ตอนที่แล้วตอนที่ 28 ผู้หญิงควรเป็นเช่นนี้แหละ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 30 ความจริงเพียงครึ่งเดียว

ตอนที่ 29 เทพแห่งการปรุงยา


ตอนที่ 29 เทพแห่งการปรุงยา

ผู้หญิงควรจะเป็นเช่นนี้แหละ

มีความภาคภูมิใจ มีอิสรภาพ ต่อสู้เพื่อความฝันของตัวเอง ได้รับการยกย่องและมีเกียรติยศ

ไม่ควรถูกจำกัดด้วยวิถีโบราณต่างๆ ที่เกิดมาแล้วก็ต้องเชื่อฟังผู้เป็นพ่อ แต่งงานแล้วก็ต้องเชื่อฟังสามี เมื่อสามีตายก็ต้องเชื่อฟังลูกชาย และไม่ควรถูกขังอยู่ในเรือนจำเหมือนนกที่ถูกตัดปีก หรือถูกขายเข้าไปในถ้ำโจร กลายเป็นเพียงสิ่งของ ไม่มีชีวิต ไม่มีความหวัง

เธอรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่แล้วอย่างไรล่ะ?

เมื่อมาเกิดแล้วครั้งหนึ่ง ก็ต้องทำให้ชีวิตนี้ไม่รู้สึกเสียเปล่า

หลังจากเทศกาลมู่เซี่ย เวิ่นหยุนซีก็มีงานที่ยุ่งขึ้นกว่าเดิม

นอกจากการทำคลินิกอาสาและการสอนลูกศิษย์แล้ว เวิ่นหยุนซียังต้องหารือกับผู้อาวุโสฮวาเกี่ยวกับการสร้างโรงงานผลิตน้ำตาล

โชคดีที่เผ่าสุ่ยอีมีฝีมือในการทำอาวุธ มีช่างฝีมือมากมาย พวกเขาไม่เพียงแต่เข้าใจสูตรน้ำตาลทรายขาวอย่างรวดเร็ว แต่ยังทำน้ำตาลอ้อยให้ได้ตามคำสูตรของเวิ่นหยุนซีเพิ่มอีก

เมื่อมีน้ำตาลสองชนิดนี้แล้ว พวกเขาก็วางแผนลักลอบขนส่งทางเรือไปยังแคว้นจงหยวนและทะเลทางใต้ รายได้ที่คาดการณ์ไว้นั้นย่อมสูงแน่นอน

ผู้อาวุโสฮวาคงจะได้แรงบันดาลใจจากการทำน้ำตาล จึงเกิดความคิดอีกทางหนึ่งในการทำเงิน นั่นคือการขายผลไม้อบแห้ง

แคว้นหลานโจวมีผลไม้หลากหลายชนิดและมีผลผลิตตลอดทั้งปี หากส่งผลไม้อบแห้งไปขายที่แคว้นจงหยวน แม้จะไม่พิเศษเท่าน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลอ้อย แต่ความหลากหลายของรสชาติจะทำให้ขายได้ไม่น้อย

นอกจากนี้ เนื่องจากการต้มน้ำตาลต้องใช้ความร้อนจากการเผาถ่าน การอบผลไม้อบแห้งก็สามารถทำไปพร้อมกันได้ ถือว่าเป็นการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า

ยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว

แม้ว่าเวิ่นหยุนซีจะพยายามปฏิเสธ แต่ผู้อาวุโสฮวาก็ยังแบ่งส่วนแบ่ง 1 ใน 10 ของรายได้จากการขายผลไม้อบแห้งให้ เพื่อเป็นการขอบคุณเธอที่คอยช่วยเหลือเผ่าสุ่ยอีมาตลอด

เพราะว่าผลไม้อบแห้งก็ยังต้องใช้ช่องทางขนส่งของเวิ่นหยุนซี หากไม่มีช่องทางของเธอ ผลไม้อบแห้งก็ไม่สามารถออกจากแคว้นหลานโจวไปถึงแคว้นจงหยวนได้

เรื่องของช่องทางทำการค้าขายนั้น เวิ่นหยุนซีก็กำลังเตรียมการอยู่ โดยมีจุดประสงค์คือ เธอต้องสะสมแต้มให้ครบ 50,000 แต้ม เพื่อจะใช้แลกเปลี่ยนเป็นยาถอนพิษ

ในตอนเช้าตรู่ของวันนั้น เวิ่นหยุนซีดึงมือถงอวิ๋นที่เพิ่งนำอาหารว่างมาส่ง และพาเธอออกจากบ้านไป ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองไปที่ไหนหรือทำอะไร

จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากที่ถงอวิ๋นเมา เธอก็ได้บ่นเกี่ยวกับเวิ่นหยุนซี จนทำให้ทุกคนเข้าใจในภายหลัง

ในสองวันต่อมา เมืองสุ่ยอีเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นติดต่อกัน เช่น น้ำในทะเลสาบเปลี่ยนสี น้ำไหลขึ้นแทนที่จะไหลลง หรือแม้แต่ต้นไม้ที่ตายแล้วก็ยังออกดอก

ในวันที่สาม มีชายชราคนหนึ่งในเผ่าสุ่ยอี บังเอิญพบแผ่นหนังแกะเก่า เมื่อเขาเห็นตัวอักษรบนแผ่นหนังนั้น ก็อุทานด้วยความตกใจ

นั่นคือลายมือของหัวหน้าเผ่าคนก่อนของเผ่าสุ่ยอี บนแผ่นหนังเขียนเป็นภาษาของเผ่าว่า

"ในอีก 3 เดือน จะเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ พวกเจ้าต้องตามหาตัว ท่านหมอ เทพปรุงยาที่อยู่ในเมืองให้พบ ไม่เพียงแต่จะต้องได้รับยาจากเธอเท่านั้น แต่ยังต้องรู้สึกสำนึกบุญคุณตลอดเวลา เพื่อปัดเป่าภัยพิบัติและโรคร้าย"

โรคระบาดถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สามารถทำลายล้างทั้งเผ่าได้ ทำให้ชาวเผ่าสุ่ยอีต่างแตกตื่นและตกใจกันไปหมด

“อย่าตื่นตระหนกใจไป หัวหน้าเผ่าได้ให้เบาะแสเราแล้ว แค่เราหาตัว ท่านหมอเทพปรุงยาเจอ พวกเราก็ยังมีหวังรอดได้”

ถงอวิ๋นในฐานะนักรบคนใหม่ของเผ่าสุ่ยอี และยังเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งหัวหน้าเผ่าในอนาคต เมื่อเธอตะโกนบอกดังนั้น ทุกคนก็เงียบสงบลงในทันที

ในใจถงอวิ๋นแอบด่าเวิ่นหยุนซีว่าเป็นพวกชอบสร้างเรื่อง แต่บนใบหน้ากลับต้องแสร้งทำท่าทีว่า ไม่รู้แผนการนี้ อย่างแนบเนียน

“สวรรค์ได้ส่งทางรอดมาให้พวกเราแล้ว”

ถงอวิ๋นพยายามกลั้นหัวเราะ ขณะที่ฝืนพูดคำที่ทำให้ตัวเองรู้สึกเขินอาย “ไปกันเถอะ ไปขอให้ท่านหมอเทวดาเวิ่น ช่วยเมตตา แจกจ่ายยาให้!”

ให้ตายเถอะ เจ้าเวิ่นหยุนซี คนบ้า! ถ้าไม่ใช่เพราะเธอต้องการให้น้องสาวของเธอได้ร่ำเรียนวิชาแพทย์ เธอคงไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก

เดิมทีนั้น เวิ่นหยุนซียังทำเป็นท่องวิชาเทพปรุงยาด้วยตัวเองอยู่เลย แต่ตอนนี้ดันจะให้เธอมาเป็นคนท่องแทนหมดแล้ว!

เธอทนกลั้นหัวเราะแล้วแสดงละครอยู่ตรงนี้ ส่วนเวิ่นหยุนซีกลับเพียงแค่นั่งรอรับผลประโยชน์ ช่างได้กำไรมากเหลือเกิน!

ถงอวิ๋นพาชาวเผ่าหลาย 1,000 คน มาถึงหน้าบ้านของเวิ่นหยุนซี ซึ่งในตอนนั้น เวิ่นหยุนซีกำลังสอนลูกศิษย์หญิง 21 คน ให้ฝึกทำสมาธิยามเช้าอยู่

ที่บอกว่าเป็นสมาธิยามเช้า ที่จริงก็แค่การนั่งขัดสมาธิพร้อมกับแกว่งแขนและท่องบทร่ายวิชาไปด้วย เวิ่นหยุนซียืนกรานให้ทุกคนท่องบทเทพปรุงยานั้นอยู่เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง โดยบอกว่าต้องท่องจนชำนาญ

ลูกศิษย์ใหม่เหล่านั้น ตั้งใจท่องกันอย่างเคร่งครัด โดยไม่รู้เลยว่าคนที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดอย่างเวิ่นหยุนซีและฉินอวี้ได้หลับไปนานแล้ว

ถงอวิ๋นตะโกนเรียกอยู่หน้าประตู 3 ครั้ง ก่อนจะพาชาวเผ่าหลาย 1,000 คน เปิดประตูเข้ามาข้างใน

แม้ว่าจะเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเวิ่นหยุนซีที่เคยยืนร่ายวิชาอยู่นอกประตูเมืองตอนนั้น แต่เมื่อได้มาเห็นเองกับตา ก็ทำให้ทุกคนตื่นตะลึง

เมื่อคิดถึงสิ่งที่เขียนบนหนังแกะ ความหวังของทุกคนก็ถูกจุดขึ้นมาใหม่ พวกเขาเริ่มหมอบกราบและขอให้เวิ่นหยุนซีมอบยาวิเศษให้

ถงอวิ๋นจ้องมองเวิ่นหยุนซีที่ยังคงแสร้งทำเป็นจริงจัง พร้อมกับเร่งให้เธอรีบลงมือ ไม่อย่างนั้นเธอจะยืนเก้ๆ กังๆ คนเดียว แบบนี้มันดูแปลกเกินไป แต่จะให้ถงอวิ๋นคุกเข่าขอร้องใครงั้นหรือ? ไม่มีทาง นอกจากจะหักขาเธอซะก่อน!

เวิ่นหยุนซีเห็นว่ามาถึงจุดที่ควรหยุดแล้ว เธอลุกขึ้นจากพื้น เดินไปประคองผู้เฒ่าที่อยู่ข้างหน้าขึ้นมา แล้วขอให้ทุกคนลุกขึ้นด้วยกัน

เวิ่นหยุนซีถอนหายใจเล็กน้อย พูดด้วยสีหน้ากลุ้มใจ “ด้วยความสัตย์จริง เมื่อคืนนี้ ข้าได้ยามาเพียงแค่ 4 เม็ดเท่านั้นเอง...”

ยังไม่ทันที่เวิ่นหยุนซีจะพูดจบ ก็ถูกขัดขึ้นด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความโกลาหล

“ท่านหมอเวิ่น ได้โปรด ช่วยพวกเราด้วยเถอะ!”

“ใช่แล้ว ท่านหมอเวิ่น พวกเราจะจดจำ และสำนึกในบุญคุณของท่านตลอดไป”

เวิ่นหยุนซียกมือขึ้นปลอบชาวเผ่า "ขอให้ฟังข้าพูดให้จบก่อน ยาทั้ง 4 เม็ดนี้ ข้าจะละลายในน้ำแล้วมอบให้พวกเจ้า หากดื่มน้ำนี้แล้วรู้สึกดีขึ้น มันจะช่วยปกป้องพวกเจ้าให้รอดพ้นจากโรคร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า"

เมื่อเวิ่นหยุนซีพูดจบ ชาวเผ่าสุ่ยอีที่เคยลังเลต่างเริ่มมีความเชื่อมั่นขึ้นมาทันที

ท่านผู้อาวุโสเจอหนังแกะนี้เมื่อตอนเช้ามืด ขณะที่เวิ่นหยุนซีไม่ได้อยู่ในการหารือที่เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน แต่นางกลับบอกได้อย่างแม่นยำว่าจะมีโรคระบาดเกิดขึ้นในอีก 3 เดือน นี่ต้องเป็นคำบอกใบ้จากเทพเจ้าอย่างแน่นอน!!

ถงอวิ๋นไม่กล้ามองหน้าชาวเผ่าสุ่ยอี เพราะกลัวว่าคนอื่นๆ จะเห็นถึงความรู้สึกผิดในแววตาของเธอ

แม้จะรู้จักเวิ่นหยุนซีเพียงไม่กี่วัน แต่เธอกลับเชื่อใจเวิ่นหยุนซีอย่างไม่มีเหตุผล อย่างไรก็ตาม การหลอกลวงชาวเผ่าที่ไร้เดียงสาเช่นนี้ ก็ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีในใจ

เวิ่นหยุนซีเข้าใจถึงความไม่สบายใจของถงอวิ๋น จึงไม่ได้พูดอะไรต่อไป เธอสั่งให้เตรียมน้ำเดือดที่สะอาด แล้วนำยาเม็ดเพิ่มพลัง ที่แลกมาจากระบบเทพปรุงยา ด้วยแต้ม 2,000 แต้ม ทั้ง 4 เม็ด ใส่ลงไปละลายในน้ำ

เมื่อเห็นเม็ดยาสีขาว ละลายในน้ำจนหมด ชาวเผ่าสุ่ยอีที่มาขอรับยาต่างก็รู้สึกคลายความกังวลและรู้สึกโล่งอกไปได้บ้าง

สำหรับฉินอวี้และศิษย์น้องอีก 20 คน ตอนแรกพวกเขาทั้งงงและตกใจ แต่ฉินอวี้นั้นรู้จักความสามารถในการหลอกลวงของเวิ่นหยุนซีอยู่แล้ว

เธอเคยสงสัยว่าเวิ่นหยุนซีมีพลังบางอย่างที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงตอบสนองกับสถานการณ์นี้ได้เร็ว และยืนรอรับคำสั่งของเวิ่นหยุนซีอย่างใจเย็น

ส่วนลูกศิษย์อีก 20 คน ที่เป็นชาวเผ่าสุ่ยอี เมื่อได้ยินข่าวเรื่องโรคระบาดในเผ่า พวกเธอไม่มีใครสามารถนิ่งเฉยได้เลย ก่อนที่จะมาฝึกเรียนวิชาแพทย์ พวกเธอเคยได้ยินจากผู้เฒ่าผู้แก่ถึงความน่ากลัวของโรคระบาด และเมื่อได้เรียนรู้เกี่ยวกับที่มาของโรคและวิธีการรักษา ความกลัวนั้นกลับยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก

เพราะหมู่บ้านเผ่าสุ่ยอีเป็นบ้านของพวกเธอ มีทั้งครอบครัวและเพื่อนของพวกเธออาศัยอยู่ที่นี่

เมื่อเวิ่นหยุนซีเห็นว่าชาวเผ่าสุ่ยอีตกใจจนอยู่ในสภาพหวาดกลัว เธอจึงได้แต่ขอโทษในใจ เธอเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น นี่เป็นวิธีเดียวที่เธอจะทำให้ตัวเองกลายเป็นสิ่งที่พวกเขาพึ่งพาได้ และสามารถเป็นเทพเจ้าที่พวกเขารู้สึกขอบคุณได้ในระยะยาว

เพื่อเป็นการชดเชยความรู้สึกผิด เวิ่นหยุนซีได้แลกยาเพิ่มพลัง 4 เม็ด มาเจือจางในน้ำ ยานี้จะสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพของพวกเขาได้บ้าง ลดโอกาสการเจ็บป่วยจากหวัดหรือโรคอื่นๆ ในกลุ่มคนแก่และเด็ก นับเป็นการชดเชยเล็กๆ น้อยๆ

เมื่อ น้ำยาวิเศษนี้ ถูกแจกจ่ายออกไป เวิ่นหยุนซีก็เริ่มได้รับแต้มสะสม พุ่งขึ้นหลาย 1,000 แต้ม ในทันที และยังมีชาวเผ่าสุ่ยอีที่มารอรับน้ำยาวิเศษนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่หัวหน้าเผ่าและผู้อาวุโสทั้งห้าคนก็มาเช่นกัน

ในฐานะที่พวกเขาเป็นผู้นำสูงสุดของเผ่า เรื่องนี้จึงทำให้พวกเขารู้สึกสงสัย โดยเฉพาะหัวหน้าเผ่าถงจา ซึ่งมองไปที่ถงอวิ๋นลูกสาวของเขาอย่างมีข้อกังขา แต่เมื่อพวกเขาได้ดื่มน้ำยาวิเศษเข้าไป ความสงสัยก็หายไปทั้งหมด

ในฐานะที่พวกเขาเป็นนักรบ ร่างกายของพวกเขาย่อมไวต่อความรู้สึก แม้จะดื่มเพียงหนึ่งอึก แต่พวกเขาก็รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายได้ทันที ประสาทสัมผัสทั้งห้าคมชัดขึ้นกว่าเดิม

ถงอวิ๋นในตอนแรกคิดว่าชาวเผ่าของเธอถูกเวิ่นหยุนซีหลอก เมื่อได้ยินพวกเขาพูดว่าร่างกายรู้สึกดีขึ้น เธอก็ไม่ได้เชื่อจริงๆหรอก จนกระทั่งเธอเห็นแววตาของพ่อเธอ

ถงอวิ๋นจึงคว้าถ้วยน้ำยาวิเศษแล้วดื่มจนหมด เมื่อเธอสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย เธอก็จับตัวเวิ่นหยุนซีแล้วลากเข้าไปในห้องในทันที

เสียง "ปัง" ดังขึ้น ถงอวิ๋นจับคอเสื้อเวิ่นหยุนซี แล้วกดเธอไว้กับกำแพงอย่างแรง

"เจ้าคือใครกันแน่? บอกข้ามาเดี๋ยวนี้!"

…โปรดติดตามตอนต่อไป…

หากพบคำที่พิมพ์ผิด แจ้งได้เลยนะ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด