บทที่ 13 ระดับสูงสุด
บทที่ 13 ระดับสูงสุด
“การสอบฤดูร้อนเล็กได้สิ้นสุดลงแล้ว เนื้อหาคือ ‘ภัยพิบัตินกกินธัญพืช’ คะแนนครั้งนี้จะพิจารณาจากความเสียหายของทุ่งนาที่ข้าราชการแต่ละคนรับผิดชอบ”
“ข้าวที่เสียหายไม่ถึงหนึ่งส่วนสิบ จะได้คะแนนระดับเเจี่ย”
“เสียหายไม่ถึงสองส่วนสิบ จะได้คะแนนระดับอี้”
“เสียหายไม่เกินครึ่ง จะได้คะแนนระดับปิ่ง”
“หากเสียหายเกินครึ่ง ครั้งนี้จะไม่มีคะแนน และต้องรับโทษปลูกใหม่ด้วยวิชาการเพาะปลูกเร่งการเจริญเติบโต หากสามารถแก้ไขได้ จะได้รับคะแนนระดับซี”
“คะแนนการสอบฤดูร้อนเล็กได้ติดประกาศแล้ว ขอให้ข้าราชการไปตรวจดูเอง ไม่ว่าจะได้ผลเป็นอย่างไร จงขยันหมั่นเพียรและอย่าท้อแท้”
เมื่อเฉินซือเจี๋ยพูดจบ เสมียนจากเรือเหาะยกมือขึ้นสะบัด แผ่นกระดาษสีเหลืองใบหนึ่งลอยในอากาศ แล้วไปติดบนแผ่นประกาศทั้งเก้าของทุ่งหญ้ากลางทุ่งนาได้อย่างแม่นยำ
บรรดาข้าราชการค้อมตัวแสดงความเคารพไปทางเรือเหาะ เมื่อเรือเหาะไหลหายไปในกลุ่มเมฆ ก็รีบกรูกันเข้าไปดูแผ่นประกาศทันที
“อะไรนะ? บนบอร์ดเจี่ยมีแค่สามสิบคน และมีแค่ห้าคนที่ได้ระดับเจี่ยสูง?!”
“แย่แล้ว แย่แน่ มีรายชื่อแค่สองร้อยสิบสี่คนในบอร์ด นี่ก็แปลว่าข้าราชการครึ่งหนึ่งสอบไม่ผ่าน?”
“ท่านพี่ที่อยู่ข้างหน้า ช่วยดูให้หน่อยว่ามีชื่อของข้าหลางไป๋อยู่ไหม?”
“มี อยู่ที่อันดับที่เก้าในบอร์ดปิ่ง ระดับปิ่งสูง ขอแสดงความยินดีกับท่านหลาง”
“เฮ้อ ได้แค่บอร์ดปิ่งเหรอ? ครั้งก่อนยังได้บอร์ดอี้เลย…”
“การสอบฤดูร้อนเล็กก็ยากขนาดนี้ แล้วการประเมินฤดูใบไม้ร่วงล่ะ? ปีหน้ามีเพียงไม่กี่คนที่ได้บรรจุเป็นขุนนาง แล้วจะให้สอบแก้ตัวไปทำไมอีก! ไปกันเถอะ ดื่มเหล้ากัน!”
“เฮ้ พูดถูกแล้ว ไม่ทำมันแล้ว!”
การสอบฤดูร้อนเล็กครั้งนี้ยากกว่าครั้งก่อนๆ มาก หน้าบอร์ดประกาศจึงเต็มไปด้วยความหดหู่และเศร้าหมอง
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยิ้มออก ทุกคนคิดว่าตนเองสอบได้แย่
ในนั้นมีบางคนที่ไม่ได้ใส่ใจ
เพราะแต่ละปีมีเพียงสามถึงห้าคนที่ได้บรรจุเป็นขุนนาง การสอบจะยากขึ้นเรื่อยๆ และกรองพวกข้าราชการที่ขาดความมุ่งมั่นและไม่มีคุณสมบัติออกไป
เมื่อไม่ใช่คนที่คู่ควรแล้วจะรีบร้อนไปทำไม? สบายๆ ไปเลย แถมยังไม่คิดจะสอบแก้ตัวด้วยซ้ำ
ว่าไงนะ? บอกว่าจะถูกไล่ออก? ไล่ออกก็ไล่ออกสิ ยังไงก็ไม่ได้ค่าแรงมากนัก ไม่ใช่ว่ายุคที่สงบสุขจะปล่อยให้ข้าราชการที่ลาออกอดตายหรอกนะ?
แน่นอนว่าส่วนใหญ่ยังคงใส่ใจอยู่ ไม่อย่างนั้นจะเลือกเส้นทางนี้ตั้งแต่แรกทำไม? อีกอย่างตั้งใจมานานขนาดนี้แล้ว ต้องสู้ต่อไปสิ
เฉินจื่ออวี๋และเฉียนตงก็พยายามแทรกตัวเข้าไปดู
ไม่นานพวกเขาก็เดินคอตกออกมา
พวกเขาได้แค่ระดับปิ่งล่าง พอผ่านเกณฑ์มาแบบเฉียดฉิว
พอออกจากฝูงชนมาได้ เฉินจื่ออวี๋ก็ทุบหัวตัวเอง “ใช่สิ เฉียนตง แล้วผลสอบของพี่ใหญ่ล่ะ? เจ้าดูให้หรือยัง?”
เฉียนตงที่ก้มหน้าก้มตาอยู่เงยหน้าขึ้นมาด้วยความลังเล “ข้าไม่ได้เห็นชื่อพี่ใหญ่ในบอร์ดปิ่งเลย นี่หมายความว่า…”
“หมายความว่าอะไร? เจ้าจะบอกว่าพี่ใหญ่สอบตกเหรอ? แม้แต่บอร์ดปิ่งยังไม่ได้? พี่ใหญ่ตั้งใจขนาดนี้ ถ้าแม้แต่บอร์ดปิ่งยังไม่ได้ จะเสียใจแค่ไหน? ไม่แปลกที่ไม่เห็นเงาเขาเลย หรือเขาคิดไม่ตกกันแน่?”
เฉียนตงรีบส่ายหน้า “ไม่นะ ไม่น่าเป็นไปได้ พี่ใหญ่เป็นคนสบายๆขนาดนั้น คงไม่เสียใจเพราะเรื่องแค่นี้…แต่ก็อาจจะเจ็บใจอยู่บ้าง”
เฉินจื่ออวี๋พูดอย่างกังวล “ข้าจะไปดูบอร์ดอีกรอบ เจ้าลองไปหาพี่ใหญ่รอบๆ ดู สักพักเราไปเจอกันที่สามแยกทุ่งนา”
หนึ่งเค่อ (15 นาที) ต่อมา ที่สามแยกทุ่งนา
เฉียนตงมองไปที่เฉินจื่ออวี๋ที่ดูซังกะตายกว่าเดิม เขานึกว่ามีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น ทำไมถึงหน้าตาซีดเซียวกว่าเมื่อกี้อีกล่ะ?
“ข้ายังไม่เจอพี่ใหญ่เลย เจ้าล่ะเป็นอะไรไปอีก?”
เฉินจื่ออวี๋เงยหน้าขึ้นอย่างมึนงง “ชื่อพี่ใหญ่ไม่อยู่ในบอร์ดปิ่ง”
“ไม่อยู่ก็ไม่อยู่ สอบตกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก…”
เฉียนตงพูดไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยุด “อยู่ในบอร์ดอี้เหรอ?”
เห็นเฉินจื่ออวี๋ไม่ตอบ เฉียนตงก็อ้าปากกว้างขึ้นเรื่อยๆ “อย่าบอกนะว่า…”
“ใช่ พี่ใหญ่ได้อยู่ในบอร์ดเจี่ย แถมได้อยู่ในระดับเจี่ยสูง เป็นหนึ่งในห้าคนร่วมกับเหวินหนานซิง หลี่เฉิงเฟิง จงซื่อชาง และเซียวเจ๋อ”
“….”
สีหน้าของเฉียนตงเปลี่ยนไปเหมือนกับเฉินจื่ออวี๋ทันที
ไม่ไกลจากบอร์ดเจี่ย หลี่เฉิงเฟิงนั่งตากลมอยู่บนก้อนหิน ข้างๆ เขามีฝูงชนล้อมรอบ
เขาไม่จำเป็นต้องไปดูบอร์ดเอง เพราะมั่นใจว่าชื่อของเขาจะอยู่บนบอร์ด
สิ่งที่เขาชอบไม่ใช่ตอนประกาศรายชื่อ แต่เป็นการยกยอของผู้คนในตอนนี้
“ยินดีด้วยพี่หลี่ อีกครั้งที่ท่านอยู่บนบอร์ดเจี่ยและได้ระดับเจี่ยสูง!”
“พี่หลี่สมแล้วที่เป็นคนมีพรสวรรค์ นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ได้ระดับเจี่ยสูง?”
“ครั้งที่หกแล้ว!”
“ปีหน้า คงได้เรียกพี่ว่าท่านหลี่แล้วสินะ”
หลี่เฉิงเฟิงยิ้มและประนมมือไปทางฝูงชน “ทุกท่านอย่าพูดแบบนั้นเลย ท่านนู่นท่านนี่อะไรกัน ก็พี่น้องกันทั้งนั้น อีกอย่างคนที่ได้ระดับเจี่ยสูงไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียว ข้ายังสู้พี่จงไม่ได้เลย…พี่จงๆ ท่านมองอะไรอยู่?”
ชายหนุ่มร่างกำยำ จงซื่อชาง หันกลับมาเมื่อได้ยินหลี่เฉิงเฟิงเรียกตัวเอง เขาพูดด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น “ข้ากำลังดูบอร์ดอยู่ พี่หลี่ บอร์ดเจี่ยมีห้าคน นอกจากข้า ท่าน เหวินหนานซิง และเซียวเจ๋อแล้ว คนที่ห้านี่สิ ข้าไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย”
“โอ้?” หลี่เฉิงเฟิงเดินเข้าไปดูบอร์ดบ้าง เมื่อเห็นชื่อจ้าวซิงที่ไม่คุ้นตา เขาขมวดคิ้ว “จริงด้วย ไม่เคยได้ยินเลย สำนักงานการเกษตรทั้งเจ็ด ข้ารู้จักเกือบทุกคน นี่เป็นใครมาจากไหนกัน”
“หรือจะเป็นข้าราชการของอาจารย์เฒ่าหรง?” จงซื่อชางพูดขึ้น
“อย่าคิดมากเลย อีกวันสองวันก็ไปเยี่ยมดูแล้วจะรู้เอง” หลี่เฉิงเฟิงหรี่ตาลง
ในขณะเดียวกัน เหวินหนานซิง เซียวเจ๋อ และคนอื่นๆ บนบอร์ดเจี่ยก็สังเกตเห็นชื่อจ้าวซิงนี้เช่นกัน
สำนักงานการเกษตรคัดเลือกข้าราชการเพียงปีละสามถึงห้าคน คนอื่นๆ บนบอร์ดช่างเถอะ แต่คนบนบอร์ดเจี่ยนี่คือคู่แข่งกันทั้งนั้น
คนอื่นขึ้นได้ หมายความว่าตนเองอาจจะไม่ได้ แถมยังอาจจะกลายมาเป็นหัวหน้าของตัวเองอีก จะไม่สนใจได้ยังไง?
เพียงแต่ว่าเจ้าจ้าวซิงนี่แสนจะปิดตัว เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ถามไปทางเพื่อนๆ ที่รู้จัก ก็แทบไม่มีใครเคยได้ยินชื่อเลย ส่วนใหญ่แค่รู้ว่าเป็นข้าราชการในสังกัดของอาจารย์เฒ่าหรง ยิ่งทำให้เขาอยากรู้มากขึ้น
จ้าวซิงยังไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังถูกบรรดาข้าราชการจับตาอยู่ เขาไม่ได้ไปดูบอร์ดประกาศเลย
เพราะหลังจากเฉินซือเจี๋ยประกาศกฎ เขาก็รู้ทันทีว่าตัวเองต้องติดบอร์ดเจี่ยอย่างแน่นอน อากาศร้อนขนาดนี้ จะไปแออัดเบียดคนจนตัวเหม็นทำไม? กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากินข้าวดีกว่า
ถ้ากลับไปช้าไช่ฟูเหริอาจจะซ่อนเนื้อไว้ก็ได้ เพราะนางเป็นคนที่ทำแบบนี้ได้จริงๆ
“การสอบปีนี้ นับรวมฤดูร้อนเล็กด้วยก็หกครั้งแล้ว ตามปกติ การสอบย่อยตามฤดูกาลยังเหลืออีกหกครั้ง”
“การสอบห้าครั้งก่อน ข้าได้ระดับอี้กลางครั้งหนึ่ง ระดับปิ่งสูงสองครั้ง และระดับปิ่งล่างอีกสองครั้ง นับว่าแย่ทีเดียว”
“แต่ไม่เป็นไร การพัฒนาอย่างรวดเร็วถือเป็นข้อดี การสอบย่อยพวกนี้ไม่ได้ดูแค่ผลคะแนน แต่ยังดูศักยภาพด้วย หากมีโอกาสก็อาจได้รับการเสนอชื่อได้”
“หากข้าสามารถเข้าสู่บอร์ดเจี่ยในการสอบย่อยทุกครั้งก่อนการประเมินฤดูหนาว ข้าจะต้องเป็นที่ถูกใจของเบื้องบนอย่างแน่นอน ส่วนอาจารย์เฒ่าหรงนั้น ตอนนั้นไม่รู้ว่าจะช่วยข้าได้มากแค่ไหน” จ้าวซิงคิดในใจ
“อาจารย์เฒ่าหรงเป็นคนดีมีเมตตา เป็นคนไม่แย่งชิงอำนาจ แถมยังซื่อตรง ไม่เคยรับสิ่งของจากใคร หากตอนนั้นข้าคะแนนสูสีกับคนอื่น ช่วงเวลาสำคัญก็คงต้องดูว่าเจ้านายของข้าจะยื่นมือช่วยข้าหรือไม่”
“ชี่~ชี่~” กลิ่นเนื้อโชยเข้าจมูก ทำให้จ้าวซิงหลุดจากภวังค์ความคิดมาได้ ปรากฏว่ามาถึงบ้านแล้ว กลิ่นหอมลอยมาจากห้องครัว
“อืม? เหมือนจะเป็นซุปโสมไก่ดำ...เฮ้ มาได้ถูกจังหวะจริงๆ!”