ตอนที่แล้วบทที่ 13 ระดับสูงสุด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 15 คดีประหลาดในยุคจิ่งซิน และคนเถื่อนจากสำนักเซวียนเทียน

บทที่ 14 ก้อนเมฆในฝ่ามือ สายฟ้าสามศอก


บทที่ 14 ก้อนเมฆในฝ่ามือ สายฟ้าสามศอก

จ้าวซิงนั้นดีใจ แต่ไช่ฟูเหรินกลับไม่ชอบใจเลย

นางอยากเก็บเนื้อไว้กินคราวหน้า แต่เมื่อมันลงหม้อไปแล้ว จะให้ตักขึ้นมาก็คงไม่เหมาะ สุดท้ายนางจึงตัดสินใจเพิ่มเนื้อเข้าไปอีก ไม่อย่างนั้นเจิ้งเอ๋อร์ก็คงจะกินไม่อิ่ม ลูกชายเริ่มฝึกวิทยายุทธ์แล้ว อาหารการกินก็ต้องดูแลให้ดี

“กิน ๆ ๆ เจ้าชาวไร่ กินจนพุงแตกไปเลย” ไช่ฟูเหรินมองเนื้อในหม้ออย่างไม่สบอารมณ์ พลางเคาะเขียงไม้ดังรัวราวกับว่าเนื้อชิ้นนั้นคือจ้าวซิง

แม้เสียงจากในครัวจะดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่มีใครสนใจ เพราะจ้าวรุ่ยเต๋อกำลังสอนจ้าวเจิ้งฝึกฝนอยู่ในลานบ้าน

เขากำลังยืนฝึกท่าอย่างมั่นคง ไม่รู้ว่าเขายืนท่านี้มานานแค่ไหนแล้ว แต่ก็ยังคงนิ่งไม่ไหวติง ราวกับเป็นต้นสนที่แข็งแกร่ง

แม้อายุจะใกล้หกสิบปีแล้ว แต่ลมหายใจของเขายังยาวนาน เลือดลมยังคงพลุ่งพล่าน พลังปราณภายในก็หนาแน่นกว่าจ้าวซิงมาก

“ท่ายืนดั่งภูผา การยืนนี้ถือว่าเป็นกระบวนท่าฝึกปราณของนักยุทธระดับกลางชั้นสาม ทว่าถูกฝึกจนดูราวกับเป็นระดับสูง นี่ช่างพิสูจน์ให้เห็นว่า หากฝึกฝนมากพอ แม้จะเป็นวิชาธรรมดาก็มีอานุภาพมหาศาลได้” จ้าวซิงคิดในใจ

ทักษะวิทยายุทธหรือคาถามนต์ ล้วนสามารถพัฒนาและเกิดการหยั่งรู้ใหม่ได้ทั้งสิ้น ไม่มีขีดจำกัด

แน่นอนว่าในยุคปัจจุบันนี้ เหตุการณ์เช่นนี้พบเห็นไม่บ่อยนัก เนื่องจากหนทางในการได้วิชาคาถามนต์หรือวิทยายุทธนั้นมีมากมาย เมื่อใดที่ถึง ‘การเปลี่ยนแปลงครั้งที่เก้า’ (ค่าความชำนาญเต็ม) ก็จะเปลี่ยนไปเลือกฝึกวิชาขั้นสูงกว่า อีกทั้งกฎเกณฑ์ของโลกยังจำกัด หากเป็นยุคแห่งการฟื้นฟู สิ่งนี้จะกลายเป็นเรื่องธรรมดา

จ้าวรุ่ยเต๋อยืนท่าฝึกอย่างตั้งใจ กระบวนท่าตรงเป๊ะ ลมหายใจที่ผสานกับพลังปราณภายในดูดซับได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนจ้าวเจิ้งที่อยู่ข้าง ๆ กลับยืนแบบขอไปที

บ้างขยับเท้า บ้างโยกเอว บ้างเกาหู ลักษณะของเขาบอกชัดเจนว่าจิตใจไม่อยู่ที่การฝึกนี้เลย

เมื่อเห็นจ้าวซิงกลับมา เขาดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที ราวกับหาเหตุผลที่จะไม่ต้องฝึกได้แล้ว “พี่กลับมาแล้ว! ท่านพ่อ พวกท่านคุยกันเถอะ! ข้าจะไปเอาผ้าขนหนูมาให้!”

ไอ้เด็กหัวไว เจ้าไม่ได้รักข้าจริง ๆ หรอก แต่แค่อยากหาทางหลบหนีการฝึกเท่านั้น! แม้แต่หมาเจ้าคงจะเรียกเป็นพี่แน่ ๆ เจ้าหนูนี่มันร้ายจริง ๆ!

พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นเตรียมจะหนีไปทันที

“กลับมา! ใครให้เจ้าไป!” จ้าวรุ่ยเต๋อตวาด

จ้าวเจิ้งหัวเราะคิกคัก วิ่งหนีไปอย่างไม่เกรงกลัวคำพูดของจ้าวรุ่ยเต๋อแม้แต่น้อย

จ้าวซิงเห็นดังนั้นก็หัวเราะ น้อยคนนักที่จะให้บิดาสอนฝึกวิทยายุทธ เพราะพ่อแม่มักจะใจอ่อนและไม่กล้าลงโทษลูก โดยเฉพาะจ้าวรุ่ยเต๋อที่มีบุตรชายคนเล็กยามแก่ จึงตามใจจ้าวเจิ้งมากที่สุด ไม่เคยทำร้ายเขาเลย จะด่าก็แค่บ่นคำสองคำ แล้วอย่างนี้จะฝึกกันได้อย่างไร?

“จ้าวเจิ้ง มานี่”

“อ๊ะ? พี่...” จ้าวเจิ้งยืนลังเลอยู่ที่เดิม

“หนึ่ง สอง~~”

“มาแล้ว! มาแล้ว!” จ้าวเจิ้งสะดุ้ง รีบวิ่งเข้ามาทันที

“ท่านพ่อยังไม่ได้บอกให้เลิกฝึก เจ้ารีบหนีไปไหน? กลับไปยืนต่อ!”

ใบหน้าของจ้าวเจิ้งห่อเหี่ยวทันที คิ้วตกยืนข้างจ้าวรุ่ยเต๋ออย่างไม่เต็มใจ

“งอเข่า แอ่นอก แขนวางให้ตรง!” จ้าวซิงไม่ลังเลที่จะเตะเข้าที่ขาอ่อนของจ้าวเจิ้ง

“ยืนแล้วพี่ ยืนแล้ว!” จ้าวเจิ้งไม่กล้าโกรธ แต่กลับยิ้มออกมาอย่างประจบประแจง

จ้าวรุ่ยเต๋อทำเป็นไม่เห็นลูกชายคนเล็กทำตัวไม่เอาไหน

แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของจ้าวเจิ้ง

เขามีแม่ที่ตามใจและพ่อเลี้ยงดู ถึงจะดื้อไปบ้างก็ไม่เคยถูกตีจริงจัง

มีเพียงพี่ชายคนนี้ที่แตกต่างออกไป เขาตีจริง แถมตีอย่างเจ็บอีกต่างหาก

จะฟ้องพ่อก็ถูกดุแค่คำสองคำ

จะฟ้องแม่ นางก็ยังเถียงเขาไม่ได้อีก!

แม้ไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือด แต่กลับมีความรู้สึกเหมือนถูกกดดันโดยสายเลือด

ทำให้ตอนนี้จ้าวเจิ้งมองจ้าวซิงราวกับนกกระทาที่เชื่องเป็นที่สุด

อาหารเย็นกินกันในลานบ้าน จ้าวรุ่ยเต๋อไม่ถือเรื่องมากอะไร ไช่ฟูเหรินเป็นนักร้อง นางจึงไม่สนเรื่องกิริยามารยาทเท่าไหร่ เมื่ออากาศเย็นสบาย ก็กินกันในลานบ้านได้

เมื่อมีจ้าวซิงอยู่ด้วย จ้าวเจิ้งกินข้าวอย่างเรียบร้อยมากขึ้น แต่กินไปสักพักก็เริ่มนั่งไม่ติด “ท่านแม่ ข้าร้อน”

แม้จะบอกไช่ฟูเหริน แต่สายตาของจ้าวเจิ้งกลับจ้องไปที่พี่ชาย

“แม่พัดให้เจ้าเอง” ไช่ฟูเหรินวางตะเกียบแล้วหยิบพัดขึ้นมา

“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้น” จ้าวซิงยกนิ้วขึ้นชี้เบา ๆ ทันใดนั้นกลุ่มเมฆก็ลอยขึ้นมาบดบังแสงตะวัน

ลมเย็นพัดโชยเข้ามา สร้างความประหลาดใจให้กับจ้าวเจิ้งจนตาเป็นประกาย

แม้แต่จ้าวรุ่ยเต๋อก็ยังรู้สึกแปลกใจ “เจ้าบังคับลมได้แล้ว? กลุ่มเมฆนี้ก็ใหญ่ขึ้นมาก”

จ้าวซิงพยักหน้า “ช่วงนี้พอมีความก้าวหน้าบ้าง”

จะบอกว่าแค่พอมีความก้าวหน้าบ้างก็พูดเกินไป เพราะค่าความชำนาญของ 【เคลื่อนเมฆ】 ตอนนี้ทะลุ 5,000 แล้ว หากพูดแบบง่ายๆ คือสามารถควบคุมเมฆให้ครอบคลุมพื้นที่ได้ถึง 5,000 เมตร

จ้าวรุ่ยเต๋อเป็นคนมีความรู้ เขารู้สึกได้ถึงความก้าวหน้าของคาถามนต์ได้ชัดเจน อีกทั้งท่าทีของบุตรบุญธรรมที่ดูผ่อนคลายไม่เหมือนเมื่อก่อน

“ปีนี้มีหวังบรรจุเป็นขุนนางได้หรือไม่?”

จ้าวซิงวางตะเกียบลง “ข้ามีความมั่นใจถึงแปดส่วน”

จ้าวรุ่ยเต๋อถามต่อ “ขาดอีกสองส่วนคืออะไร?”

จ้าวซิงครุ่นคิด “อาจารย์ที่ดีและผู้สนับสนุนขอรับ”

แม้ว่าซวี่เหวินจงจะรับเขาเป็นศิษย์แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ประกาศรับเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ จ้าวซิงยังไม่แน่ใจว่าอาจารย์จะช่วยสนับสนุนตนมากแค่ไหน อีกทั้งแค่ซวี่เหวินจงเพียงคนเดียวก็อาจจะยังไม่พอ

การบรรจุเป็นขุนนางนั้นดูจากการประเมินเป็นหลัก แต่การสนับสนุนก็มีความสำคัญอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อมีคะแนนทัดเทียมกับคนอื่น

จ้าวรุ่ยเต๋อพยักหน้าไม่ถามอะไรอีก

แต่เพียงไม่กี่วันต่อมา จ้าวซิงก็สังเกตเห็นว่าอาหารที่บ้านดีขึ้นอย่างมาก ส่วนมากเป็นอาหารบำรุงกำลัง

สำนักการเกษตร เวลาฟ้าสาง

จ้าวซิงก็มาถึงสวนต้นหวงหวายของซวี่เหวินจง

“ครืน ครืน!”

กลุ่มเมฆขนาดสามจั้งหมุนวนอยู่เหนือศีรษะจ้าวซิง เสียงฟ้าร้องดังต่อเนื่อง แสงสายฟ้าสว่างวาบขึ้นเป็นระยะ

ครู่หนึ่ง เมฆก็สลายไป

จ้าวซิงมองไปที่ค่าความชำนาญ

【สายฟ้าฟาด: คาถามนต์ขั้นต้น】

【ความชำนาญ: (3005/9999)】

【ผลลัพธ์: ใช้เมฆเป็นตัวนำ ทำให้เกิดเสียงฟ้าร้องในกลุ่มเมฆ】

“สายฟ้าฟาดถึงขั้นเปลี่ยนแปลงสามครั้งแล้ว พลังมันยิ่งมากขึ้นทุกที อาจารย์เฒ่านี่ช่างเป็นสมบัติล้ำค่าจริง ๆ” จ้าวซิงอดที่จะทึ่งไม่ได้

เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาเพิ่งเรียนรู้ 【สายฟ้าฟาด】 มาหมาด ๆ แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่วันก็ถึงขั้นเปลี่ยนแปลงสามครั้งแล้ว

ความก้าวหน้ารวดเร็วเช่นนี้ นอกจากผลของเม็ดยาผลึกเต๋าและพลังชี่ที่ได้รับแล้ว การชี้แนะของซวี่เหวินจงก็ช่วยได้ไม่น้อย

อย่างเช่นเมื่อครู่ ซวี่เหวินจงให้เขาบังคับ 【เคลื่อนเมฆ】 ให้คงอยู่ในระยะสามจั้ง (10 ฟุต) แล้วจึงใช้คาถา 【สายฟ้าฟาด】 วิธีนี้ต้องอาศัยความสามารถในการควบคุมอย่างมาก แต่ก็ให้ผลในการฝึกที่ยิ่งใหญ่

พูดง่าย ๆ คือ ให้ค่าความชำนาญอย่างมากนั่นเอง!

“เมฆในฝ่ามือ ฟ้าสามศอก นี่เป็นวิธีที่ข้าคิดค้นขึ้นเอง” ฝ่ามือของซวี่เหวินจงปรากฏกลุ่มเมฆอยู่ ข้างในเต็มไปด้วยสายฟ้าเล็ก ๆ ที่กำลังหมุนวน

“ราชสำนักถ่ายทอดวิชาให้คนทั่วไปได้เรียนรู้ แต่การหาหนทางที่ดีที่สุด และเหมาะกับตนเองที่สุด นั่นคือ ‘วิชา’ ที่แท้จริง”

“เจ้าคิดพิจารณาให้ดี ตอนเช้าจงอยู่ในสวนหลังบ้าน ฝึกฝนไปพลางคิดไปพลาง ข้าจะไปสอนที่ลานใหญ่ก่อน และจะแวะมาตรวจเป็นระยะ ได้ยินมาว่าเจ้าได้รับการประเมินระดับเจี่ยในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา อย่าได้เหลิงไป เจ้ากับคนอื่นที่เก่งกว่านี้ยังมีช่องว่างต่างกันอีกมาก คนที่ติดบอร์ดเจี่ยสามสิบคนล้วนเก่งกว่าเจ้า”

“ขอรับ ศิษย์จะจดจำไว้” จ้าวซิงประสานมือโค้งคำนับ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด