บทที่ 20 ข้าเคยพูดคุยกับเถ้าแก่
บทที่ 20 ข้าเคยพูดคุยกับเถ้าแก่
เช้าวันนั้น หลังจากที่กัวอี้ถังทานหม้อไฟสำเร็จรูปแล้ว เขาพาบริวารสองคนไปยังโรงแรมเซียนหยวนโดยตรง
หลังจากซื้อสินค้าสำหรับวันนี้เสร็จสิ้น เขากับบริวารทั้งสองก็ไปนั่งอย่างสบายใจที่หน้าประตูโรงแรม ขณะเพลิดเพลินกับโยเกิร์ตลูกพีชที่เพิ่งซื้อมา
โยเกิร์ตลูกพีชที่ขายในร้านนั้นถูกแช่เย็นมา จึงควรทานทันทีหลังจากซื้อ
ระหว่างนั้น
อาจเป็นเพราะมีคนรู้จักโรงแรมแห่งนี้มากขึ้น หรืออาจเป็นเพราะเห็นกัวอี้ถังนั่งอยู่ที่หน้าประตูโรงแรมอย่างปลอดภัย ก็ไม่อาจทราบได้เช่นกัน แต่สรุปแล้ว มีคนมาใช้เครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติกันมากขึ้นเรื่อย ๆ
ตอนนั้นเอง บริวารร่างสูงผอมพลันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แล้วยกนิ้วชี้ไปทางโรงแรม อ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
กัวอี้ถังหันมองตามด้วยความสงสัย ก่อนจะต้องประหลาดใจที่เห็นว่าโรงแรมสูงขึ้นและขยายใหญ่ขึ้น
กัวอี้ถัง “!!!”
เขารีบวิ่งออกจากประตูโรงแรม หลังจากวิ่งไปสักพักก็หันกลับมามอง พบว่าอาคารหลังนั้นเปลี่ยนแปลงไปจริง ๆ เดิมทีมีเพียงสองชั้น แต่ตอนนี้กลายเป็นสามชั้นแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น ข้างนอกโรงแรมยังมีทางลาดลงไปอีกทางหนึ่ง แต่เนื่องจากขอบเขตการมองเห็นที่จำกัด ทำให้มองไม่เห็นว่าปลายทางนั้นเป็นอย่างไร และไม่รู้ว่าเส้นทางนั้นนำไปสู่สถานที่แบบไหน
กัวอี้ถังเดินกลับมาถึงทางเข้าของทางเดินดังกล่าว แล้วก็ต้องตะลึงงัน
บริเวณทางเข้าของทางเดิน มีรั้วกั้นสูงประมาณครึ่งตัวคนกีดขวางอยู่ เมื่อเดินมาถึงรั้ว กัวอี้ถังก็ได้รับข้อมูลบางอย่างเข้ามาในสมองโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
เขาได้รู้ว่า ทางเดินนี้เชื่อมต่อไปยังที่จอดรถใต้ดิน ซึ่งใช้สำหรับจอดรถม้าหรือผูกม้า ค่าจอดหนึ่งชั่วโมงคือสิบเหวิน
กัวอี้ถังรีบหยิบเศษเงินออกมาใส่ในเครื่องที่อยู่ข้าง ๆ ทางเดิน ทันใดนั้น เครื่องก็คายการ์ดออกมาหนึ่งใบ
บริวารทั้งสองรีบเข้ามาห้ามว่า
“คุณชาย อย่านะขอรับ!”
“มันอันตรายเกินไป ได้โปรดอนุญาตให้ข้าลองไปสำรวจดูก่อนเถิด?”
กัวอี้ถังนำม้าที่ผูกติดกับต้นไม้เดินตรงมา แล้วโบกมือปฏิเสธ “ไม่เป็นไร คงไม่มีอันตรายอะไรหรอก ข้าจะลองไปดูเอง”
เขาได้รับบทเรียนมาแล้ว ครั้งนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องคว้าโอกาสไว้ มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะถอยกลับ
เขาใช้การ์ดแตะที่เครื่อง ทันใดนั้น รั้วก็เลื่อนไปด้านข้างเพื่อเปิดทาง
ขณะที่กำลังจะเดินไปข้างหน้า ก็ได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลังว่า “คุณชายกัว ช้าก่อนขอรับ”
คนที่เรียกเขาครั้งนี้ไม่ใช่บริวาร กัวอี้ถังจึงหันกลับไปมองด้วยความแปลกใจ
ปรากฏว่ามีคนเดินเข้ามาหาเขา 6 คน คนเหล่านั้นสวมเครื่องแบบข้าราชการ มีดาบสั้นติดตัว แสดงให้เห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของทางการ
ความจริงกัวอี้ถังสังเกตเห็นพวกเขาตั้งแต่แรก ตอนที่มาถึงโรงแรม เขาเห็นคนทั้งหกนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ ๆ กับโรงแรม
เขาจำได้ว่า หนึ่งในนั้นคือหัวหน้าหน่วยสืบสวนของอำเภอชื่อชีปั๋วหรง เพียงแต่ว่าเขากับหัวหน้าหน่วยสืบสวนคนนี้ไม่มีความสนิทสนมกัน หากไม่มีเรื่องสำคัญ พวกเขาก็จะไม่ทักทายกัน
คิดดูแล้ว พวกเขาน่าจะมาตรวจสอบโรงแรมแห่งนี้อย่างแน่นอน
กัวอี้ถังรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาไม่ได้มีโอกาสได้สัมผัสประสบการณ์ในโรงแรมนี้โดยตรง แต่เพราะเหตุใดกันนะถึงอยากบอกเล่าให้คนอื่นฟัง?
“หัวหน้าชี พวกท่านมาที่นี่เพื่อตรวจสอบโรงแรมแห่งนี้ใช่หรือไม่? ขอเพียงถามข้ามา หากพูดถึงโรงแรมแห่งนี้ ข้าย่อมรู้จักมันดีกว่าใคร ๆ”
พูดถึงตรงนี้ เขาตบหน้าอกด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าเคยพูดคุยกับเถ้าแก่ และเคยเข้าไปในโรงแรมแห่งนี้ ต้องบอกเลยว่า โรงแรมนี้เปรียบเสมือนตำหนักทองคำของเทพเซียน หากมองจากภายนอก จะไม่ทราบได้เลยว่าด้านในสวยงามเพียงใด ต้องเข้าไปเห็นด้วยตาตัวเอง”
ชีปั๋วหรงเป็นคนผิวคล้ำ หน้าตาดุร้าย ดูเหมือนจะเขียนคำว่า “ข้าไม่ใช่คนดี” แปะไว้บนใบหน้า ซึ่งเขาเคยทำให้เด็ก ๆ ร้องไห้มาหลายครั้งแล้ว
ทว่าชื่อเสียงของเขาในอำเภอถือว่าค่อนข้างดี ดังนั้น ถึงแม้จะหน้าตาดุ แต่ชาวบ้านทั่วไปก็ไม่ค่อยกลัวเขาเท่าไหร่
กัวอี้ถังไม่กลัวเขาเช่นกัน
หลังจากรับฟังสิ่งที่กัวอี้ถังพูด ชีปั๋วหรงเกิดความสนใจขึ้นมาทันที “ช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยได้ไหมขอรับ?”
กัวอี้ถังเริ่มบรรยายอย่างกระตือรือร้น เขาบรรยายรายละเอียดของล็อบบี้ของโรงแรมเซียนหยวนให้ฟังอย่างละเอียด และยังบรรยายถึงลานบ้านตามที่เขาจินตนาการขึ้นมาอีกด้วย
พวกเขาทั้งหมดเดินคุยกันไปเรื่อย ๆ จนถึงสุดทางเดิน และมาถึงที่จอดรถใต้ดินในไม่ช้า
ที่นี่เป็นพื้นที่โล่งกว้างขนาดใหญ่ มีเสาหินสี่เหลี่ยมสีขาวตั้งอยู่เป็นระยะ
บนพื้นมีเส้นสีขาวลากเป็นระยะ และมีรางอาหารม้าทำจากไม้ตั้งอยู่ภายในเส้นสีขาว ในรางอาหารม้ามีหญ้าสดและน้ำอยู่ ดูเหมือนจะเป็นที่สำหรับให้อาหารม้า
กัวอี้ถังเดินจูงม้าไปข้างหน้าพลางมองไปรอบ ๆ
ม้าตัวนั้นสูดกลิ่นไปมา แล้วส่งเสียงร้องด้วยความดีใจ รีบวิ่งไปที่รางอาหารม้าที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนก้มหน้าลงไปในรางอาหารและกินหญ้าอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ยอมขยับไปไหนอีกเลย
กัวอี้ถังถูกม้าลากเข้ามาในบริเวณเส้นสีขาว เขาจึงหันไปผูกเชือกม้าไว้กับเสาด้านข้างพร้อมกับบ่นพึมพำว่า “หญ้าในรางอร่อยขนาดนั้นเลยหรือ? อย่างไรเสีย จ่ายตั้งสิบเหวินต่อชั่วโมง ก็สมควรมีหญ้าดี ๆ ให้ม้ากิน”
ชีปั๋วหรงทำท่าครุ่นคิด เขาเดินไปหยิบหญ้ามาหนึ่งต้น แล้วนำมาใส่ปากเคี้ยว
กัวอี้ถัง “…”
หลังจากลองชิม ชีปั๋วหรงก็ถุยหญ้าออกมา “ไม่ธรรมดาจริง ๆ หญ้าชนิดนี้มีรสชาติหวาน ใบอ่อนนุ่ม ฉ่ำน้ำ แม้แต่ข้าเองก็ยังรู้สึกว่าอร่อย”
กัวอี้ถัง “…”
ชีปั๋วหรงใช้ปลายนิ้วจุ่มน้ำในราง แล้วนำมาใส่ปากเพื่อชิม “น้ำรสชาติดี! หวานชื่น กลมกล่อม เหมือนน้ำพุที่ไหลมาจากภูเขาก็ไม่ปาน! จัดหาน้ำดีขนาดนี้มาให้ม้ากิน มันไม่เกินไปหน่อยหรือ?”
กัวอี้ถัง “…”
เดี๋ยวสิ ถึงหญ้าและน้ำจะอร่อยแค่ไหน แต่ไม่เห็นต้องลองชิมด้วยตัวเองเลยนี่
คิดถึงความรู้สึกของม้าบ้างไหม?
หลังจากนั้นไม่นาน
ใต้ร่มไม้ใกล้โรงแรม
กัวอี้ถัง ชีปั๋วหรง และคนอื่น ๆ นั่งพักกันอยู่ใต้ร่มไม้
เดิมทีกัวอี้ถังไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่นี่นาน แต่เมื่อพบว่าโรงแรมขยายตัวอย่างกะทันหัน เขาจึงล้มเลิกแผนการที่จะกลับบ้านทันที
เขาตัดสินใจที่จะเป็นลูกค้ารายแรกของวันนี้ และเขาจะต้องคว้าห้องพักจากโรงแรมนี้มาให้ได้!
…
ทุกคนรอคอยมานานแล้ว
ทว่าโรงแรมเซียนหยวนยังคงปิดอยู่
“หัวหน้า โรงแรมปิดอยู่อย่างนี้ เป็นไปได้ไหมว่าคนที่เข้าพักจะ…” ชายคนหนึ่งทำท่าทางเหมือนเชือดคอ
“หยุดคิดเรื่องบ้า ๆ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับคนที่เข้าพัก เช่นนั้นคนที่เคยซื้อของจะยังอยู่ดีกันหรือ?” หัวหน้าหน่วยสืบสวนชีปั๋วหรงกลอกตาใส่ลูกน้องที่พูดจาไร้สาระ “สาเหตุที่โรงแรมแห่งนี้ยังไม่เปิด อาจเกี่ยวเนื่องกับการขยายโรงแรมก็เป็นได้? เถ้าแก่อาจจะกำลังจัดการโรงแรมอยู่ แต่น่าเสียดายที่พอโรงแรมขยายตัว เรากลับได้เพียงมองจากข้างนอก ไม่ได้เห็นว่าภายในเป็นอย่างไร”
ชายคนที่พูดเมื่อครู่เบิกตากว้าง “หัวหน้า จะเข้าไปดูด้วยตัวเองหรือขอรับ?! ท่านไม่กลัวตายหรือ? ก่อนหน้านี้ที่ชิมน้ำกับหญ้าก็ยังพอว่า เพราะมีม้าลองไปก่อนแล้ว แต่นี่…” เขาหยุดพูดเพียงเท่านี้
ชีปั๋วหรงเบือนสายตาไปมองโรงแรมเซียนหยวน แล้วนิ่งเงียบไม่ได้ตอบอะไร
ความจริงแล้ว ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยสืบสวนนั้นเป็นเพียงหน้ากากที่ชีปั๋วหรงสวมใส่เท่านั้น
ตัวตนที่แท้จริงของเขาคือสายลับของหน่วยสืบสวนลับ เนื่องจากหน้าตาที่ดุร้ายเกินไป ทำให้เขาไม่สามารถเข้าไปปะปนกับฝูงชนได้ จึงต้องมาเป็นหัวหน้าหน่วยสืบสวนที่อำเภอเมืองฉ่างหลิง โดยใช้ตำแหน่งนี้ในการสอดส่องดูแลทั่วทั้งอำเภอ
ดังนั้น เมื่อโรงแรมเซียนหยวนปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับ เขาจึงรีบดำเนินการสืบสวนทันที
เมื่อคืนที่ผ่านมา หลังผู้บังคับบัญชาได้รับผลการสืบสวนของเขา ท่านได้บอกกล่าวเรื่องบางอย่างให้เขาฟัง พร้อมทั้งสั่งให้เขานำเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชามาทั้งหมด เพื่อมาสืบสวนและสัมผัสประสบการณ์ที่โรงแรมแห่งนี้ด้วยตัวเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ด้วยหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เขาจึงจำเป็นต้องมาที่นี่ด้วยตัวเอง
โชคดีที่จากผลการสืบสวนเมื่อวานนี้ ทำให้เขาสามารถประเมินได้คร่าว ๆ ว่าโรงแรมแห่งนี้ยังไม่มีอันตรายใด
เช้าวันนี้ เขาจึงพาเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชามาเฝ้าอยู่หน้าโรงแรม
กัวอี้ถังกลอกตา “คิดเล็กคิดน้อยเกินไปแล้ว แค่เข้าไปดูหน่อยเดียวจะเอาชีวิตไม่รอดเลยเหรอ? ตัวข้าเองก็เข้าไปในโรงแรมมาแล้ว ตอนนี้ข้าก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่?”
เขาลืมไปเสียสนิทว่า ก่อนหน้านี้ตัวเองเคยตั้งข้อสงสัยกับโรงแรมนี้อย่างไร
ตำรวจหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งกล่าวว่า “ความจริงแล้ว เมื่อวานภรรยาของข้าแอบมาที่โรงแรมแห่งนี้โดยที่ข้าไม่รู้ พอข้ากลับไปบ้าน ก็ยังเห็นนางสบายดีอยู่ แสดงว่าโรงแรมแห่งนี้น่าจะไม่มีอะไรผิดปกติ”
“ว่าไงนะ? ภรรยาของเจ้ามาที่โรงแรมเมื่อวานนี้แล้วหรือ? แล้วเหตุใดจึงอมพะนําอยู่ได้?”
ตำรวจหนุ่มร่างสูงเกาศีรษะด้วยความเขินอาย “ก็ภรรยาข้าไม่ให้บอกนี่นา เมื่อวานนางบอกข้าว่าโรงแรมเริ่มจำกัดการขายแล้ว นางยังเป็นห่วงว่าหากข้าบอกเรื่องนี้ออกไป คนอื่น ๆ อาจมาขอซื้อกันมากมาย นางอยากเก็บของไว้กินกันเองในครอบครัว”
ดังนั้น ถึงแม้จะรู้ว่าธุรกิจของเพื่อนบ้านเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก แต่ภรรยาของเขาก็ยังปฏิเสธที่จะเอาของออกมา และปฏิเสธที่จะแจกหรือแลกเปลี่ยนเป็นเงิน
“แล้วเหตุใดเล่าเจ้าถึงมาบอกเอาตอนนี้?”
ตำรวจหนุ่มร่างสูงตอบว่า “ข้าน้อยลังเลอยู่นาน แต่คิดว่าบอกไปอาจจะดีกว่า”
หัวหน้าหน่วยสืบสวนชีปั๋วหรงพลันลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ หน้าต่างของโรงแรมเปิดอยู่ เราไปดูกันเถิด”
กัวอี้ถังรีบลุกขึ้นยืน และเดินตรงไปทางประตูโรงแรม
ขณะที่ชีปั๋วหรงเดินไปอีกทางหนึ่ง เขาเดินนำไปอย่างรวดเร็ว และไม่นานก็มาถึงหน้าต่างบานหนึ่ง เมื่อมองเข้าไปในหน้าต่างที่เปิดอยู่
เขาก็ต้องตัวแข็งค้างด้วยความตกใจ
ที่นี่คือโลกมนุษย์จริง ๆ หรือ? เกรงว่าแม้แต่สรวงสวรรค์ก็อาจไม่ได้สวยงามขนาดนี้
เมื่อเหล่าตำรวจที่ตามมาติด ๆ เห็นหัวหน้าหน่วยสืบสวนยืนนิ่ง ก็รีบเดินตามไปและมองเข้าไปในหน้าต่าง
ทันใดนั้น ทุกคนพลันหยุดนิ่งไม่ไหวติงประหนึ่งรูปปั้นหิน ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างขณะจ้องมองภาพฉากเบื้องหน้า
บังเอิญว่าไป๋ฮ่าวเกอนั่งอยู่ใกล้หน้าต่างบานนี้พอดี เมื่อเห็นชีปั๋วหรงและพรรคพวกอีกห้าคนยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน และความกังวลในใจลดลงกึ่งหนึ่ง “จะไม่เข้ามาหรือ?”
บางทีการเอนเอียงเลือกนั่งกับผู้หญิงของเถ้าแก่อาจเป็นเรื่องบังเอิญ เขาคงคิดมากไปเอง
ความจริงแล้วเขาเองก็มีจุดแข็งเหมือนกัน ด้วยสถานะของเขา ไม่ว่าเถ้าแก่จะต้องการวิชาฝึกยุทธ์มากแค่ไหน หรืออยากจะดึงดูดลูกค้าเพิ่มขึ้นเพียงใด เขาก็สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ง่ายดาย
ยกตัวอย่างเช่น เหตุผลที่ชีปั๋วหรงมาปรากฏที่นี่นั้นเกี่ยวข้องกับไป๋ฮ่าวเกอ เนื่องจากเมื่อวานนี้ไป๋ฮ่าวเกอส่งเหมายี่ไปบอกให้หน่วยสืบสวนลับทราบ และแน่นอนว่าหน่วยสืบสวนลับย่อมต้องดำเนินการทันที
ความจริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย ไม่ได้ต้องการวิชายุทธ์หรือยาอายุวัฒนะ เขาเพียงต้องการหายจากโรคภัยไข้เจ็บและมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายเท่านั้น
ไป๋ฮ่าวเกอพลันกลับมาได้สติอีกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดของไป๋ฮ่าวเกอ
เขาเหลือบมองอาหารอันโอชะมากมายบนโต๊ะ ได้กลิ่นหอมเย้ายวนจนต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “เข้า เข้าขอรับ”
เขาไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของไป๋ฮ่าวเกอใคร
ความจริงแล้ว นามไป๋ฮ่าวเกอไม่ใช่นามที่แท้จริง มันเป็นนามแฝงที่ใช้เพื่อปกปิดตัวตน
ราชสำนักประกาศให้สาธารณชนรับรู้ว่า ไป๋ฮ่าวเกอกำลังพักฟื้นร่างกายอยู่ที่ภูเขาจางไถ ทว่าเขาไม่ชอบชีวิตบนภูเขาจางไถเท่าไหร่นัก และรู้สึกชื่นชอบหุบเขาการแพทย์มากกว่า
“ไป เราไปกินข้าวกันสักหน่อยเถิด” ชีปั๋วหรงหันไปตบไหล่ลูกน้องตำรวจที่ยังคงตกตะลึงอยู่
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนอย่างร้อนรนมาจากทางหน้าต่าง “เถ้าแก่ขอรับ ตอนนี้มีห้องพักว่างหรือไม่? เร็วเถิด ข้าอยากเข้าพักที่นี่! นอกจากนี้ โปรดขอโต๊ะอาหารที่นี่ให้ข้าหนึ่งโต๊ะ ส่วนเรื่องอาหาร แล้วแต่เถ้าแก่จะชี้แนะเลยขอรับ”
ชีปั๋วหรงหันกลับไปมองด้วยความรู้สึกหมดคำพูด
เห็นกัวอี้ถังถือเงินอยู่เต็มกำมือพร้อมตะโกนใส่หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหาร หน้าตาของเขาแสดงออกถึงความกระวนกระวาย ราวกับว่าหากช้าไปวินาทีเดียวเขาอาจตกตายได้