บทที่ 24: คนจะงาม งามที่ใจ ใช่ใบหน้า
ในขณะนี้เหล่าเสนาบดียังคงพยายามยกเหตุผลมากมายขึ้นมาพูด แต่มีเพียงอันกงกงเท่านั้นที่เห็นว่าฮ่องเต้ไม่ได้สนใจฟังเลยสักนิด
จากนั้นมู่เทียนฉงก็ส่งเสียงในลำคอ แสร้งทำเป็นเห็นด้วยกับอีกฝ่าย “อืม”
แต่ในความเป็นจริงความคิดของเขาได้ล่องลอยไปไกลแล้ว
ขุนนางพวกนี้น่ารำคาญมาก โชคดีที่เขามีไป๋ไป่
เจ้าเด็กตัวนุ่มนิ่มนั้นสามารถอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขนของเขาเพื่อให้ความอบอุ่นแก่เขาและยังสามารถบีบแก้มเล่นได้ด้วย
หลังจากที่เจ้ากรมอาญากล่าวจบ เขาก็สังเกตเห็นว่าฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เลย เขาจึงแสดงสีหน้างุนงงพลางยกมือขึ้นเกาหัวเบา ๆ
ชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง ดวงตาเฉยเมยของอีกฝ่ายค่อย ๆ เลื่อนมามองพวกเขาช้า ๆ “พูดจบแล้วหรือ?”
“เช่นนั้นก็เลิกประชุม”
มู่เทียนฉงกล่าวจบแล้วก็ลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินออกไป ทำให้ทั่วทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในความโกลาหล
“ฝ่าบาท!”
เจียงเช่อเป็นผู้นำเหล่าเสนาบดีทุกคนให้คุกเข่าลงขวางทางฮ่องเต้เอาไว้ ในขณะที่เขาพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาท คุกใต้ดินนั้นทั้งเย็นและอับชื้น องค์หญิงใหญ่ยังทรงเยาว์วัยนัก พระนางจะทนอยู่ได้อย่างไร ฝ่าบาท ได้โปรดทรงเมตตาไว้ชีวิตองค์หญิงใหญ่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
มู่เทียนฉงหยุดแล้วกวาดตามองเหล่าเสนาบดีด้วยสายตาเย็นชา ทำให้ทุกคนมีเหงื่อซึมออกมาจากแผ่นหลัง
“พวกท่านกำลังขู่เราอย่างนั้นหรือ?”
“กระหม่อมมิกล้า!” หัวใจของเจียงเช่อบีบรัดแน่นในขณะที่ตอบออกไปอย่างห้าวหาญ
หากเขามีทางเลือกอื่น เขาจะกล้ามาขวางฝ่าบาทได้อย่างไร แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกแล้วจริง ๆ จึงต้องทำเช่นนี้
สถานที่อย่างคุกใต้ดินนั้นคนธรรมดายังทนอยู่ได้เพียงไม่กี่วัน นับประสาอะไรกับมู่เชียนที่ได้อยู่อย่างสุขสบายมาตลอดทั้งชีวิต
นอกจากนี้เขาได้รับปากกับแม่ของมู่เชียนแล้วว่าเขาจะปกป้องเด็กคนนี้ให้ดี แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
“ท่านไม่กล้าอย่างนั้นหรือ?” มู่เทียนฉงยิ้มเยาะ
“เราคิดว่าท่านกล้าหาญยิ่งนัก อัครมหาเสนาบดี เราเมตตาและเอ็นดูองค์หญิงใหญ่มากเพียงใดทุกคนก็รู้ดี แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อวานนางเกือบจะฆ่าองค์หญิงหกไปแล้ว”
เหล่าเสนาบดีต่างพากันนิ่งเงียบ เมื่อวานนี้มีข่าวลือหนาหูในวังหลวงว่าองค์หญิงหกที่ไม่เคยได้รับความโปรดปรานมาก่อนจู่ ๆ ก็ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทอย่างกะทันหัน
เดิมทีพวกเขาคิดว่ามันเป็นเพียงข่าวลือที่พูดเกินจริงกันเท่านั้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าข่าวลือดังกล่าวจะเป็นเรื่องจริง
“หากเราไปถึงไม่ทัน เราเกรงว่าองค์หญิงหกคงจะไม่มีชีวิตอยู่รอดจนถึงวันนี้” แล้วฮ่องเต้หนุ่มก็เอ่ยถามเสียงเย็น “เจียงเช่อ ท่านยอมแพ้เสียเถอะ พวกนางทั้งคู่เป็นบุตรสาวของเรา หากบุตรสาวกระทำผิด เราควรลงโทษนางหรือไม่?”
เจียงเช่อกัดฟันตอบออกมาอย่างยากลำบากว่า “พ่ะย่ะค่ะ… แต่ฝ่าบาท แม้ว่าองค์หญิงใหญ่จะมีความผิด แต่พระนางก็ไม่ได้มีความผิดถึงขั้นมีโทษถึงตาย ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ขังองค์หญิงใหญ่ไว้ในคุกใต้ดินเป็นเวลาหนึ่งคืน ซึ่งนี่ก็ถือว่าเป็นการลงโทษเรียบร้อยแล้ว กระหม่อมเชื่อว่าองค์หญิงใหญ่ต้องเข้าใจแล้วว่าตนกระทำผิด”
“หากคนเรารู้ข้อผิดพลาดของตัวเองและแก้ไขมัน คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงเช่อพูดพลางโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เขาแทบจะหมอบกราบลงกับพื้น ในขณะที่พูดขึ้นมาอย่างจริงจัง ด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น “ฝ่าบาท ได้โปรดเถิดพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดเมตตาองค์หญิงใหญ่ อย่างน้อยก็เห็นแก่มารดาของพระนางที่สิ้นพระชนม์ไปก่อนวัยอันควรด้วย…”
ทันใดนั้นห้องโถงก็ตกอยู่ในความเงียบ มันเงียบมากจนแทบจะได้ยินเสียงเข็มหล่น
อัครมหาเสนาบดีไม่แน่ใจว่าการที่เขายกน้องสาวที่เสียชีวิตของตัวเองขึ้นมาอ้างนั้นจะมีประโยชน์หรือไม่ เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็คือฮ่องเต้ที่ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมที่สุด
แต่นอกจากการทำเช่นนี้ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เขาจึงต้องเสี่ยงเพียงเท่านั้น
“เอาล่ะ เพื่อเห็นแก่อดีตฮองเฮา เราจะละเว้นโทษมู่เชียนไปก่อน และให้เวลานาง 1 เดือนในการทบทวนความผิดของตัวเอง”
คำตอบที่ได้รับทำให้หัวใจของเจียงเช่อผ่อนคลายลง และเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากขอบคุณฝ่าบาทสำหรับความมีเมตตา เขาก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดขัดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า “แต่อย่าได้โทษเราที่ไม่เตือนท่านล่ะเจียงเช่อ เราเกลียดการถูกข่มขู่มากที่สุด ถ้าเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกในครั้งต่อไป ถึงแม้ว่าท่านจะยกอดีตฮองเฮามาอ้าง มันก็ไม่มีประโยชน์”
หัวใจที่คลายลงของอัครมหาเสนาบดีกลับมาบีบรัดแน่นขึ้น แล้วเขาก็พยายามสงบสติอารมณ์ลงก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเคารพว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท พระองค์ทรงสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว”
“เคลื่อนขบวน กลับตำหนัก” มู่เทียนฉงรู้สึกไม่พอใจมากที่ถูกบังคับให้ต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว ซึ่งตลอดทางระหว่างที่เสด็จกลับตำหนักนั้น ใบหน้าของเขาก็เย็นชามาก
ขันทีและนางกำนัลกลุ่มหนึ่งที่ติดตามอันกงกงรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งว่าจะไปเผลอทำให้ฮ่องเต้โกรธเข้า
ในเวลานี้จู่ ๆ พวกเขาก็รู้สึกคิดถึงองค์หญิงหกที่สามารถทำให้ฝ่าบาทมีความสุขได้เพียงแค่พูดไม่กี่คำ นั่นยิ่งทำให้พวกเขารีบก้าวเท้าของตัวเองเร็วยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขากลับไปถึงตำหนักเย่าเจิ้ง และเห็นเพียงห้องบรรทมที่ว่างเปล่า ทุกคนก็รู้สึกสับสน
ผู้ที่ช่วยให้พวกเขารอดชีวิตหายไปไหนกัน องค์หญิงหกอยู่ที่ไหน!
ขณะเดียวกัน ในตำหนักฉือซิ่ง มู่ไป๋ไป่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นมองดูสตรีผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งกำลังจิบชาอยู่บนตั่งเงียบ ๆ
“บังอาจ พระองค์กล้าดีอย่างไรถึงมองพระพักตร์ไทเฮาโดยตรง!” นางกำนัลในตำหนักที่ยืนอยู่ด้านข้างสังเกตเห็นว่าคนตัวเล็กกำลังแอบเหลือบมองผู้เป็นนายของตนอยู่ นางจึงตะคอกอีกฝ่ายเต็มเสียง “ไร้ระเบียบวินัย นี่คือสิ่งที่หว่านผินสอนองค์หญิงหกอย่างนั้นหรือ”
คนที่เอ่ยปากก็คือ ‘ชิงเยว่’ คนเก่าคนแก่ในตำหนักไทเฮาและเป็นแม่นมของฮ่องเต้มู่เทียนฉง ซึ่งคำพูดของนางมันเป็นเหมือนกับการด่าไปถึงแม่ของเด็กหญิง
มู่ไป๋ไป่รีบก้มหัวลงและแสร้งทำเป็นตัวสั่น พลางคิดทบทวนว่าตัวเองไปทำอะไรให้ไทเฮาโกรธเข้า ถึงขนาดที่ทำให้พระนางต้องฉวยโอกาสตอนที่ฝ่าบาทเสด็จไปว่าราชการที่ตำหนักไท่เหอเรียกเธอให้มาคุกเข่าอยู่ที่ตำหนักฉือซิ่ง
“ไทเฮาโปรดละเว้น ไป๋ไป่ยังเด็กจึงยังไม่รู้มารยาท ในอนาคตหม่อมฉันจะสั่งสอนนางให้ดีเพคะ” หว่านผินรีบคุกเข่าลงด้วยใบหน้าซีดเซียวพร้อมกับพยายามปกป้องลูกสาวไว้ข้างหลัง
“ท่านแม่… ไป๋ไป่ไม่กลัว”
มู่ไป๋ไป่ถือโอกาสนี้เอนตัวพิงแม่ของตน และแอบขยับขาที่ถูกเหน็บกินไปครึ่งน่องเบา ๆ
“ไป๋ไป่แค่คิดว่าไทเฮาทรงยังเยาว์วัยและงดงามมากเพคะ เลยอดไม่ได้ที่อยากจะมองดูพระองค์อีกสักครั้ง การทำเช่นนี้มันผิดหรือเพคะ?”
เสียงที่ไร้เดียงสาและไพเราะส่งผลให้ผู้คนรู้สึกคล้อยตามโดยไม่รู้ตัว ซึ่งทำให้คนที่กำลังหลับตาดื่มด่ำชาในมือในที่สุดก็ลืมตามองดูคนพูดแล้วถามว่า “องค์หญิงหกคิดว่าเรางดงามอย่างนั้นหรือ?”
เดิมทีหว่านผินอยากจะดุมู่ไป๋ไป่ที่พูดอะไรไม่เหมาะสม แต่เมื่อนางได้ยินว่าไทเฮาพูดขัดขึ้นมา นางก็กลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอไป แต่ก็ยังคงส่งสายตาดุ ๆ ให้ลูกสาว
มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่จู่ ๆ องค์หญิงหกคนนี้ก็ฉลาดขึ้นมา ผู้เป็นไทเฮาไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่านางวางแผนเอาไว้จึงแสร้งทำเป็นโง่เขลามาหลายปี หรือมีเหตุผลอื่นอีกกันแน่
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม แต่มันไม่ควรถึงขั้นที่ทำให้องค์หญิงใหญ่ต้องถูกจับเข้าคุก
ในยามที่อดีตฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ อีกฝ่ายได้ปรนนิบัติรับใช้พระนางที่เป็นแม่สามีเป็นอย่างดี ดังนั้นพระนางจึงนับว่าองค์หญิงใหญ่คนนี้เป็นหลานรักของพระนาง
เมื่อวานนี้อัครมหาเสนาบดีเจียงถึงขั้นยอมคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักเป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่สามารถร้องขอความเมตตาได้ ดังนั้นเขาจึงหันหน้ามาพึ่งพาไทเฮา โดยหวังว่าจะสามารถเชิญพระนางมากดดันฮ่องเต้ได้
“เพคะ!” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าและมองดูไทเฮาด้วยดวงตากลมโต “พระองค์ทรงงดงามมากกว่าใครที่ไป๋ไป่เคยพบเจอ”
คนตัวเล็กได้ใช้ใบหน้าที่ใสซื่อจริงใจพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง จึงทำให้ไม่มีใครสงสัยเลยว่าเด็กอายุเพียง 4 ขวบครึ่งคนนี้จะแสดงได้สมจริงทั้งท่าทางและน้ำเสียง
ดังนั้นไทเฮาจึงไม่สงสัยในคำพูดของเด็กหญิง และพระนางก็รู้สึกพึงพอใจในตัวของมู่ไป๋ไป่มากขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูก ก่อนที่พระนางจะวางถ้วยชาลงเพื่อมองดูหลานสาวที่ไม่เป็นที่โปรดปรานมาตลอดคนนี้ให้เต็มตาอีกครั้ง
“เช่นนั้นหรือ? องค์หญิงหกพบเจอคนมากี่คนแล้วถึงกล้าบอกได้ว่าเรางดงามเหนือใคร”
ซูหว่านที่ได้ยินคำถามนั้นถึงขั้นตัวแข็งทื่อ เพราะกลัวว่าลูกสาวจะเผลอไปทำให้ไทเฮาโกรธเข้าหากนางตอบคำถามได้ไม่ดีนัก
“อืม…” มู่ไป๋ไป่แสร้งทำเป็นคิดหนัก ก่อนจะเกาหัวแล้วขยับนับนิ้ว
“ไป๋ไป่ก็มิทราบเพคะ แต่ท่านแม่ของไป๋ไป่บอกว่าคนจะงาม งามที่ใจ ใช่ใบหน้า ไป๋ไป่รู้สึกว่าความงดงามของไทเฮาเกิดขึ้นจากภายใน ไม่ว่าในอนาคตไป๋ไป่จะพบเห็นคนงดงามมากมายเพียงใด พระองค์ก็จะเป็นคนที่งดงามที่สุดตลอดไปเพคะ”
สิ่งที่เธอพูดนั้นอาจจะฟังดูสับสนไปบ้าง แต่มันก็น่าประทับใจมาก
ไทเฮาเองก็เป็นผู้หญิงเช่นกัน คงไม่มีผู้หญิงคนใดบนโลกที่ไม่ชอบให้คนมายกย่องสรรเสริญ
“ฮ่าๆๆ ความงดงามไม่ได้มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่มันคือสิ่งที่อยู่ภายในด้วย” ไทเฮากล่าวพลางลูบฝ่ามือตัวเองเบา ๆ “หว่านผิน ดูเหมือนว่าเจ้าจะสั่งสอนองค์หญิงหกได้ดีทีเดียวเชียว”
ซูหว่านรู้สึกดีใจมากจนแทบจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ต่อหน้าพระพักตร์ แต่แล้วจู่ ๆ น้ำเสียงของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไป “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดหว่านผินถึงไม่สั่งสอนองค์หญิงหกเกี่ยวกับมารยาทที่เด็กควรปฏิบัติต่อผู้ใหญ่ให้มากขึ้น”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าองค์หญิงใหญ่ยังคงถูกฮ่องเต้ขังอยู่ในคุกใต้ดินเพราะองค์หญิงหก?”
การสนทนาของไทเฮาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนทำให้ผู้คนตามไม่ทัน
ทางด้านมู่ไป๋ไป่ลอบถอนหายใจเบา ๆ สมแล้วที่ไทเฮาเป็นเชื้อพระวงศ์ พระนางสามารถเปลี่ยนสีหน้าได้เหมือนพลิกฝ่ามือ หากพระนางมีชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบัน พระนางคงจะเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง
“ไทเฮา หม่อมฉันรู้ความผิดของตัวเองแล้วเพคะ” หว่านผินไม่ใช่คนโง่และเข้าใจว่าวันนี้ไทเฮาเรียกพวกนางมาเพราะเรื่องขององค์หญิงใหญ่
ส่วนข้อกล่าวหาที่ไทเฮาพูดนั้นนางเองก็ไม่อาจปฏิเสธ นางจึงทำได้เพียงแค่ยอมรับมันเท่านั้น
นางคิดว่าตัวเองต้องเฝ้ารอมานานหลายปีกว่าจะมีทุกอย่างเหมือนวันนี้ แต่ตอนนี้นางไม่แน่ใจแล้วว่าแท้จริงมันเป็นพรจากสวรรค์หรือคำสาปแช่งกันแน่
“ในเมื่อหว่านผินรู้ความผิดของตัวเองแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็สมควรถูกลงโทษ” หลังจากพูดจบ ไทเฮาก็ยกมือขึ้นเบา ๆ “ใครก็ได้ นำตัวหว่านผินไปโบย 20 ไม้”
มู่ไป๋ไป่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมไทเฮาถึงคิดจะโบยแม่เธออีก
อีกทั้งการถูกโบย 20 ครั้งนั้นมันไม่ต่างจากการหมายจะเอาชีวิตหว่านผินเลยสักนิด!
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ไม่น้าาาา! พ่อไม่อยู่ทีไร สองแม่ลูกโดนจ้องเล่นงานตลอดเลย