ตอนที่ 27 เทศกาลมู่เซี่ย
ตอนที่ 27 เทศกาลมู่เซี่ย
“เลิกเรียน!”
เวิ่นหยุนซีลุกขึ้นจากเบาะนั่ง หันไปทุบไหล่และหลังที่ปวดเมื่อย
บรรดาเด็กสาวที่นั่งล้อมเธอก็ลุกขึ้นตามไปด้วย บิดตัวไปมาและขยี้ตาด้วยความเหนื่อยล้า แต่ก็ยังมีแววตาเสียดายที่บทเรียนจบลง
พระจันทร์เสี้ยวที่โค้งเหมือนตะขอแขวนอยู่ทางทิศตะวันตก บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด มีเพียงเสียงจิ้งหรีดร้องและไม่มีเสียงมนุษย์
"ตอนนี้กี่ยามแล้ว?" เวิ่นหยุนซีหันไปถามมู่หลิว
มู่หลิวแค่มองพระจันทร์ก่อนตอบว่า "ประมาณยามเหม่า หกเค่อ"
เวิ่นหยุนซีเงียบไปครู่หนึ่ง พลางคิดคำนวณในใจ ก็หมายความว่าตอนนี้เป็นเวลาตีสองครึ่ง ไม่แปลกใจเลยที่จะรู้สึกเหนื่อยเช่นนี้ เธอใช้เวลาสอนติดต่อกันมาแล้วถึง 6 ชั่วโมง
ในศาสตร์การแพทย์แผนจีน การตรวจวิเคราะห์ผู้ป่วยมีสี่ขั้นตอนคือ การดู การดม การถาม และการจับชีพจร
ก่อนอื่นพวกเธอต้องเข้าใจหลักการแพทย์และหาตำแหน่งจุดฝังเข็มต่างๆ ให้แม่นยำ เพียงแค่นี้ก็ใช้เวลาไม่น้อยแล้ว
โชคดีที่ลูกศิษย์ที่เธอคัดเลือกมานั้น ล้วนแต่เป็นสาวน้อยที่ฉลาดเฉลียว แม้จะไม่เคยมีความรู้ด้านนี้มาก่อน แต่ก็สามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็วและเรียนรู้ได้ดี
ในเวลาเพียงสามวัน ก็มีลูกศิษย์ถึง 5 คน ที่สามารถช่วยเหลือในคลินิกอาสาได้แล้ว
เวิ่นหยุนซีเป็นคนที่ทำอะไรก็รวดเร็วและเด็ดขาด เมื่อรับลูกศิษย์มาแล้ว ในคืนนั้นก็ย้ายเข้ามาอยู่ในที่เงียบๆ แห่งนี้
บ้านหลังนี้เป็นสถานที่ที่หัวหน้าเผ่าจัดหาให้ และยังจัดคน 10 คน มาคอยเฝ้ารักษาความปลอดภัย ไม่ให้ใครเข้าใกล้ได้ง่าย ๆ
ตอนกลางวัน เธอจะพาลูกศิษย์ไปที่ริมทะเลสาบเพื่อทำคลินิกอาสา เป็นการเพิ่มประสบการณ์จริงให้กับพวกเขา และหลังจบการรักษา เธอจะให้เวลาอีกสองชั่วโมงเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ส่วนตอนกลางคืนก็สอนต่อไปจนถึงดึก
ไม่น่าแปลกใจที่ศิษย์แต่ละคนที่เธอเลือกมาจากกว่า 600 คน ล้วนแต่แข็งแรง มีความจำดี มีพละกำลังเหลือล้นและก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อเธอเปิดโต๊ะการรักษาส่วนตัวให้มู่หลิวเมื่อวันก่อน เหล่าลูกศิษย์ต่างพยายามที่จะไม่ยอมนอน เพราะอยากเรียนรู้ให้มากขึ้น
ฮวาหลี่ถึงกับตามติดเธอมาตลอดเวลา เพื่อขอให้เวิ่นหยุนซีช่วยทดสอบและประเมินความสามารถ
เมื่อวานเวิ่นหยุนซีก็เลือกลูกศิษย์อีก 10 คน ให้ไปทำการรักษาด้วยตนเอง เธอจึงไม่ต้องรับคนไข้เองอีกต่อไป แต่จะพาเหล่าลูกศิษย์ที่เหลือไปเดินตรวจดูการรักษาของพวกเขาแทน
ผลจากความมุ่งมั่นตั้งใจของเหล่าลูกศิษย์ ทำให้ต้องใช้เวลาการสอนนานขึ้นเรื่อยๆ คืนแรกก็สอนถึงแค่เที่ยงคืน แต่นี่เพิ่งจะวันที่สาม เวลาก็ยืดออกไปถึงตีสองครึ่งแล้ว
ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป คงไม่ใช่ลูกศิษย์ที่ประสบความสำเร็จ แต่คงเป็นอาจารย์อย่างเธอที่จะเหนื่อยจนตายไปก่อน
ขณะที่กำลังคิดว่าจะปรับตารางการสอนอย่างไรดี ก็ได้ยินเสียงใสแจ๋วของเด็กสาวพูดว่า “พี่สาว”
เวิ่นหยุนซีหันไปที่ประตูทันที ก็เห็นถงอวิ๋นถือกะละมังเหล็กใบใหญ่ กำลังจะเดินเข้ามาในห้อง
“วันนี้เจ้านำอะไรมาอีกล่ะ?”
เวิ่นหยุนซีแทบจะลืมเรื่องการปรับเวลาการสอนไปในทันที เธอสูดกลิ่นหอม พลางจ้องมองไปที่กะละมังเหล็กอย่างไม่ละสายตา
ถงอวิ๋นวางกะละมังลงบนโต๊ะ และปล่อยให้เวิ่นหยุนซีเปิดดูเอาเอง ก่อนจะเดินไปอุ้มน้องสาวด้วยความดีใจ
ถงอวิ๋นจ้องมองน้องสาวอย่างตั้งใจ แล้วอดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วจิ้มที่หน้าผากน้องสาวเธอเบาๆ
"เจ้าเด็กดื้อ ไม่เชื่อฟัง จะอยู่ที่นี่ ไม่ยอมกลับบ้าน"
ถงเยว่ลูบหน้าผากตัวเองพร้อมยิ้ม ก่อนจะขยับตัวเข้ามาอ้อนในอ้อมกอดของพี่สาว เธอรู้ว่าพี่สาวจะไม่ตีเธอจริงๆ
เวิ่นหยุนซีฉีกน่องไก่ย่างใส่ปากพลางยิ้มขำกับทั้งคู่ เธอไม่รังเกียจเลยที่จะมีคนมาแอบฟัง แม้ถงเยว่จะเป็นเพียงเด็ก 4 ขวบ แต่กลับเป็นเด็กที่มีความรู้ความเข้าใจ ไม่ดื้อ ไม่ซน และอยู่เงียบๆ เสมอ
แม้ว่าจะมีคนจัดเตรียมอาหารให้สามมื้อในแต่ละวันสำหรับคนในบ้านหลังนี้ แต่สำหรับมื้อดึกไม่มีใครจัดเตรียม เวิ่นหยุนซีจึงไม่อยากรบกวนป้าๆ ที่มาช่วยทำงานให้ ต้องอดหลับอดนอน
แต่ถงอวิ๋นกลับส่งมื้อดึกมาให้ด้วยตัวเองถึง 3 คืน ติดต่อกัน และทุกครั้งก็อ้างว่าเป็นอาหารที่แม่เธอทำเหลือไว้ตอนเย็น แม้เวิ่นหยุนซีจะรู้ทัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ช่วงนี้ เวิ่นหยุนซีจึงได้เพลิดเพลินกับมื้อดึกที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้าแต่ก็มีความสุขอย่างมาก
หลังจากทานอาหารเสร็จ พวกชาวบ้านที่ผลัดกันมาเฝ้ายาม ก็พาเหล่าลูกศิษย์กลับบ้าน เวิ่นหยุนซีกับฉินอวี้ก็กลับไปที่บ้านของถงอวิ๋นและถงเยว่เช่นกัน เพราะวันสำคัญของเผ่าสุ่ยอีกำลังจะมาถึง นั่นก็คือ เทศกาลมู่เซี่ย
เทศกาลมู่เซี่ย เป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของเผ่าสุ่ยอี ซึ่งสืบทอดกันมานานกว่า 1,000 ปี
เทศกาลนี้จัดขึ้นทุกๆ 3 ปี ทั้งเผ่าจะเฉลิมฉลองกันเป็นเวลา 3 วันเต็ม โดยใน 2วัน สุดท้ายจะมีการแข่งขันต่อสู้ ซึ่งผู้ชนะจะได้เป็นตัวเลือกสำหรับตำแหน่งหัวหน้าเผ่าคนต่อไป เมื่อหัวหน้าเผ่าคนปัจจุบันสละตำแหน่ง ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนมากที่สุดจากการกล่าวสุนทรพจน์ต่อเผ่า จะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าคนใหม่
วันรุ่งขึ้น เวิ่นหยุนซีตื่นแต่เช้า ถูกป้าฉือผู้มีศักดิ์เป็นป้าของถงอวิ๋น และเป็นแม่ของเหยียนซาน จับเธอแต่งตัวอย่างดี
เธอสวมชุดที่มีสีสันสดใสและหนักอึ้ง เครื่องประดับเงินหลายชิ้นที่หนักไม่ต่ำกว่า 10ชั่ง (10โล) และถูกถงอวิ๋นลากให้ขึ้นไปบนรถม้า
รถม้าคันนี้สูงมาก รอบๆ ตกแต่งด้วยดอกไม้นานาพันธุ์หลากสีสัน มีม้าตัวใหญ่หกตัวลากไปข้างหน้า โดยมีนักรบหลายร้อยคนสวมเกราะหนังและถือหอกยาวติดตามมาด้านหลัง
ระหว่างทาง ชาวเผ่าสุ่ยอีก็โปรยกลีบดอกไม้จากตะกร้าและเดินตามรถม้า ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีสันสดใส แสดงความยินดีและอวยพรซึ่งกันและกัน
บนรถม้า นอกจากเวิ่นหยุนซีที่ได้รับการยกย่องเป็นแขกผู้มีเกียรติของเผ่าแล้ว ยังมีหัวหน้าเผ่าและผู้อาวุโสอีกห้าคนด้วย
รถม้าพาเวิ่นหยุนซีและเหล่าผู้นำเผ่า เดินแห่ไปตามรอบๆทะเลสาบ ขณะที่มีชาวสุ่ยอีเข้ามารอดู และส่งเสียงร้องต้อนรับมากขึ้นเรื่อย ๆ
เวิ่นหยุนซีค่อยๆ โบกมือทักทายกลับไป พร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่ต่างจากชาวเผ่าสุ่ยอีเลย
หลังจากเดินวนรอบทะเลสาบจนเสร็จ รถม้าก็เดินทางต่อมาจนถึงลานประลอง เสียงแตรยาวถูกเป่าดังกังวานทั่วลาน คนในเผ่ากระจายตัวออกแล้วรวมตัวกันใหม่ ล้อมรอบรถม้าไว้อย่างแน่นหนา
หัวหน้าผู้อาวุโสบนรถม้าหยิบขนมแผ่นใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึงครึ่งเมตรขึ้นมา ดูเหมือนจะหนักไม่น้อยเลยทีเดียว
เวิ่นหยุนซีมองด้วยความสงสัย จากนั้นเธอเห็น ถงจาหัวหน้าเผ่าถง จะหยิบคันธนูยาวออกจากหลังของเขา พร้อมกับเล็งลูกศรขึ้นไปบนท้องฟ้า ขนมแผ่นนั้นถูกโยนขึ้นสู่ท้องฟ้า หัวหน้าเผ่าดึงคันธนูจนสุดแล้วปล่อยลูกศรพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว 3 ครั้งติด
ลูกศรแรกพุ่งทะลุกลางแผ่นขนม ลูกศรที่สองพุ่งตามไปชนหางลูกศรอันแรก ทำให้ขนมแผ่นนั้นลอยไปไกลกว่าเดิม ลูกศรที่สามก็เช่นเดียวกัน ผลักขนมแผ่นใหญ่นั้นให้สูงขึ้นไป
เมื่อขนมตกลงบนพื้นทันทีที่มันร่วง มีคนรีบวิ่งไปหยิบขึ้นมา ดูเหมือนว่ามีบางอย่างอยู่ในกลางขนมนั้น เขาหยิบสิ่งนั้นออกมาและเริ่มแบ่งขนมให้เด็ก ๆ ที่กรูกันเข้ามารับ
ดูเหมือนว่าขนมนี้จะมีไว้ให้เด็กๆ กินเท่านั้น เวิ่นหยุนซีเหลือบไปเห็นถงเยว่ในกลุ่มเด็กๆที่รอรับขนม
หลังจากแจกขนมเสร็จสิ้น เทศกาลมู่เซี่ยก็เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ ฝูงชนค่อย ๆ แยกย้ายกันไป เวิ่นหยุนซีเปลี่ยนชุดที่ทั้งหนักและร้อนออก แล้วล้างตัวอย่างเต็มที่
เสื้อผ้าที่เธอสวมดูสวยงามก็จริง แต่ทั้งหนาและหนักทำให้เหงื่อไหลไม่หยุด ราวกับอยู่ในซึ้งนึ่ง เธอจึงรู้สึกดีขึ้นมากหลังได้เปลี่ยนชุด
ถนนทุกสายเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ บ้านเรือนที่เวิ่นหยุนซีผ่านไปก็ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้อย่างงดงามเช่นกัน
เผ่าสุ่ยอีมีอิสระในแบบของตัวเอง ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ การสร้างบ้านเรือนที่หลากหลายรูปแบบของพวกเขา มีทั้งบ้านเสาสูง บ้านเพิงฟาง บ้านที่สร้างจากหิน หรือแม้แต่กระโจม บางแห่งยังมีบ้านต้นไม้สร้างอยู่ระหว่างต้นไม้สองต้นใหญ่ ๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสร้างยังไงให้มั่นคง ดูเหมือนจะอาศัยกันมานานแล้วด้วย เถาวัลย์บนต้นไม้ก็พันเกี่ยวเข้ากับตัวบ้าน
ชาวเผ่าสุ่ยอียังชอบดอกไม้มากอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นบ้านแบบไหน สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ พวกเขาจะปลูกดอกไม้ไว้หน้าบ้านเสมอ ดอกไม้สีสันสดใส บานสะพรั่งไปทั่ว
ทันใดนั้น กลุ่มวัยรุ่นชายประมาณ 5-6 คน ก็วิ่งเข้ามาหา โดยพยายามยื่นดอกไม้ในมือให้ถงอวิ๋น แต่ถงอวิ๋นไม่ได้สนใจและดึงเวิ่นหยุนซีเดินเลี่ยงผ่านไป เวิ่นหยุนซีหันกลับไปมองอีกครั้ง เห็นแต่พวกเขาก้มหน้าก้มตาด้วยความผิดหวัง
เวิ่นหยุนซีเอ่ยด้วยความสงสัย “มีสองดอกที่ดูสวยดีนี่ ทำไมเจ้าไม่รับล่ะ?”
ทันทีที่เธอพูดจบ มีเด็กหนุ่มสองคนวิ่งเข้ามาจากด้านหลัง และยื่นดอกไม้ให้ถงอวิ๋นอีกครั้ง เมื่อถงอวิ๋นไม่สนใจ พวกเขาก็หันมาทางเวิ่นหยุนซีและยื่นดอกไม้ให้
ดอกไม้ที่พวกเขายื่นให้นั้น เป็นดอกไม้ที่มีกลีบดอกสีขาวและเกสรสีฟ้าอ่อน กลิ่นหอมอ่อนๆ และมีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือของเธอ
เวิ่นหยุนซีกำลังจะยื่นมือไปรับ แต่ถงอวิ๋นก็ดึงเธอวิ่งหนีไปทันที
"ทำอะไรน่ะ? หรือเจ้าไม่อยากให้คนที่ตามจีบเจ้า มอบดอกไม้ให้กับข้า?" เวิ่นหยุนซีแกล้งหยอก
“เจ้าบ้าไปแล้ว นั่นคือการขอแต่งงาน ถ้าเจ้าอยากแต่งกับเขาล่ะก็ ข้าพาเจ้ากลับไปได้นะ”
เวิ่นหยุนซีได้แต่เงียบ…
…โปรดติดตามตอนต่อไป…
หากพบคำที่พิมพ์ผิด แจ้งได้เลยนะ