายของนางก็ยังถูกผนึกไว้ภายใต้มัน ผู้ที่ทำเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญในการศึกษาอักขระเท่านั้น แต่ยังมีความรู้วิชาแพทย์อีกด้วย" นางเงยหน้ามองท้องฟ้าและพึมพำ "ข้าสงสัยว่าเป็นบุคคลเช่นไรที่คิดค้นวิธีการนี้ได้ ช่าง... น่าทึ่งจริงๆ!"

ภายในมิติเก็บของของเหมิงฉี อุ้งเท้าปุกปุยของเสี่ยวชีข่วนพื้นดินอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อมองดูอย่างละเอียด เขาพบว่ามันกำลังวาดอักขระที่เหมิงฉีเพิ่งเห็นบนหลังของเสวี่ยหลิงเฟิง

นี่มันน่าทึ่งตรงไหน?

เหอะ

เมื่อเสียงของเหมิงฉีดังมาถึงหูของเขา แสงเย็นเยียบวาบขึ้นในดวงตาสีฟ้าของเสี่ยวชี เปลือกตาของเขาลู่ลงเล็กน้อย ด้วยการปัดอุ้งเท้าปุกปุยของเขา อักขระที่วาดไว้ครึ่งหนึ่งบนพื้นก็ถูกลบหายไป

มันก็แค่อักขระข่ายอาคมสี่ขั้ว เขาจำได้ในทันที

นางคิดว่ามันน่าทึ่งนักหรือไง?!

ไม่ต้องพูดถึงข่ายอาคมสี่ขั้วหรือข่ายอาคมดาราของเผ่าเสือขาว ทั้งสองล้วนเป็นอักขระชั้นยอดในอาณาจักรอสูร แม้แต่วงอาคมเพลิงหลี่หั่วที่นางใช้ในการปรุงโอสถและอักขระป้องกันจากเมื่อครู่ก็ยังเหนือกว่าอักขระข่ายอาคมสี่ขั้วนี้มากนัก

เสี่ยวชีเก็บกรงเล็บของเขาอย่างเกียจคร้าน สิ่งที่คนที่โจมตีเสวี่ยหลิงเฟิงทำเป็นเพียงกลอุบายเล็กๆ น้อยๆ แต่ไอ้สิ่งที่เหมิงฉีทำน่ะ มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสักอย่างเดียว

ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร , ลงแบบราคาถูกแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับ หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิก กระซิก ;-;

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด