บทที่ 23: นอนกับท่านพ่อ
มู่ไป๋ไป่ลืมตาขึ้นมองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ ก่อนจะกะพริบตาปริบ ๆ
จากนั้นเธอก็เบะปากเตรียมจะร้องไห้อีกครั้ง
คนเป็นพ่อที่เห็นท่าทางนั้นก็ตกใจจึงรีบกอดลูกสาวเอาไว้ เขาคอยลูบหลังและกระซิบบอกนางว่า “ไม่ต้องร้อง ไม่ต้องร้องแล้ว พ่ออยู่นี่…”
มู่ไป๋ไป่คว้าแขนเสื้อของคนใกล้ตัว ดวงตาของเธอเปียกชุ่ม แล้วหยดน้ำตาเม็ดโตก็กำลังเอ่อคลอเตรียมจะไหลออกมาในอึดใจถัดไป
แต่คนตัวเล็กก็ยังพยายามกลั้นมันเอาไว้ ปากของเธอเบะคว่ำลงจนแก้มป่อง ดวงตาแดงก่ำ ซึ่งทำให้เธอยิ่งดูน่าสงสารมากขึ้น
“ท่านพ่อโกหก ฮือ ๆๆๆ พอไป๋ไป่หลับ ท่านพ่อก็จะหายไปอีก…”
“พ่อไม่ไปไหน พ่ออยู่นี่”
ฮ่องเต้หนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ทำไมการกล่อมเจ้าตัวเล็กหลับถึงได้เป็นเรื่องยากนัก?
ตามนิสัยในอดีตของเขา เขาคงจะโยนนางลงบนตั่งโดยไม่คิดอะไรให้มากความ
“ท่านพ่อ นอนกับไป๋ไป่นะ…”
มู่ไป๋ไป่เลียปากตัวเองและได้ลิ้มรสน้ำตาเค็ม ๆ ที่เปื้อนบนลิ้น
มู่เทียนฉงที่ได้ยินคำพูดนี้ก็ลังเลครู่หนึ่ง “หืม?”
ท่านพ่อ นอนกับไป๋ไป่อย่างนั้นหรือ?
ผู้เป็นพ่อดูเหมือนจะตกเข้าไปในมนต์เสน่ห์ของอีกฝ่าย และหลงอยู่ในวังวนนั้นจนไม่สามารถหลุดพ้นออกมาได้
เขาบีบจมูกของเจ้าตัวเล็กเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยว เพราะเขาไม่สามารถทำอะไรกับนางไปมากกว่านี้ได้จริง ๆ
ทางด้านอันกงกงรู้สึกตกใจมากจนไม่กล้าหายใจ ตั้งแต่ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองสองพ่อลูกอีกเลย เขาได้แต่คุกเข่าก้มหน้าอยู่บนพื้นนิ่ง
จากนั้นผู้เป็นนายเหนือหัวที่มีสีหน้าเคร่งขรึมก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เก็บฎีกาออกไปซะ เราจะเข้านอนพร้อมกับองค์หญิงหก”
อันกงกงสะดุ้งตกใจอยู่หลายครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่สามารถรักษาอาการของตัวเองได้อีกต่อไปและปล่อยให้ปากอ้าค้างอยู่เช่นนั้น
หลังจากตกตะลึงอยู่สักพักเขาก็รู้สึกตัวและรีบลุกขึ้นยืน เพราะกลัวว่าหากชักช้าไปมากกว่านี้อาจจะต้องเสียใจภายหลัง ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นเดินไปเก็บฎีกาทั้งหมดออกไป
ขณะเดียวกัน มู่เทียนฉงก็อุ้มร่างเล็กเดินไปห้องบรรทมแล้วค่อย ๆ วางนางลงบนเตียง
แล้วมู่ไป๋ไป่ก็ขยับตัวเข้าไปนอนด้านใน โดยเหลือที่ว่างกว้างพอให้อีกฝ่ายนอนลงได้
คนเป็นพ่อมองดูการกระทำของลูกสาวก่อนจะเอนตัวลงนอนข้าง ๆ อย่างเก้ ๆ กัง ๆ
ต่อมามู่ไป๋ไป่ก็กอดแขนเขาพลางสูดกลิ่นหอมเย็น ๆ อันเป็นเอกลักษณ์จากตัวพ่อขี้โมโหเข้าไปเฮือกใหญ่
“คงจะดีไม่น้อยหากไป๋ไป่ได้นอนกับท่านพ่อทุกวัน…”
คำพูดนี้ยิ่งทำให้มู่เทียนฉงนอนตัวแข็งทื่อ และใบหน้าของเขาก็เหมือนถูกแช่แข็ง
ทั้งที่ร่างกายของเขานั้นต่อต้านอย่างเต็มที่ แต่เหตุใดเขาถึงไม่กล้าปฏิเสธนางล่ะ?
ชายหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิด จากนั้นเขาก็พลิกตัวไปกอดลูกสาวเอาไว้
เนื่องจากอุณหภูมิร่างกายที่อยู่ภายใต้ผ้าฝ้ายตัวหนา จึงทำให้ความร้อนแผ่กระจายไปใต้ผ้าห่มอย่างรวดเร็ว และเขาก็พบว่าลูกสาวคนนี้เป็นดั่งดวงอาทิตย์ดวงเล็ก ๆ ที่คอยแผ่ความอบอุ่นแก่ผู้คนรอบข้าง
มันทั้งอบอุ่นและน่าหลงใหล
มู่เทียนฉงปัดผมที่บดบังใบหน้าเล็กไปทัดหลังหูแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มานอนกับพ่อสิ”
ยามนี้ลมหายใจของมู่ไป๋ไป่ที่สม่ำเสมอได้กระทบที่หน้าอกของผู้เป็นพ่อ นั่นทำให้เขาประหลาดใจมากเมื่อรู้ว่านางหลับไปอีกแล้ว
เพียงแค่อึดใจเดียวหลังจากที่นางเอ่ยปากบอกว่าอยากนอนกับเขาทุกวัน หลังจากนั้นนางก็สามารถหลับลึกได้อีกครั้งก่อนที่จะได้ยินคำตอบของเขาอีกอย่างนั้นหรือ?
มู่เทียนฉงรู้สึกว่าตนกำลังถูกดูถูก
นอนกับผีน่ะสิ พรุ่งนี้ข้าไม่ให้เจ้านอนด้วยแล้ว!
แล้วชายหนุ่มก็ทำหน้าบึ้งตึงมองคนที่นอนหลับไปอย่างเกลียดชัง
แต่เมื่อมองท่าทีหลับสบายของเจ้าตัวเล็กแล้ว เขาก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ นางมีใบหน้าที่คล้ายกับเขามากเหมือนถูกหล่อหลอมออกมาจากในพิมพ์เดียวกัน ทันใดนั้นความรู้สึกทั้งหมดก็จางหายไป
หลังจากมองหน้าลูกสาวจนพอใจแล้ว เขาก็หลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า
…
วันต่อมา
มู่เทียนฉงนั่งอยู่ข้างเตียงมองดูมู่ไป๋ไป่ที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง แล้วจู่ ๆ ความรู้สึกหมั่นไส้ก็บังเกิดขึ้นในใจของเขา
เสียงกรนของนางทำให้เขาต้องทรมานทั้งคืน แต่ทำไมนางถึงยังคงนอนหลับได้อย่างสงบสุขอยู่แบบนี้?
นางไม่กลัวถูกสวรรค์ลงโทษเลยหรืออย่างไร ถึงได้กล้าทรมานบิดาผู้ให้กำเนิดเช่นนี้
ขณะเดียวกัน อันกงกงได้ผลักเปิดประตูออกและเห็นฝ่าบาททรงแต่งพระองค์เสร็จแล้วและกำลังนั่งอยู่ที่ขอบพระแท่นบรรทม มันทำให้กะละมังน้ำที่เขาถืออยู่แทบจะหก
ตอนนี้เป็นเวลาต้นยามเหม่า*เท่านั้น เหตุใดฝ่าบาทถึงได้ตื่นบรรทมเช้านัก?
*ยามเหม่า คือช่วงเวลา 05.00-06.59 น.
แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นถุงใต้ตาสีคล้ำของฝ่าบาท เขาก็เข้าใจได้ทันที
ทันใดนั้นเสียงกรนก็ดังเข้ามาในหูของเขา ซึ่งมันก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
ข้าเกรงว่าฝ่าบาทคงจะถูกองค์หญิงหกทรมานมาทั้งคืน…
บัดนี้ดวงตาคมกริบของมู่เทียนฉงนั้นก็บ่งบอกว่าเขาแทบอยากจะบีบคอนางให้ตาย
“ปลุกนางขึ้นมา!”
ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยปากสั่งอันกงกงเสียงเย็น
เพียงแค่ได้ยินน้ำเสียงของอีกฝ่าย หัวใจของคนรับใช้ก็สั่นไหว
นี่ข้ามาผิดเวลาหรือนี่?
นางไม่ได้ทำอะไรรบกวนข้าเลย แต่ทำไมข้าต้องเป็นคนปลุกนางด้วยล่ะ?
เมื่อชายสูงวัยเดินไปที่ข้างพระแท่นบรรทม เขาก็เห็นภาพมู่ไป๋ไป่กำลังนอนหลับสนิท และนั่นทำให้เขาไม่กล้าปลุกนางเลย
แต่สายตาดุดันที่กำลังกดดันเขาอยู่นั้น เขาก็กลัวว่าหากตนยังลังเลอีก ฝ่าบาทคงจะบีบคอเขาตายแทน
ดังนั้นอันกงกงจึงกัดฟันก้าวเข้าไปภายใต้สายตาที่จ้องมองมาของนายเหนือหัว เขาค่อย ๆ ยื่นมือออกไปและเขย่าเด็กหญิง 2-3 ครั้ง
มู่ไป๋ไป่เคี้ยวปากตัวเองจ๊อบแจ๊บ แต่ก็ยังคงนอนนิ่งเหมือนเดิม
มู่เทียนฉงที่เห็นเช่นนั้นก็แอบสบถ “เจ้าออกแรงมากขึ้นหน่อยสิ วันนี้ยังไม่ได้กินข้าวหรืออย่างไร?”
ฮ่องเต้หนุ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาจึงเขย่าปลุกคนที่นอนหลับสบายเอง
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะออกแรงเยอะเกินไปจนทำให้หน้าผากของมู่ไป๋ไป่เกือบจะกระแทกกับขอบเตียง ผู้เป็นพ่อที่เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
โชคดีที่ไม่โดน…
จากนั้นชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วพลางยื่นมือไปบีบจมูกนางเบา ๆ
ดูซิว่าทำแบบนี้แล้วนางจะตื่นหรือไม่?
เขาไม่รู้เลยว่ามู่ไป๋ไป่จะสามารถกลั้นหายใจได้เก่งกาจจนเขาต้องบีบจมูกจนมือชา แต่นางก็ยังคงนอนนิ่งเหมือนเคย
พอเขาปล่อยมือ เด็กหญิงก็ลืมตาขึ้น
ในที่สุดก็ตื่นสักที
มู่เทียนฉงรีบผุดลุกขึ้นยืน พลางแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำ
อึดใจต่อมา ขาป้อมสั้นของมู่ไป๋ไป่ก็ถีบผ้าห่มออกเผยให้เห็นร่างที่เล็กกะทัดรัดของเจ้าตัวทั้งหมด
จากนั้นเธอก็ยกมือส่งนิ้วโป้งเข้าปากอย่างแม่นยำ
พอเธอดูดนิ้วตัวเองอยู่สักพักด้วยท่าทางที่คล้ายกับกำลังดูดนมแม่ เธอก็ยกยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจแล้วหลับต่ออย่างมีความสุข
“...” ภาพที่ปรากฏหน้าทำให้มู่เทียนฉงพูดไม่ออก
ช่างเถอะ นี่ข้าป่วยไปแล้วหรืออย่างไร ถึงมามัวแต่ทะเลาะกับเด็กอยู่ได้
“ไปท้องพระโรง”
ต่อมา ฮ่องเต้หนุ่มก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินไปยังกะละมังน้ำที่อันกงกงเตรียมไว้ให้เขาล้างหน้า
นิ้วเรียวจุ่มลงไปในน้ำ แล้วเขาก็หยิบผ้าขึ้นมาบิดน้ำออกจนหมาดแล้วเช็ดลงบนใบหน้าแบบลวก ๆ
ในเวลาเดียวกัน นางกำนัลหลายคนก็เดินเรียงแถวเข้ามาช่วยฮ่องเต้สวมชุดคลุมมังกร
เมื่อคาดเข็มขัดและสวมหมวกไว้บนศีรษะ บุรุษที่สง่างามผู้นี้ก็ดูเหมือนเฟิ่งหวงที่ฟื้นคืนชีพจากเถ้าถ่าน เขาเปลี่ยนกลายเป็นคนที่เย็นชาจนไม่มีใครอาจเข้าถึงได้ และบรรยากาศรอบตัวก็สามารถข่มผู้คนที่อยู่รอบกายได้จนสิ้น
“หลังจากที่องค์หญิงหกตื่นขึ้นมา ให้บอกนางว่าเราจะกลับมากินข้าวกับนางทีหลัง”
จากนั้นฮ่องเต้ก็ก้าวออกจากตำหนักเย่าเจิ้งอย่างสง่างามโดยไม่ลืมที่จะเอ่ยปากสั่งนางกำนัลที่อยู่ด้านข้าง
“เพคะฝ่าบาท” นางกำนัลทั้ง 2 คนตอบด้วยน้ำเสียงเคารพ
ส่วนอันกงกงรีบเดินตามไปด้านหลังฝ่าบาทติด ๆ ในขณะที่ปากของเขากระตุกเล็กน้อย
เมื่อครู่นี้เขาเห็นใครแทบจะบีบคอองค์หญิงหกกัน…
ด้านนอกประตูตำหนักไท่เหอ
ไม่กี่อึดใจต่อมาก็มีเสียงประกาศแหลมสูงที่ดังก้องไปทั่วว่า “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ขุนนางทุกคนมาเข้าเฝ้าในท้องพระโรง”
ในไม่ช้าเหล่าขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นต่างก็พากันเดินเรียงแถวเข้าไปในท้องพระโรงอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อมู่เทียนฉงเดินไปถึงบัลลังก์สูงที่มองเห็นทุกคนที่อยู่เบื้องล่าง ขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นในท้องพระโรงก็พากันคุกเข่าทำความเคารพ
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี”
“ลุกขึ้นเถิด”
และก่อนที่อัครมหาเสนาบดีจะทันได้พูดอะไร คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงก็เป็นคนเอ่ยปากพูดก่อน
“เมื่อวานท่านอัครมหาเสนาบดีอยากจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องขององค์หญิงใหญ่?”
เจียงเช่อเป็นคนแรกที่ก้าวออกมา “ฝ่าบาท องค์หญิงใหญ่เป็นองค์หญิงผู้เที่ยงธรรมแห่งแคว้นเป่ยหลง พระนางเป็นผู้ที่มีสถานะสูงส่ง ได้โปรดนำตัวองค์หญิงใหญ่กลับเข้าวังทันทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ยามนี้ใบหน้าของมู่เทียนฉงยังคงเรียบนิ่งเช่นเคย
เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ ขุนนางระดับสูงหลายคนซึ่งเป็นคนสนิทของอัครมหาเสนาบดีก็ก้าวออกมาสนับสนุนเขาเช่นกัน
เจ้ากรมอาญากล่าวว่า “ฝ่าบาท คุกใต้ดินเป็นสถานที่เอาไว้กักขังนักโทษประหารชีวิต และนักโทษทุกคนที่อยู่ในคุกใต้ดินจะถูกตรวจสอบโดยศาลต้าหลี่อย่างละเอียด หากพบว่าคนผู้นั้นมีความผิดก็จะถูกตัดสินจำคุก แต่กระหม่อมไม่เข้าใจว่าองค์หญิงใหญ่ทำผิดอันใดถึงถูกจำคุกอยู่ในนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดดังกล่าวทำให้มุมปากของฮ่องเต้หนุ่มกดลงด้วยท่าทางประชดประชัน พร้อมกับที่ดวงตาสีเข้มเย็นชามากยิ่งขึ้น