ตอนที่ 28 ผู้หญิงควรเป็นเช่นนี้แหละ
ตอนที่ 28 ผู้หญิงควรเป็นเช่นนี้แหละ
เวิ่นหยุนซีที่เดินมาได้ไม่ไกลนัก ก็เห็นเหยียนซานที่ถูกล้อมด้วยสาวๆ มากมาย
หนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ดูเหมือนหมีเซ่อซ่าในท่ามกลางการถูกห้อมล้อมโดยหญิงสาวเหล่านั้น
อยากจะปฏิเสธ แต่ก็กลัวจะทำร้ายจิตใจพวกนางเข้า
“อาอวิ๋น! รีบมาช่วยข้าที!”
เหยียนซานเห็นทั้งสองคนเข้า จึงรีบตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างเสียงดัง
เวิ่นหยุนซีกับถงอวิ๋นสบตากัน จากนั้นก็วิ่งหนีไปโดยไม่หันกลับมามอง
“อาอวิ๋น! อย่าวิ่งหนีสิ!”
“นี่! ถงอวิ๋น เจ้าไม่รักษาคำพูดเลย!”
“เจ้า...ช่วย...”
เสียงของเหยียนซานค่อยๆ ถูกทิ้งห่างออกไปจนไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว
ทั้งสองคนหยุดวิ่งพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
“อาจารย์ ท่านมาพอดีเลย มู่หลิวกับฮวาหลีกำลังแข่งกันแกว่งชิงช้าอยู่”
เด็กสาวในชุดสีน้ำเงินเห็นพวกนางเข้าก็รีบเรียกด้วยความตื่นเต้น
เวิ่นหยุนซีเดินตามไป ก็เห็นว่ามีชิงช้าอยู่ 6 ตัว ถูกตั้งไว้ริมทะเลสาบ
มีหญิงสาวสองคน สวมชุดสีเขียวกับสีแดง แกว่งชิงช้าไปมาอย่างสนุกสนาน
โดยมีเหล่าหนุ่มสาวจำนวนมากมายยืนล้อมอยู่ และส่งเสียงให้กำลังใจทั้งสองคน
“เจ้าคิดว่าใครจะชนะ?” ถงอวิ๋นถาม
เวิ่นหยุนซีพึงพอใจกับลูกศิษย์คนใหม่ทั้งสองคนนี้มาก ความสามารถของทั้งคู่ก็ไม่ต่างกันนัก ถ้าพูดถึงพละกำลัง ฮวาหลีดูจะได้เปรียบ แต่ถ้าเป็นเรื่องไหวพริบแล้ว มู่หลิวเหนือกว่าเล็กน้อย
ถ้าจะให้เธอเลือกตามตรง เธอคาดว่า ฮวาหลีชนะ
แต่ถึงอย่างนั้น...เวิ่นหยุนซีกล่าว “ข้าคิดว่ามู่หลิวน่าจะชนะ”
เป็นไปตามที่เธอคาดการณ์ไว้ ฮวาหลีเป็นฝ่ายชนะในที่สุด
ถงอวิ๋นหัวเราะ “เจ้าทายผิดแล้ว อีกสองวันไปดูข้าแข่งประลอง ถ้าข้าชนะ เจ้าต้องรับปากข้าหนึ่งเรื่อง”
เวิ่นหยุนซีตอบรับทันที พร้อมยกแขนขวาขึ้น “ตกลงตามนั้น”
“ตกลงตามนั้น!” ถงอวิ๋นยกมือขึ้นตบแขนเวิ่นหยุนซีด้วยความยิ้มแย้ม
วันรุ่งขึ้น ยังไม่ทันฟ้าสาง เสียงกลองจากลานประลองก็ดังสนั่น ปลุกให้ทั้งเมืองสุ่ยอีตื่นตัวขึ้นทันที
ผู้คนจากเผ่าสุ่ยอีในชุดต่อสู้หลั่งไหลมาที่ลานประลองราวกับคลื่นน้ำ นี่คือเทศกาลสำคัญที่สุดของพวกเขา และยังเป็นงานประลองที่พวกเขาให้ความสำคัญที่สุดด้วย
เมื่อเวิ่นหยุนซีพาฉินอวี้มาถึง ลานประลองอันกว้างใหญ่ก็ถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน มีบางคนเริ่มการต่อสู้กันแล้ว
ข้างๆ สนามประลองแต่ละแห่งมีป้ายไม้วางอยู่ ป้ายเหล่านั้นไม่มีตัวหนังสือหรือลำดับ แต่มีเพียงดอกไม้ชนิดต่างๆ ที่มีสีสันต่างกัน
การแข่งขันประลองนี้จะหยุดเมื่อคู่ต่อสู้ล้ม และไม่ค่อยใช้ศาสตราวุธ หากใช้จริงก็จะถูกห่อด้วยผ้าหลายชั้น
นอกจาก 10 สนาม ตรงกลางแล้ว สนามประลองอื่นๆ ทุกคนสามารถต่อคิวรอแข่งขันได้
“อาจารย์ ข้าขอไปเล่นสนุกด้วยหน่อย”
ฉินอวี้ที่ยืนดูอยู่จนคันไม้คันมือ ก็มองหาสนามที่คนไม่เยอะ แล้วกระโดดเข้าไปทันที
ลานประลองเต็มไปด้วยผู้คนนับหมื่น เวิ่นหยุนซีมองหาถงอวิ๋นอยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่เห็น กลับได้เจอถงเย่วแทน
เด็กสาวถักผมหางม้าสูง สวมชุดสีแดง มือจับกระบองไม้สองอัน กำลังต่อสู้กับเด็กหนุ่มที่ใช้แส้ได้อย่างสูสี
เวิ่นหยุนซีมองดูแล้วความรู้สึกอยากสู้ก็ก่อตัวขึ้น จนอดไม่ได้ที่จะหาสนามประลองและลงชื่อเข้าร่วมแข่งขัน
ช่างบังเอิญจริงๆ คู่ต่อสู้คนแรกของเวิ่นหยุนซีก็คือชายหนุ่มผิวคล้ำที่แพ้ถงอวิ๋นมาแล้วถึง 25 ครั้ง ยังไม่ทันได้เริ่มแข่ง ทุกคนก็พากันเข้ามาล้อมดูแน่นขนัด
“โอ้ย! ท่านหมอเวิ่นลงมาแข่งด้วยหรือเนี่ย? เสี่ยวซือจิง นี่มือหนัก ถ้าท่านหมอเวิ่นบาดเจ็บขึ้นมา จะทำยังไงกันล่ะ?”
“ใช่ๆ ท่านหมอเวิ่น ร่างบางขนาดนี้ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่พวกฝึกฝนวิชา จะไปสู้กับเสี่ยวซือจิงได้ยังไงกัน”
“ท่านหมอเวิ่นอาจจะเก่งวิชาก็ได้นะ ข้าดูเมื่อครู่ ฉินอวี้สู้เก่งมากเลยไม่ใช่หรอ ชนะคนมาหลายคนติดๆ กันเลย”
“ฉินอวี้รูปร่างแบบนั้น ดูก็รู้ว่าฝึกมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ท่านหมอเวิ่นผิวขาวเนียนแบบนี้ น่าจะเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ของชาวฮั่นมากกว่า”
“แล้วจะทำยังไงล่ะ ข้าไม่กล้าดูเลยจริงๆ”
“...” เวิ่นหยุนซีฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก เธอมองตรงไปยังคู่ต่อสู้ตรงหน้า จ้องมองหาแผนรับมือ เธอไม่ได้หมดหวังซะทีเดียว
ตั้งแต่เด็ก เธอก็เคยต่อสู้กับเด็กๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาแล้ว อีกทั้งระบบเทพปรุงยายังช่วยเพิ่มพละกำลังให้กับเธอ และในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เธอก็ได้ฝึกวิชาบางอย่างจากถงอวิ๋น
จะชนะหรือไม่ นั่นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือ ต้องไม่ขี้ขลาด เด็ดขาด!
เสี่ยวซือจิงเองก็คาดไม่ถึงว่าจะต้องมาเจอกับเวิ่นหยุนซี
วันนี้เขาตื่นแต่เช้า แต่งตัวอย่างดีมาที่ลานประลอง ตั้งใจจะท้าสู้กับถงอวิ๋น แต่รออยู่นานก็ไม่เห็นถงอวิ๋นสนใจคำท้าของเขา
เมื่อดูการประลองอยู่สักพัก เขาก็รู้สึกเบื่อ เลยสุ่มเลือกสนามที่คนไม่เยอะ แล้วก็เจอกับเวิ่นหยุนซีพอดี
เขารู้ว่าเวิ่นหยุนซีเป็นแขกคนสำคัญของเผ่า และยังเคยรักษาขาของพ่อเขาจนหายดี แต่การแข่งขันประลองของเผ่าสุ่ยอีก็มีกฎที่หยุดเมื่อสมควร แต่อย่าออมมือ!! นี่เป็นกฎที่ฝังรากลึกในสายเลือดของพวกเขา
เมื่อคิดเช่นนั้น เสี่ยวซือจิง ยกมือขึ้นทำความเคารพ “ข้าจะสู้เต็มที่ ขอให้ท่านระวังตัวด้วย”
เวิ่นหยุนซีขมวดคิ้ว ภาษาฮั่นของเสี่ยวซือจิงไม่ค่อยชัดเจน เธอฟังไม่ค่อยเข้าใจ
แต่ภาษากายของเขา เธอเข้าใจดี
เวิ่นหยุนซีทำท่าตามเขา ยกมือขึ้นเคารพ จากนั้นก้มตัวลงเล็กน้อยแล้วตั้งท่ารับมือ
ในขณะที่เสี่ยวซือจิงเตรียมจะโจมตี เวิ่นหยุนซีก็พุ่งเข้าไปก่อน ต่อยฝั่งซ้ายตรงเข้าไปที่ใบหน้าของเขา
เสี่ยวซือจิงเอนตัวหลบ ถีบเท้าเข้าที่หน้าท้องของเวิ่นหยุนซี แต่เธอหมุนตัวหลบอย่างรวดเร็ว แขนทั้งสองข้างกอดอก แล้วพุ่งตัวไปด้านหลังของเขา
เสี่ยวซือจิงก้มศีรษะหลบหมัดที่พุ่งตรงมาจากด้านหลังของเวิ่นหยุนซี จากนั้นก้าวไปข้างหน้าแล้วหมุนตัวเตะข้างเข้าใส่เวิ่นหยุนซี
ถ้าเตะโดนเข้าจริง แม้แต่ชายหนุ่มร่างใหญ่ก็คงจะปลิวออกนอกสนามประลอง
เวิ่นหยุนซีทิ้งตัวลงกับพื้นหลบอย่างฉิวเฉียด กลิ้งไปกับพื้นอย่างทุลักทุเลเพื่อหนีห่างจากเสี่ยวซือจิง เขาเก่งกว่าที่เธอคาดไว้มาก
เสี่ยวซือจิงไม่ได้มีแค่พละกำลังและความเร็วที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น ปฏิกิริยาก็ไวไม่แพ้กัน
แต่ถึงอย่างนั้น...เขาดูเหมือนจะถนัดการใช้ขามากกว่า
ถ้าโจมตีล่อไปที่ช่วงขา แล้วใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ จากนั้นหาจังหวะทุ่มข้ามไหล่แล้วจับเขาลงพื้น น่าจะได้ผล
ถงอวิ๋นเมื่อได้ข่าวจึงรีบวิ่งดูมา เมื่อได้ยินเสียงเฮดังลั่นจากฝูงชน
หัวใจเธอเต้นแรง รีบแทรกตัวเข้ามาดูสถานการณ์
เวิ่นหยุนซีคิดอะไรอยู่กันแน่? ร่างกายแบบนั้น ไม่รู้หรือว่าควรจะไปสู้กับเด็กน่ะ!
บ้าจริง…
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ถงอวิ๋นถึงกับตกใจจนคิดว่าตัวเองมองผิดไป
เวิ่นหยุนซีกำลังจับข้อมือของซือจิงแล้วกดเขาลงกับพื้น!?
เสี่ยวซือจิงแม้จะไม่ใช่คนที่มีศิลปะการต่อสู้มากนัก แต่ก็ไม่น่าจะแพ้เวิ่นหยุนซีได้ง่ายๆ นี่นา
เวิ่นหยุนซีกดเขาไว้สักพัก จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและยื่นมือช่วยดึงเสี่ยวซือจิงให้ลุกขึ้นตาม
แถมยังช่วยปัดฝุ่นดิน บนเสื้อของเขาอีกด้วย
ซือจิงหันไปเห็นถงอวิ๋นที่มาถึงแล้ว ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็แดงก่ำ รีบยกมือคารวะกล่าวคำยอมแพ้ แล้วเดินออกจากฝูงชนอย่างรวดเร็ว
เวิ่นหยุนซีหันไปยิ้มให้ถงอวิ๋นอย่างสดใส ทำปากบอกว่า “คราวนี้ต้องเป็นเจ้า ที่ชนะแล้วล่ะ” ถงอวิ๋นหันหลังเดินจากไปทันที
คืนนั้นถงอวิ๋นไม่ได้กลับบ้าน เวิ่นหยุนซีมาเจอเธออีกทีในวันรุ่งขึ้น
เธอสวมชุดออกศึกสีคราม ผมยาวดำถูกมัดรวบขึ้นเรียบร้อย แววตาคมกริบเหมือนหมาป่าและเสือดาว เธอชนะคู่ต่อสู้ ทีละคน
ไม่ว่าจะเป็นใคร เธอก็ไม่เคยพ่ายแพ้ มือที่กระบองหนักๆนั่น ยังไม่สั่นแม้แต่น้อย
เสียงโห่ร้องเชียร์ดังกึกก้องไปทั่วลานประลอง
เวิ่นหยุนซีไม่รู้ว่าตัวเองได้ส่งเสียงเชียร์ออกไปด้วยหรือไม่ รู้เพียงแต่ว่าไม่อาจละสายตาจากถงอวิ๋นได้
เธอมองดูถงอวิ๋นเอาชนะในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย มองดูเธอถูกเหล่าชาวเผ่าสุ่ยอี อุ้มชูขึ้นกลางอากาศด้วยเสียงโห่ร้องยินดี
หัวหน้าเผ่าเดินเข้ามาตบไหล่ถงอวิ๋นอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะสวมชุดเกราะหนังและมงกุฎขนนกที่เป็นสัญลักษณ์ของนักรบเผ่าสุ่ยอีให้เธอ
ถงอวิ๋นคุกเข่าลง รับดาบทองสัมฤทธิ์ที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น อย่างนอบน้อม ก่อนจะยืนขึ้นและตะโกนออกมาด้วยเสียงดังฟังชัดว่า
“เผ่าสุ่ยอี จงเจริญ!”
บรรดาชาวเผ่าสุ่ยอีจำนวนนับไม่ถ้วนต่างตะโกนตามอย่างพร้อมเพรียงกัน ราวกับว่าคำนี้เป็นเพียงคำเดียวที่หลงเหลืออยู่ในโลกใบนี้
เวิ่นหยุนซีมองดูถงอวิ๋นที่ส่องประกายเจิดจ้าอยู่ท่ามกลางฝูงชน
เธอคิดในใจว่า
ผู้หญิงควรเป็นเช่นนี้แหละ
…โปรดติดตามตอนต่อไป…
หากพบคำที่พิมพ์ผิด แจ้งได้เลยนะ