ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 เรียกลมฝน

บทที่ 1 ข้าราชการชั้นผู้น้อยแห่งสำนักการเกษตร


บทที่ 1 ข้าราชการชั้นผู้น้อยแห่งสำนักการเกษตร

  ปีจิ่งซินที่ 15 ปลายเดือนพฤษภาคม ชานเมืองทิศตะวันออกของเมืองกู่เฉิง

  แสงแดดร้อนแรง เหงื่อไหลหยดลงเป็นสาย จ้าวซิงก้มตัวลงเพื่อปลูกกล้าข้าวลงในนาข้าว

  ทุกครั้งที่เขาปลูกต้นกล้า ข้าง ๆ ก็จะปรากฏตัวเลขเล็ก ๆ ขึ้นมา

  【ปลูกต้นกล้าสำเร็จ 1 ต้น ความชำนาญทักษะการเพาะปลูกพื้นฐาน +1】

  【ปลูกต้นกล้าสำเร็จ 1 ต้น ความชำนาญทักษะการเพาะปลูกพื้นฐาน +1】

  【ปลูกต้นกล้าสำเร็จ 1 ต้น ความชำนาญทักษะการเพาะปลูกพื้นฐาน +1】

  ……

  【ทักษะการเพาะปลูกพื้นฐานถึงระดับสูงสุดแล้ว คุณได้เรียนรู้คาถาขั้นต้น 'เติบโตงอกงาม'】

  【เติบโตงอกงาม: คาถาขั้นต้น】

  【ความก้าวหน้า: (1/9999)】

  【ผล: เร่งการดูดซับสารอาหาร ลดระยะเวลาการเจริญเติบโตของพืช】

  จ้าวซิงปลูกต้นกล้าอีกประมาณครึ่งชั่วโมง จนเหงื่อท่วมตัว เขาจึงเดินขึ้นไปยังคันนาเพื่อเติมน้ำ

  แต่ทว่า แสงแดดอันร้อนแรงก็ยังคงทำให้จิตใจของเขารู้สึกร้อนรุ่มอย่างไม่อาจสงบลงได้

  เขาจึงชี้มือขึ้นไปยังท้องฟ้า

  “ฮึ่ม~”

  แสงสีทองสายหนึ่งพุ่งออกจากปลายนิ้วของเขา และหายไปในระยะประมาณสามถึงสี่เมตรเหนือศีรษะของเขา

  ทันใดนั้น เมฆหมอกสีเทาขาวก็ปรากฏขึ้น ม้วนตัวอยู่เหนือศีรษะของเขา

  【คุณใช้คาถา ‘เคลื่อนเมฆ’ คาถาครั้งนี้ถูกเสริมด้วยพลังชี่ ทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เคลื่อนเมฆสิบเมตร】

  【ความชำนาญคาถาขั้นต้น ‘เคลื่อนเมฆ’ +2】

  “เฮ้อ คราวนี้สบายขึ้นเยอะเลย”

  เมฆหมอกบดบังแสงแดด ราวกับร่มกันแดดที่ครอบคลุมจ้าวซิงไว้ในเงามืด

  เมื่อจ้าวซิงเดิน เมฆที่อยู่บนศีรษะก็เคลื่อนที่ตามไปด้วย

  ทุ่งชานเมืองทางตะวันออกของเมืองกู่ เป็นที่ดินสาธารณะของทางการ อยู่ภายใต้ความดูแลของสำนักการเกษตร เพื่อจัดหาส่วนหนึ่งของเสบียงอาหารให้กับข้าราชการ

  ใกล้จะถึงช่วงเก็บเกี่ยวแล้ว จึงมีข้าราชการชั้นผู้น้อยอย่างจ้าวซิงเต็มไปทั่วทุ่งชานเมือง

  เพราะหากพ้นช่วงเก็บเกี่ยวแล้ว การปลูกก็ไร้ประโยชน์

  นอกจากนี้ ผลผลิตจากที่ดินสาธารณะนี้ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องอาหารการกินของพวกเขา และยังเป็นตัวกำหนดว่าในปีนี้พวกเขาจะได้เลื่อนตำแหน่งจากข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ไม่มีตำแหน่ง มาเป็นข้าราชการสำนักการเกษตรอย่างเป็นทางการหรือไม่ ซึ่งความแตกต่างระหว่างสองสถานะนี้ถือว่าต่างกันราวฟ้ากับดิน

  ตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีก่อนที่เขาได้ข้ามมิติมายังที่แห่งนี้ เขาก็พบว่าตนเองเหมือนอยู่ในช่วงแรกของเกมลึกลับเกมหนึ่ง — ชาติที่แล้วมันปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันบนโลก ไม่มีชื่อเกม มีเพียงแค่ทางเข้า ด้านในเหมือนเป็นโลกที่แท้จริง มีความอิสระและความสมจริงสูงมาก ทำให้เกิดกระแสความฮือฮาอย่างยิ่งใหญ่

  ตอนนี้เป็นยุคจิ่งตี้แห่งราชวงศ์ต้าโจว ซึ่งเป็นช่วงที่ราชวงศ์รุ่งเรืองถึงขีดสุด บรรยากาศโดยรวมค่อนข้างมั่นคง เมื่อเทียบกับช่วงหลัง ความปลอดภัยแทบจะเรียกได้ว่าสูงที่สุด

  ข้อดีก็คือพลังวิญญาณยังไม่ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมด ค่าพลังการต่อสู้ยังไม่สูงจนเกินไป ไม่เกิดเหตุการณ์ที่ผู้มีอำนาจสูงส่งเพียงสะบัดมือก็ทำลายเมืองทั้งเมืองได้

  เพราะในเมื่อไม่ใช่ผู้เล่นแล้ว ในแผงสถานะจึงไม่ได้ระบุไว้ว่าสามารถคืนชีพได้

  ข้อเสียคือมั่นคงเกินไป สถานะเริ่มต้นก็ธรรมดา จะใช้ชีวิตเป็น NPC เพื่อหาช่องทางในสังคมที่มั่นคงเช่นนี้เป็นเรื่องยากยิ่งนัก

  “ชาติที่แล้วใช้เวลาแค่สองสามวันก็เปลี่ยนอาชีพได้แล้ว แต่ตอนนี้ใช้เวลาครึ่งปีแล้วก็ยังไม่เห็นความหวังเลย”

  “สถานะเริ่มต้นก็ให้มาแค่เด็กกำพร้าในสถานรับเลี้ยงเด็ก ต่อมาถูกครอบครัวใหญ่รับอุปการะ สถานการณ์ก็แค่ธรรมดา”

  “ได้ยินว่าชาติที่แล้วมีผู้เล่นที่ดวงดี เริ่มต้นมาก็เกิดในตระกูลขุนนาง...”

  “ไม่คิดแล้ว พักสักครู่แล้วค่อยฮึดสู้ใหม่ ปีนี้จะเปลี่ยนอาชีพได้หรือไม่นั้นคงต้องขึ้นอยู่กับผลผลิตของทุ่งนานี้แล้วล่ะ”

  จ้าวซิงเดินไปยังกองฟางกองหนึ่ง รวบหญ้าข้าวมาสักหน่อย เตรียมจะพักเพื่อรอให้พลังฟื้นตัว

  ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มในชุดธรรมดา สวมหมวกฟางยืนโบกมือเรียกเขาจากกองฟางข้างหน้า “จ้าวพี่ชาย มาทางนี้”

  จ้าวซิงก้าวเดินไปข้างหน้า รีบเดินไปหาชายหนุ่มคนนั้น “จื่ออวี๋ เจ้าก็มาพักเหมือนกันหรือ?”

  เฉินจื่ออวี๋ ก็เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยในสำนักการเกษตรอีกคนหนึ่ง ในระยะเวลาหนึ่งปีที่ข้ามมิติ จ้าวซิงคุ้นเคยกับเขามากที่สุด

  ความสัมพันธ์ของทุกคนก็เหมือนเพื่อนร่วมงานและเพื่อนร่วมห้อง เพราะช่วงนี้เน้นการเรียนรู้มากกว่าการทำงาน หวังจะสอบขึ้นตำแหน่งให้ได้เร็ว ๆ ไม่ต้องทำงานลำบากเช่นนี้อีก

  ข้าง ๆ เขายังมีเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งนอนอยู่ ชื่อว่าเฉียนตง ซึ่งเป็นคนรู้จักเช่นกัน

  เฉินจื่ออวี๋คาบหญ้าอยู่ในปาก ยิ้มทักทายอย่างอบอุ่น “เพิ่งมาไม่นานเอง พี่ชายก็ใช้เมฆบังแดดของข้าพักเถิด จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองพลัง”

  “ก็ดีเหมือนกัน”

  จ้าวซิงพยักหน้า ก่อนสลายเมฆที่อยู่บนศีรษะ แล้วนอนลงข้าง ๆ เฉินจื่ออวี๋

  พอนอนลง เขาก็ได้ยินอีกฝ่ายบ่นว่า “เพิ่งจะเริ่มฤดูร้อนแท้ ๆ แต่เมืองกู่ก็ร้อนขนาดนี้แล้ว ในชานเมืองทิศตะวันออกต้นไม้ใหญ่ ๆ ก็ถูกขุนนางในสำนักการเกษตรตัดไปหมด จะพักหลบร้อนก็ต้องพึ่งพาคาถาของตัวเอง”

  จ้าวซิงหัวเราะ “ก็นับว่าเป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่งนะ”

  “ถ้าอยากจะเย็นสบายก็ไม่ยาก ดูข้า” เฉียนตงโยนหมวกฟางในมือทิ้ง ชูนิ้วขึ้นฟ้าทำท่าทางจริงจัง “สายลมจงมา!”

  เฉินจื่ออวี๋ตกใจเล็กน้อย “เจ้าเฉียน เจ้าฝึกคาถา ‘เรียกลม’ ได้แล้วหรือ?”

  เฉียนตงยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเก็บหมวกฟางขึ้นมา แล้วโบกหมวกฟางไปที่เฉินจื่ออวี๋ “ดูสิ ลมไม่มาก็ให้มันรู้ไป”

  เฉินจื่ออวี๋เพิ่งรู้ตัวว่าถูกเจ้านี่แกล้ง จึงคว้าหญ้าแห้งขึ้นมากำหนึ่ง แล้วถูไปที่คอของเฉียนตง

  “เจ้าเฉียนตง บังอาจหลอกข้า ถ้าเจ้าไม่โบกให้ข้าเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงล่ะก็ ข้าจะไม่ยอมง่าย ๆ แน่!”

  “โอ๊ย อย่าถู ๆ ข้าขอโทษแล้ว ข้าโบกให้ก็ได้”

  “…”

  ทั้งคู่หัวเราะหยอกล้อกัน เมฆเหนือศีรษะก็สั่นไหวตาม จ้าวซิงเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกอึ้ง

  อากาศร้อนขนาดนี้ พวกเจ้าจะเล่นกันแบบนี้ได้หรือ?

  กำลังจะเอ่ยปาก เฉียนตงก็พูดขึ้นก่อน “พอแล้ว เจ้ายังไม่หยุด พี่จ้าวต้องดุเราว่าไม่ตั้งใจเรียนอีกแน่”

  จ้าวซิงพูดอย่างขี้เกียจ “ไม่หรอก พวกเจ้าทำต่อไปเลย ดีที่สุดก็คือให้สู้กันจนบาดเจ็บทั้งคู่ คนจะแข่งกับข้าก็จะน้อยลง โอกาสที่ข้าจะได้เลื่อนตำแหน่งในปีนี้ก็จะมากขึ้น”

  “พี่ใหญ่ก็ยังขี้ประชดจริง ๆ…”

  นอนพักไปสักครู่ จ้าวซิงรู้สึกว่าพลังของตนค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น กะว่าจะนอนต่ออีกนิดแล้วค่อยลุยภารกิจเปลี่ยนอาชีพต่อ

  แต่ทันใดนั้นเมฆที่อยู่เหนือศีรษะก็สลายไป แสงแดดอันแสบตาส่องลงมาที่เปลือกตา

  “เกิดอะไรขึ้น จื่ออวี๋ ทำไมเจ้าถอนเมฆไปไม่บอกกันก่อนเลย...” เฉียนตงยังบ่นอยู่ แต่จ้าวซิงกลับยันข้อศอกขึ้นนั่ง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย มองไปยังเบื้องหน้า

  เมฆฝนขนาดเกือบพันเมตรกำลังม้วนตัวเข้ามาจากเบื้องหน้า และบนกองฟางใต้เมฆนั้น มีร่างสูงโปร่งยืนอยู่

  【เคลื่อนเมฆ】เป็นคาถาที่มีลักษณะเฉพาะ นี่เป็นเพราะชายคนนั้นได้ใช้คาถาของตนดูดซับและทำลายคาถา 【เคลื่อนเมฆ】ของเฉินจื่ออวี๋ไป

  การร่ายคาถาถูกขัดจังหวะกะทันหัน ทำให้ร่างกายของเฉินจื่ออวี๋สั่นเทา พลังวิญญาณถูกกระทบกระเทือนเล็กน้อย

  “อีกแล้วหรอ หลี่เฉิงเฟิง เจ้าคนหลอกลวง!” เฉินจื่ออวี๋จ้องมองร่างบนกองฟางด้วยความโกรธ

  ทำไมถึงเรียกว่าเจ้าคนหลอกลวงน่ะหรือ?

  ก็เพราะเสียงของหลี่เฉิงเฟิงกำลังถูกส่งผ่านคาถา【เรียกลม】พัดออกไปยังทิศทางต่าง ๆ

  “เหล่าท่านทั้งหลาย ขอเชิญมาพักใต้เมฆของข้า อีกสักครู่จะมีฝนตกลงมาชำระล้างพวกท่าน”

  ไม่ได้มีเพียงแต่คาถาของเฉินจื่ออวี๋เท่านั้นที่ถูกทำลาย ยังมีคนอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน

  แต่เขากลับรวบรวมผู้คนส่วนใหญ่ ทำให้พวกเขาไม่ต้องใช้พลังวิญญาณของตน จึงทำให้หลายคนปรบมือชมเชยหลี่เฉิงเฟิงว่าเป็นผู้มีความกรุณา

 เฉินจื่ออวี้ยังคงโกรธไม่หายและพูดว่า “เขาทำตัวเหมือนเป็นคนดีต่อหน้าคนอื่น แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนที่ชอบเหยียบคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดี! เจ้าก็เห็นแล้ว เขาใช้คาถาเคลื่อนเมฆมาบังแดดให้กับคนอื่น แต่ดันทำลายคาถาของข้า! ทั้งที่ข้ากำลังใช้พลังอยู่แท้ ๆ แถมยังทำให้ข้าบาดเจ็บเล็กน้อยจากการกระทำนั้น!”

  เฉียนตงส่ายหน้า “ถ้าเขาเป็นคนดีจริง ๆ ก็แล้วไปเถิด แต่เขากลับมีแต่คบหาเฉพาะกับพวกคนรวย ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง และยังไม่ทันได้เป็นข้าราชการสำนักการเกษตรก็วางท่าราวกับผู้มีอำนาจแล้ว ชวนให้น่ารังเกียจจริง ๆ ปีหน้าเขาอาจจะเป็นหัวหน้าเราอีก ไม่รู้เลยว่าจะกลั่นแกล้งอะไรพวกเราบ้าง เฮ้อ...”

  จ้าวซิงเห็นด้วยกับทั้งสองคน ได้แต่ตบบ่าให้กำลังใจพวกเขา “ข้าก็ไม่ชอบเขาเหมือนกัน แต่บ่นไปก็ไร้ประโยชน์ มีแต่ต้องทำตัวเองให้เก่งขึ้น จะมีสักวันที่เราได้เอาคืนแน่”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด