ตอนที่แล้วบทที่ 99 ไม่โค่นกระดูกสมบูรณ์แบบ ก้าวอัสนี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 101: ผลึกดินวิญญาณ

บทที่ 100 ลิงเขาเดียวด่างเลือด


บทที่ 100 ลิงเขาเดียวด่างโลหิต

ฉู่หนิงจ้องมองด้วยสายตาที่ร้อนแรง

หลังจากฝึกฝนวิชาไม่กู่กู่จนถึงขั้นสมบูรณ์ ในที่สุดเขาก็ปลดล็อกพรสวรรค์วิชาเทพโดยสมบูรณ์ และสิ่งที่เขาได้รับก็คือ "ท่าหลบจิงเล่ยปู้" (ก้าวสายฟ้าฟาด)!

แทบจะในเวลาเดียวกัน ข้อมูลเกี่ยวกับท่าหลบจิงเล่ยปู้  (ก้าวสายฟ้าฟาด)!ก็ปรากฏขึ้นในหัวของเขา

คุณสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของท่านี้ก็คือ "ความเร็ว!" ความเร็วที่รวดเร็วดั่งสายฟ้า ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ท่านี้มีชื่อนี้

ภายในท่านี้ยังมีรูปแบบการเดินหลายประเภท และสามารถใช้งานได้สองวิธี

วิธีแรกคืออาศัยเพียงความแข็งแกร่งของร่างกายเพียงอย่างเดียว เพื่อระเบิดความเร็วที่น่าทึ่งออกมา ความเร็วนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพลังปราณ แต่ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของร่างกายล้วน ๆ

ส่วนวิธีที่สองคือการใช้ท่านี้ร่วมกับวิชา "จิ่วเหยี่ยนเหลียนถี่เจวี๋ย" (วิชาเก้าฤๅษีหลอมร่าง) เพื่อกระตุ้นพลังปราณ ทำให้ท่านี้แสดงประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ผลลัพธ์จะยิ่งน่าทึ่ง

จากข้อมูลในวิชาท่าหลบจิงเล่ยปู้ (ก้าวสายฟ้าฟาด) หากสามารถใช้ท่านี้ร่วมกับ "กำปั้นเทียนกัง(หมัดดาวเหนือ) จะสามารถเพิ่มพลังโจมตีของกำปั้นเทียนกังได้ถึง 50%!

เมื่อฉู่หนิงทำความเข้าใจท่านี้เสร็จ เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง

ก่อนหน้านี้ปัญหาหลักของเขาเมื่อใช้กำปั้นเทียนกังก็คือการเข้าประชิดตัวศัตรู

ในการฆ่า "ฉีฉงเม่า" และ "เฉา ตงซิน" เขาใช้ยันต์หลบหนี ซึ่งมีข้อจำกัดเพราะต้องใช้เวลาในการเปิดใช้งาน ทำให้ไม่สะดวกนัก

หากฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าเขาฝึกฝนวิชาร่างกาย พวกเขาก็อาจใช้ยันต์หรือวิชาหลบหนีเช่นเดียวกัน ซึ่งอาจทำให้หลบหนีไปได้ง่าย ๆ

ในช่วงก่อนหน้านี้ที่เขาสู้กับ "หลิวเหลา" เขารอจนฝ่ายตรงข้ามเข้ามาใกล้ จากนั้นใช้โล่ไม้ "หยินจิงสุ่ยซวง"  (โล่ไม้ไผ่น้ำค้างแข็งคริสตัลเงิน) ป้องกัน และตอบโต้ด้วยกำปั้นเทียนกัง

วิธีทั้งสองนี้ทำให้เขาไม่มีความได้เปรียบในการรุก

แต่ตอนนี้ เมื่อมีท่าหลบจิงเล่ยปู้  (ก้าวสายฟ้าฟาด) เขาก็มีความได้เปรียบมากขึ้น

พอคิดถึงตรงนี้ ฉู่หนิงก็อยากลองใช้ท่าหลบนี้ทันที

"ลองทดสอบท่านี้โดยไม่ใช้พลังปราณดูก่อน"

เมื่อคิดดังนั้น ฉู่หนิงก็กระทืบเท้ากับพื้น ร่างของเขาก็พุ่งทะยานออกไปทันที

ในเวลาเดียวกัน กำปั้นขวาของเขาฟาดออกไปตรง ๆ มุ่งหน้าไปยังก้อนหินขนาดยักษ์ในถ้ำ

"ปัง!"

เสียงดังสนั่น ก้อนหินที่สูงเท่ากับคนถูกทำลายกลายเป็นเศษหินทันที

ฉู่หนิงยืนนิ่งอย่างสบายใจหน้าเศษหินที่กระจัดกระจาย พลางครุ่นคิดถึงการโจมตีเมื่อครู่

"โดยไม่ใช้พลังปราณ ความเร็วของท่าหลบจิงเล่ยปู้  (ก้าวสายฟ้าฟาด) เร็วกว่าการใช้ยันต์หลบหนีไม้ระดับต่ำมาก แต่ยังช้ากว่ายันต์ดินระดับกลาง"

"และกำปั้นเทียนกังไม่ได้เพิ่มพลังแค่ 50% ข้ารู้สึกว่ามันเพิ่มเป็นเท่าตัวเลย"

ฉู่หนิงคิดตาม และตระหนักว่าผลลัพธ์นี้อาจไม่ได้เกิดจากท่าหลบจิงเล่ยปู้  (ก้าวสายฟ้าฟาด) เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นผลจากการที่ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นด้วย

ข้อมูลในวิชาเทพบอกไว้ว่าการเพิ่มพลังโจมตี 50% นั้น น่าจะเป็นการเปรียบเทียบกับคนที่มีความแข็งแกร่งของร่างกายเท่ากัน

เมื่อคิดดังนี้ ฉู่หนิงจึงหันไปมองก้อนหินอีกก้อน

ครั้งนี้เขาใช้พลังปราณ ควบคู่กับท่าหลบจิงเล่ยปู้ (ก้าวสายฟ้าฟาด)  ร่างของเขาพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว!

เพียงพริบตาเดียว ฉู่หนิงก็ไปถึงก้อนหินก้อนที่อยู่ไกลออกไปไม่กี่จั้ง

"ปัง!"

กำปั้นเทียนกังฟาดลงไป เสียงไม่ได้ดังสนั่นเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ก้อนหินที่ใหญ่กว่ากลับแตกละเอียดกลายเป็นฝุ่นหินทันที เศษหินเล็ก ๆ ร่วงหล่นกระจายเต็มพื้น

ดวงตาของฉู่หนิงเต็มไปด้วยความดีใจ

"ความเร็วของท่าหลบจิงเล่ยปู้  (ก้าวสายฟ้าฟาด) เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว เกินกว่าความเร็วของยันต์ดินระดับกลางไปมาก"

"บางที อาจถึงระดับของยันต์หลบหนีระดับสูงแล้วก็ได้"

เขามองไปยังเศษหินที่ตกอยู่บนพื้น

"การใช้ท่าหลบจิงเล่ยปู้ (ก้าวสายฟ้าฟาด)  ร่วมกับกำปั้นเทียนกัง เพิ่มพลังโจมตีได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับการไม่ใช้พลังปราณเลย ซึ่งหมายความว่าพลังของกำปั้นเทียนกังเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้"

ฉู่หนิงมองกำปั้นของตนเองด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง

เขามั่นใจว่าถ้าต้องเผชิญหน้ากับ "หลิวเหลา" และคนอื่น ๆ อีกครั้ง เขาจะไม่ต้องลำบากเลย

เพียงใช้ท่าหลบจิงเล่ยปู้ (ก้าวสายฟ้าฟาด)! และกำปั้นเทียนกัง ก็สามารถจัดการได้ในหมัดเดียว

"วิชา จิ่วเหยี่ยนเหลียนถี่เจวี๋ย (วิชาเก้าฤๅษีหลอมร่าง) ไม่เสียชื่อที่ได้ชื่อว่าเป็นวิชาฝึกฝนร่างกายอันดับหนึ่ง"

เมื่อฉู่หนิงนึกย้อนคิด วิชานี้อาจไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ไม่ใช่เพราะฝึกฝนยากเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเคล็ดวิชาเทพในวิชานี้สูญหายไปด้วย

เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่เขาฝึกอยู่ ผลลัพธ์จากการฝึกฝนวิชาร่างกายได้ผลดีมากก็เป็นเรื่องหนึ่ง

แต่การใช้วิชาเทพร่วมกันต่างหาก ที่จะทำให้วิชา จิ่วเหยี่ยนเหลียนถี่เจวี๋ย (วิชาเก้าฤๅษีหลอมร่าง)  แสดงพลังที่แท้จริงออกมา

ฉู่หนิงส่ายหัวเล็กน้อยด้วยความเสียดาย “น่าเสียดายที่ ผลวิญญาณเจ็ดดาว น่าจะไม่มีประโยชน์ในการทะลวงผ่านขีดจำกัดของตัวเองในอนาคตอีกแล้ว สำหรับการทะลวงด่านต่อไป ข้าคงต้องหายาวิเศษจากธรรมชาติที่มีพลังสูงกว่านี้แทน”

เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อยและส่ายหัวเบา ๆ การฝึกฝน ไม่ตัดเส้นเอ็น ที่เขาจะต้องฝึกต่อจากนี้ คงจะยากขึ้นมาก

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉู่หนิงเริ่มฝึกตามวิชา จิ่วเหยี่ยนเหลียนถี่เจวี๋ย  (วิชาเก้าฤๅษีหลอมร่าง) ในการฝึกฝนขั้นตอนของไม่ตัดเส้นเอ็นหนึ่งรอบ และเมื่อตรวจสอบระดับการฝึกฝนของเขา ก็พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงขึ้นในระบบ

【เคล็ดวิชาชิงมู่ฉางชุน (วิชาไม้เขียวยาวนาน) ระดับสาม (32/2100)】

【จิ่วเหยี่ยนเหลียนถี่เจวี๋ย (วิชาเก้าฤๅษีหลอมร่าง) เล่มหนึ่ง ไม่ตัดเส้นเอ็น 0/1500】

【วิชาฝึกจิตวิญญาณ ระดับหนึ่ง 376/1000】

เมื่อเห็นแถบความก้าวหน้าของไม่ตัดเส้นเอ็นปรากฏขึ้น แต่การฝึกฝนรอบแรกกลับไม่มีความก้าวหน้าเลย

เมื่อนึกถึงช่วงที่เขาฝึกฝน ไม่ตายผิว จนทะลุถึงขั้น ไม่กู่กู่ (กระดูกที่ไม่แห้งเหี่ยว) ก่อนหน้านี้ ความเร็วในการฝึกฝนในตอนนั้นรวดเร็วมาก

ฉู่หนิงก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่านั่นเป็นเพราะ ผลวิญญาณเจ็ดดาว ทั้งสามลูกที่เขากินไปก่อนหน้านี้ พลังของมันถูกดูดซึมจนหมดสิ้นแล้ว ไม่มีเหลืออยู่ในร่างกายอีกเลย

เมื่อเข้าใจสภาพการฝึกฝนของตนเองในตอนนี้แล้ว ฉู่หนิงก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อไปอีก

เขามองไปรอบ ๆ ภายในถ้ำ ก่อนที่สายตาจะหยุดลงที่ หญ้าโลหิตคราม ที่ยังไม่สุกงอม และแอ่งน้ำวิญญาณที่อยู่ตรงกลางถ้ำ

หญ้าโลหิตครามยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะสุกงอม และมันสามารถเจริญเติบโตได้เฉพาะในสถานที่ที่มีน้ำวิญญาณจากดินอยู่เท่านั้น

แม้ว่าเขาจะขุดหญ้าโลหิตครามออกมาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นเขาตัดสินใจปล่อยทิ้งไว้ก่อน

ส่วนแอ่งน้ำวิญญาณจากดินเองก็มีพลังวิญญาณลดลงมากหลังจากที่เขาดูดซับไปในช่วงเวลานี้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายปีถึงจะฟื้นฟูกลับมาได้

ฉู่หนิงจึงขุดดินบางส่วนจากในถ้ำ และนำก้อนหินที่เขาพึ่งทำลายทิ้งไว้ไปกั้นทางเข้าถ้ำ

จากนั้นเขาก็โรยเมล็ด เถาวัลย์เหล็ก  ที่นำออกมาจากถุงเก็บของลงไป และใช้วิชากระตุ้นพืชให้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว

เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

เถาวัลย์เหล็กเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ง่ายมาก หลังจากที่เขาเร่งการเติบโตเช่นนี้ มันจะสามารถคลุมหินทั้งแถบได้ในเวลาไม่นาน

ยิ่งไปกว่านั้น เถาวัลย์เหล็กเป็นพืชที่พบเห็นได้ทั่วไป ไม่มีใครสงสัยอะไรหากมาเจอที่นี่

จากนั้นฉู่หนิงเดินกลับไปที่ทางเข้าถ้ำที่อยู่ใกล้น้ำตก และนำ เรือวิญญาณไล่ลม  ออกมา พร้อมกับเรียก ไป่หลิง  ขึ้นเรือเพื่อบินกลับไป

"แย่จัง!"

แต่ ไป่หลิง กลับร้องเรียก และไม่ยอมกระโดดขึ้นเรือ

ฉู่หนิงมองมันอย่างสงสัย แต่แล้วเขาก็เห็น ไป่หลิง หันหน้าไปทางทิศตะวันตกของเทือกเขาและร้องเรียกอีกครั้ง

“ไปทางนั้น”

เสียงความคิดของไป่หลิง  สื่อมาถึงฉู่หนิง

ฉู่หนิงแปลกใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่า ไป่หลิง จะพาเขาไปที่ไหนอีก

แม้ว่าเขาจะรู้สึกสงสัย แต่หลังจากคิดทบทวน เขาก็พยักหน้าเห็นด้วย

“ขึ้นมาเถอะ เราจะไปทางนั้น”

เขารู้ว่าทิศทางที่ไป่หลิง ต้องการไปยังอยู่ในบริเวณเทือกเขาแห่งนี้

และตราบใดที่ยังอยู่ในบริเวณนี้ คงไม่มีอสูรขั้นสูงมาก จึงไม่น่ามีอันตรายใหญ่หลวง

“หรือว่าทางนั้นมีสถานที่พิเศษแบบนี้อีก?”

ฉู่หนิงรู้สึกสงสัยว่าไป่หลิง จะพาเขาไปไหน

เมื่อเห็นฉู่หนิงตอบตกลง ไป่หลิง ก็ดีใจ กระโดดขึ้นเรือวิญญาณไล่ลมทันที

"แย่จัง!"

มันร้องเรียกอีกครั้ง และชี้ทิศทางให้ฉู่หนิง

ทันใดนั้นเรือวิญญาณไล่ลมก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

พวกเขาบินไปในทิศทางที่ไป่หลิง ชี้ไว้ประมาณหนึ่งเค่อ (15 นาที) จนกระทั่งมาถึงส่วนลึกของเทือกเขา

ทำให้ฉู่หนิงรู้สึกลังเล

เขาไม่แน่ใจว่าทำไม ไป่หลิง ถึงพามายังที่นี่ แต่เขาไม่อยากเสี่ยงเข้าไปลึกกว่านี้เพียงลำพัง

ไป่หลิง เจ้าจะพาข้าไปที่ไหน? ยังอีกไกลหรือไม่?"

"แย่จัง!" ไป่หลิง ร้องเรียกอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่รู้จะอธิบายอย่างไร จนเริ่มรู้สึกหงุดหงิด ร้องเรียกซ้ำหลายครั้ง

ฉู่หนิงเริ่มเข้าใจเลา ๆ ว่าคงอยู่ไม่ไกลจากจุดหมายแล้ว

และเช่นเดียวกับที่เขาคาดไว้ พวกเขาบินต่อไปอีกเพียงสองสามลี้เท่านั้น

"แย่จัง!" ไป่หลิง ร้องเรียกพร้อมกับชี้ไปยังพื้นด้านล่าง ทำให้ฉู่หนิงต้องบังคับเรือวิญญาณไล่ลมลงไปยังจุดที่มันบอก

ไม่นานนัก พวกเขาทั้งคู่ก็มาถึงหน้าทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่ง

"อีกแล้วเหรอ? ถ้ำอีกแล้ว?"

ฉู่หนิงมองดูปากถ้ำที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่จั้ง เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

เพราะบนพื้นดินหน้าถ้ำ เขาเห็นรอยเท้าขนาดใหญ่หลายรอยอย่างชัดเจน

"ถ้ำของอสูรงั้นเหรอ?"

ฉู่หนิงคิดขึ้นมาแทบจะในทันที เขารู้สึกสงสัยว่าทำไม ไป่หลิง ถึงพาเขามายังที่นี่

แต่ก่อนที่เขาจะถาม ไป่หลิง กลับส่งเสียงร้อง "แย่จัง!" ออกมาอีกครั้ง พร้อมพ่นแสงสีขาวสายหนึ่งเข้าไปในถ้ำ

"ไป่หลิง  เจ้า..."

ทันใดนั้น เสียงคำรามดังกึกก้องก็ดังขึ้นจากในถ้ำ

ไป่หลิง รีบกระโดดถอยหลังกลับมายืนอยู่ด้านหลังของฉู่หนิงอย่างรวดเร็ว

"แกกลั่นแกล้งข้า เอาคืน!" เสียงของ ไป่หลิง ดังเข้ามาในจิตใจของฉู่หนิง ทำให้เขารู้สึกทั้งขำทั้งไม่พอใจ

แต่ไม่นานนัก รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไป กลายเป็นความตื่นตระหนกแทน

เพราะทันทีหลังจากนั้น ร่างขนาดใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ปากถ้ำ

มันคืออสูรที่มีรูปร่างคล้ายลิง แต่มีขนาดใหญ่สูงถึงหนึ่งจั้ง (ประมาณสามเมตร) ร่างของมันปกคลุมไปด้วยขนสีดำสนิท ซึ่งมีขนสีแดงแซมอยู่อย่างประปราย ดูเหมือนจะเป็นด่างโลหิต

ที่กลางหน้าผากของมันมีเขาแหลมคมโผล่ออกมา

"ลิงเขาเดียวด่างโลหิต"  ฉู่หนิงจำได้ทันทีว่านี่คืออสูรประเภทไหน

เขาเคยศึกษาข้อมูลของอสูรในภูเขาแถบนี้มาก่อน และอสูรชนิดนี้เป็นอสูรระดับหนึ่งขั้นสูง ซึ่งหายากมาก

อสูรระดับหนึ่งขั้นสูงสามารถเทียบเคียงได้กับผู้ฝึกตนที่อยู่ในช่วงปลายของขั้นฝึกปราณ

สิ่งที่ทำให้ฉู่หนิงหน้าซีดก็คือ อสูรชนิดนี้มักจะอาศัยอยู่เป็นคู่ตัวผู้และตัวเมีย

และก็เป็นไปตามคาด เพราะอีกไม่กี่วินาทีต่อมา อสูรลิงเขาเดียวด่างโลหิตตัวที่สอง ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อยก็ปรากฏตัวขึ้นที่ปากถ้ำ

"ชิ่ว!"

ฉู่หนิงกำลังคิดว่าจะหนีไปดีหรือไม่ เพราะอสูรทั้งสองตัวนี้มีพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นเจ็ดแห่งการฝึกปราณ

แต่ในขณะนั้น ไป่หลิง ก็พ่นแสงสีขาวสายหนึ่งโจมตีอสูรตัวหนึ่งทันที

อสูรทั้งสองตนยิงแสงสีเหลืองออกจากเขาบนหัวเกือบจะพร้อมกัน

แสงหนึ่งพุ่งเข้าปะทะกับแสงสีขาวของไป่หลิง  ส่วนอีกแสงหนึ่งพุ่งตรงมายังฉู่หนิง

ไม่ใช่ว่าอสูรลิงเขาเดียวด่างโลหิตละเลยที่จะโจมตี ไป่หลิง  แต่เพราะเจ้าตัวเล็กพ่นแสงเสร็จก็หลบไปอยู่ด้านหลังฉู่หนิงทันที เหมือนมันมั่นใจว่าฉู่หนิงจะปกป้องมันได้

"เป๊าะ!"

ฉู่หนิงไม่ได้ทำให้ ไป่หลิง ผิดหวัง

ขณะที่แสงสีดำพุ่งเข้ามา ใกล้จะถึงตัวเขา โล่เงินสีขาวก็ผุดขึ้นตรงหน้าของเขาทันที

แสงสีเงินวาบขึ้น โล่ไม้ "หยินจิงสุ่ยซวง" (โล่ไม้ไผ่เงินน้ำค้างแข็ง) สามารถป้องกันแสงสีเหลืองเอาไว้ได้สำเร็จ แม้ว่าความสว่างของโล่จะลดลงเล็กน้อย

ฉู่หนิงมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสีเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าพลังโจมตีของอสูรลิงเขาเดียวด่างโลหิตจะไม่น้อยเลย โล่ป้องกันระดับกลางของเขาถึงแม้จะสามารถทนรับการโจมตีได้ แต่ก็คงป้องกันได้นานไม่มาก

ฉู่หนิงรู้ดีว่าเขาไม่สามารถปล่อยให้อสูรทั้งสองตัวนี้โจมตีได้อีก เขาจึงยกมือขึ้นและส่งแสงหลายสายพุ่งตรงไปยังอสูรทั้งสองตัว

นั่นคือเวทมนตร์จากยันต์แท้ที่เขาเก็บไว้ในแหวนยันต์!

ขณะที่ยันต์แท้เริ่มทำงาน ฉู่หนิงปล่อยกระบี่พลังปราณสีเขียวสองสายออกมาจากมือทั้งสองข้าง นั่นคือ           วิชา ชิงมู่เจี้ยนเจวี๋ย( วิชากระบี่ไม้เขียว)

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง แสงสีเหลืองจากเขาของอสูรลิงเขาเดียวด่างโลหิตก็พุ่งตรงมาอีกครั้ง

แสงเวทมนตร์จากยันต์และแสงสีเหลืองปะทะกันกลางอากาศ ขณะที่แสงสีแดงและกระบี่พลังปราณสีเขียวของฉู่หนิงพุ่งตรงไปยังร่างของอสูรทั้งสอง

อสูรลิงเขาเดียวด่างโลหิตทั้งสองตัวคงไม่คาดคิดว่าฉู่หนิงจะมีการโจมตีมากมายขนาดนี้

ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถหลบหนีได้ อสูรทั้งสองตัวถูกโจมตีพร้อมกัน แต่ด้วยผิวหนังที่หนาและร่างกายที่แข็งแกร่งของพวกมัน การโจมตีเหล่านั้นทำได้เพียงสร้างบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก

"โฮ่!" "โฮ่!"

อสูรลิงเขาเดียวด่างโลหิตทั้งสองคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด เมื่อถูกโจมตี

ทันใดนั้น อสูรลิงเขาเดียวด่างโลหิตตัวเมียที่ปรากฏตัวทีหลังยิงแสงสีเหลืองออกจากเขาของมันตรงไปยังฉู่หนิง ในขณะที่อสูรลิงตัวผู้ที่ตัวใหญ่กว่าก็พุ่งเข้าหาฉู่หนิงอย่างรวดเร็ว

เวทมนตร์ธาตุดินเป็นเพียงหนึ่งในวิธีการโจมตีของอสูรลิงเขาเดียวด่างโลหิต สิ่งที่ทำให้อสูรพวกนี้น่ากลัวกว่าก็คือความแข็งแกร่งทางกายภาพของมัน

ไม่ว่าจะเป็นการป้องกัน หรือการใช้พลังจากร่างกายเพื่อพุ่งชน ล้วนเป็นเรื่องยุ่งยากมากสำหรับผู้ฝึกตนทั่วไป

แม้ว่าฉู่หนิงจะรู้ว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นมากหลังจากฝึกฝนวิชา ไม่กู่กู่ จนสมบูรณ์แล้ว แต่เขาก็ยังไม่อยากเสี่ยงที่จะปะทะกับอสูรลิงโดยตรง

ร่างของเขาหายวับไปในพริบตาเพื่อหลบการโจมตีของอสูร จากนั้นเขาปล่อยกระบี่พลังปราณสีเขียวออกมาหลายสาย สองสายพุ่งเข้าโจมตีเวทมนตร์ธาตุดินของอสูรตัวเมีย ส่วนกระบี่ที่เหลือพุ่งตรงเข้าหาอสูรลิงตัวผู้

อย่างไรก็ตาม กระบี่พลังปราณสีเขียวไม่สามารถทำอันตรายต่ออสูรลิงตัวผู้ได้มากนัก แต่กลับกระตุ้นสัญชาตญาณสัตว์ป่าของมันแทน

อสูรลิงเขาเดียวด่างโลหิตหมุนตัวกลับมาและพุ่งเข้าหาฉู่หนิงอีกครั้ง

ในขณะที่ ไป่หลิง ได้หลบไปอยู่อีกด้านแล้ว แต่แทนที่จะหนีไป มันยังคงโจมตีอสูรลิงตัวเมียด้วยเวทมนตร์น้ำแข็งต่อไป

ฉู่หนิงสังเกตเห็นว่าทั้งเวทมนตร์จากยันต์แท้และวิชา ชิงมู่เจี้ยนเจวี๋ย ( วิชากระบี่ไม้เขียว)  ของเขาไม่สามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงต่ออสูรลิงเขาเดียวด่างโลหิตทั้งสองตัวได้เลย เขาจึงตัดสินใจควักยันต์ออกมาหลายใบและกระตุ้นมันพร้อมกัน

ทันใดนั้น แสงเวทมนตร์สีทอง สีแดง และสีขาวก็พุ่งออกมาจากยันต์ โจมตีไปยังอสูรลิงเขาเดียวด่างโลหิตตัวผู้ แม้ร่างกายของอสูรจะทนทานมาก แต่มันก็ชะงักเล็กน้อย

ตอนนี้ฉู่หนิงสามารถหนีไปได้ด้วยการขี่เรือวิญญาณไล่ลม แต่เขาเพิ่งผ่านการทะลวงขั้นมาไม่นาน และรู้สึกอยากทดสอบวิชาเทพที่ได้มา

“ถ้าไม่สามารถทำอันตรายได้ ก็ค่อยใช้ยันต์หลบหนีเพื่อหนีไปก็ยังทัน…”

เขาคิดในใจพร้อมกับพุ่งตัวไปยังอสูรลิงตัวเมียด้วยความเร็วที่ทำให้เกิดเสียงเสียดสีอากาศ

ท่าหลบจิงเล่ยปู้(ก้าวสายฟ้าฟาด)! กำปั้นเทียนกัง!

ก่อนที่อสูรลิงเขาเดียวด่างโลหิตตัวเมียจะทันได้ตอบสนอง กำปั้นของฉู่หนิงก็พุ่งเข้าใส่มันอย่างรุนแรง

"โฮ่!"

เสียงคำรามแห่งความเจ็บปวดดังลั่น อสูรลิงตัวเมียถูกชกจนลอยไปกระแทกกับก้อนหินที่ปากถ้ำ ตายทันที!

อสูรลิงเขาเดียวด่างโลหิตที่ไม่สามารถถูกทำร้ายได้ด้วยเวทมนตร์ของฉู่หนิงกลับถูกฆ่าด้วยกำปั้นเพียงครั้งเดียวเมื่อใช้ท่าหลบจิงเล่ยปู้  (ก้าวสายฟ้าฟาด) ร่วมกับกำปั้นเทียนกัง!

"อ๊า!"

อสูรลิงเขาเดียวด่างโลหิตตัวผู้ที่เพิ่งรับการโจมตีจากเวทมนตร์เสร็จ พอเห็นคู่ของมันถูกฆ่า มันก็ส่งเสียงร้องอย่างโศกเศร้า

แสงสีเหลืองพุ่งออกจากเขาของมันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้พุ่งเข้าใส่ฉู่หนิง

แสงสีเหลืองนั้นกลับไหลเข้าสู่ร่างของมันแทน ทำให้ขนสีดำแดงของมันปกคลุมไปด้วยแสงสีเหลือง

ทันใดนั้น อสูรลิงเขาเดียวด่างโลหิตตัวผู้ก็พุ่งเข้าใส่ฉู่หนิงด้วยความดุร้ายยิ่งกว่าเดิม ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

แต่มันอาจจะเร็ว แต่ฉู่หนิงเร็วกว่ามาก!

ฉู่หนิงใช้ท่าหลบจิงเล่ยปู้(ก้าวสายฟ้าฟาด) พุ่งตัวเข้าหาอสูรลิงเขาเดียวด่างโลหิต แต่ด้วยความรวดเร็วและว่องไว เขาก็อ้อมไปด้านข้างของอสูรแทนที่จะปะทะกันตรง ๆ

กำปั้นเทียนกัง!

ฉู่หนิงชกอีกครั้ง กำปั้นพุ่งเข้าใส่ลำคอของอสูรลิงเขาเดียวด่างโลหิต

แสงสีเหลืองบนร่างของมันจางหายไปทันที

คุณทันใดนั้น อสูรลิงเขาเดียวด่างโลหิตตัวผู้ก็ถูกซัดกระเด็นไปอีกครั้ง ลอยไปกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง

เมื่ออสูรทั้งสองตัวล้มลงกับพื้น ฉู่หนิงจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเล็กน้อย

"แย่จัง!"

ไป่หลิง รีบวิ่งเข้ามาหาฉู่หนิงพร้อมกับร้องเรียก

"เจ้าเก่งมาก!"

เสียงจากจิตของ ไป่หลิง ทำให้ฉู่หนิงหัวเราะออกมา

"เพิ่งจะกล้าออกมา ตอนนี้แสดงเก่งใหญ่เลยนะ เมื่อกี้หลบเร็วกว่าคนอื่นอีก เจ้าจะกลายเป็นอสูรระดับหนึ่งขั้นสูงเมื่อไหร่กัน?"

แม้ว่าเสียงของฉู่หนิงจะเป็นการแซว แต่ไป่หลิง กลับเผยท่าทางไม่พอใจ มันอ้าปากโชว์ฟันราวกับไม่ยอมแพ้

ฉู่หนิงหัวเราะเบา ๆ

คำพูดของเขานั้นแกล้ง ไป่หลิง โดยเจตนาอยู่แล้ว

ความจริงแล้ว แม้แต่ในหมู่สัตว์อสูรระดับเดียวกันก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่

อย่างเช่นลิงเขาเดียวด่างโลหิตระดับหนึ่งขั้นสูงนี้ มีพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นเจ็ดของระดับฝึกปราณ

ในขณะที่เวทมนตร์น้ำแข็งที่หลิงเสี่ยวไป๋พ่นออกมาก็มีพลังใกล้เคียงกับผู้ฝึกตนขั้นหกของระดับฝึกปราณ

หาก ไป่หลิง สามารถเลื่อนขั้นเป็นอสูรระดับหนึ่งขั้นสูงได้จริง ๆ มันอาจจะมีพลังถึงขั้นแปดหรือแม้แต่ขั้นเก้าเลยทีเดียว

ฉู่หนิงเดินเข้าไปหาซากอสูรลิงเขาเดียวด่างโลหิต พลางหันไปถามไป่หลิง ว่า

"ตอนนี้ เจ้าคงบอกข้าได้แล้วว่าทำไมเจ้าถึงพาข้ามาที่นี่?"

"แย่จัง!" ไป่หลิง ร้องตอบ พร้อมกับส่งเสียงในจิตสื่อสารกับฉู่หนิง

5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด