ตอนที่ 26 อำนาจแห่งแคว้นหลานโจว
ตอนที่ 26 อำนาจแห่งแคว้นหลานโจว
ณ หมู่บ้านชิงลั่ว
หลินหว่านหว่านเคาะประตูเบาๆ และเมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากคนในห้อง เธอจึงค่อยๆ ถือถาดน้ำชาเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวัง
ในห้องกว้างนั้นมีเพียงสองคน ชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินนั่งคู้เข่าอยู่บนเตียงไม้ไผ่เตี้ยๆ กำลังใช้มือกุมหัวและครุ่นคิดอยู่ ส่วนชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราสั้นกว่า กำลังเดินไปเดินมาในห้อง ด้วยท่าทางกระวนกระวาย
หลินหว่านหว่านวางถาดน้ำชาบนเตียงแล้วเตรียมจะออกจากห้อง แต่ถูกซูเฉียวเรียกไว้
“อาหว่าน นั่งลงฟังด้วยกันสิ”
หากเป็นเมื่อก่อน หลินหว่านหว่านคงประท้วงแล้วตื้อให้ซูเฉียวเรียกเธอว่า “หว่านหว่าน” มากกว่าเรียกแบบห่างเหินว่า “อาหว่าน”
แต่ตอนนี้เธอเพียงแค่อยากจะอยู่เงียบๆ ข้างๆ ซูเฉียวเท่านั้น
สำหรับเรื่องกลับบ้าน...ไม่ต้องพูดถึงความยากลำบาก แม้จะกลับบ้านได้จริง ก็มีแต่จะถูกครอบครัวทอดทิ้ง
ความจริงตั้งแต่วันที่เธอถูกจับตัวไป เธอก็ไม่มีบ้านให้กลับอีกแล้ว
เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ยังได้อยู่ข้างๆ พี่เฉียว มองเขามีชีวิตแต่งงานและมีลูกอย่างมีความสุข
ซูเฉียวไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติในใจของหลินหว่านหว่าน
การที่เขาเรียกเธอแบบนั้น ก็เพราะคิดว่ามันเหมาะสมมากกว่า
ทั้งสองคนนี้เป็นเพื่อนบ้านกัน เขาอายุมากกว่าเธอ 3 ปี ตั้งแต่เด็กเขาก็มองหลินหว่านหว่านเป็นน้องสาวมาตลอด และมุ่งมั่นกับการสอบ ตำแหน่ง จอหงวน เป็นหลัก
หลังจากถูกเนรเทศมายังแคว้นหลานโจว ก็ยิ่งไม่มีเวลามาสนใจเรื่องความรักใคร่เหล่านี้
เขายังเข้าใจความรู้สึกของหลินหว่านหว่านที่มีต่อเขาเป็นอย่างดี แต่หลายๆอย่าง ก็บังคับกันไม่ได้
เขาเห็นว่าเป็นเพียงความผูกพันแบบพี่น้อง ไม่มีทางเกิดเป็นความรัก แบบคู่รักขึ้นได้
ดังนั้น การรักษาระยะห่างที่เหมาะสม จึงเป็นการปกป้องหลินหว่านหว่านในอีกทางหนึ่ง
เผิงซูหยิบถ้วยน้ำขึ้นจิบ กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ปลายจมูกช่วยบรรเทาความกังวลของเขาไปได้บ้าง จากนั้นเขาก็เลิกเดินวนไปวนมา และนั่งลงตรงข้ามกับซูเฉียว
"ยังไม่มีข่าวจากแม่นางเวิ่นเลยหรือ?"
ซูเฉียวส่ายหัว แสดงสีหน้าสงบนิ่ง “เผิงซู ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องเวิ่นหยุนซีหรอก นางฉลาดลื่นเหมือนปลา คนทั่วไปทำอะไรนางไม่ได้หรอก”
เผิงซูกัดฟันแน่น เสียงนั้นดังลอดออกจากไรฟัน “ข้าไม่ได้กังวลเกี่ยวกับนาง ข้าอยากให้นางกลับมาจัดการปัญหาให้ข้าต่างหาก!”
วันแรกที่เขามาถึงหมู่บ้านชิงลั่ว เขาก็รู้แล้วว่าบทกลอนไว้สำนวนที่ซ่อนความหมาย มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล และเขาก็สงสัยว่า จางชุนจ่างและพรรคพวกไม่ใช่คนดีมีเจตนาชั่วร้าย
เดิมทีเขาคิดจะเฝ้าดูสถานการณ์ไปก่อนสักระยะ เขาไม่คิดว่าเวิ่นหยุนซีจะลงมือเร็วขนาดนี้
เมื่อไม่มีทางเลือก เขาจึงต้องร่วมมือกับนาง แต่ยิ่งขุดลึกเข้าไป ความลับยิ่งมากขึ้น ไม่เพียงแต่เกี่ยวพันกับชนเผ่าจันหยูซู แต่ยังรวมไปถึงขุนนางบางคนที่อยู่ไกลถึงแคว้นฉิงโจว
ตอนแรกเขาคิดว่า จางชุนจ่างและพรรคพวกแค่ค้าขายชาวฮั่น ไปเป็นทาสเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าในแคว้นฉิงโจวจะมีเส้นทางลักพาตัวและขายสตรีด้วย
ตอนนี้พรรคพวกของจางชุนจ่างถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าใครฆ่าพวกมันไปหลายคน
หากคนที่ค้าขายกับจางชุนจ่างจากต้นน้ำมาเจอเข้า คนในหมู่บ้านชิงลั่วจะไม่มีใครหลุดพ้นจากความเกี่ยวข้องนี้ไปได้เลย
ไม่น่าเลยที่ข้าจะรับตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านนี้!
ยังไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลย กลับต้องมารับเคราะห์ก้อนใหญ่เสียก่อน
ส่วนเวิ่นหยุนซีน่ะหรือ นางกลับทิ้งปัญหากองโตไว้แล้วหนีไปเสียอย่างนั้น
ซูเฉียวยื่นถ้วยน้ำที่วางอยู่ข้างหน้าไปให้เผิงซู “เผิงซู ท่านอย่าพึ่งร้อนใจไป เวินหยุนซีไม่ใช่คนแบบนั้น พวกที่อยู่ต้นน้ำในการค้าขายนี้คงยังไม่รู้เรื่องเร็วขนาดนั้น อย่างน้อยพวกเรายังมีเวลา หนึ่งเดือน”
ชาวฮั่นในแคว้นหลานโจวนั้นมีน้อยมาก นอกจากคนที่ถูกเนรเทศมาที่นี่เมื่อ 5 ปีก่อนแล้ว ก็มีเพียงพวกที่ถูกเนรเทศตามมาในภายหลังอีกไม่กี่สิบคน รวมแล้วทั้งหมดก็ไม่ถึง 2,000 คน
ในขณะที่เผ่าจันหยูซู เป็นผู้ที่ปกครองแคว้นหลานโจว ต่อให้ยึดเอาทรัพย์สินของชาวฮั่นไปต่อหน้าต่อตา แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดขวาง
และเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับชาวฮั่น พวกเขาจึงต้องแอบทำเรื่องพวกนี้อย่างลับๆ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ชาวฮั่นในแคว้นหลานโจวยังพอมีที่ยืนได้อยู่
เผิงซูสูดลมหายใจเข้าลึก บังคับตัวเองให้สงบลง สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือการแก้ปัญหา
“ก็ได้ เรายังมีเวลาอีกหนึ่งเดือน แล้วเจ้าคิดว่าเราจะทำอะไรเพื่อเอาตัวรอดได้บ้าง?”
ซูเฉียวยังคงมองออกไปทางขอบฟ้าที่อาทิตย์กำลังลับขอบทุ่งหญ้า เขาไม่สนใจการโต้เถียงกันระหว่างหลิวจงกวนและผู้บัญชาการฟางซ่งหลินที่เพิ่งมาถึงอยู่ด้านนอก
จากนั้นก็ค่อยๆวาดวงกลมขนาดใหญ่ ’‘นี่ี่คือเผ่าจันหยูซู’‘ และเขาก็วาดวงกลมเล็กๆอีก 20 วง ซูเฉียวชี้ไปที่วงกลมขนาดกลางแล้วพูดต่อกับเผิงซู ’’นี่คือเผ่าสุ่ยอี‘‘
เขาวาดเส้นแบ่งกลางระหว่างทั้ง2เผ่า ‘’เมื่อ 2 ปีก่อน ข้าถามชาวบ้านในเมืองเฮยซื่อ พวกเขาเล่าว่า เผ่าจันหยูซูและเผ่าสุ่ยอีต่อสู้กันมานานหลายปี จนกระทั่งเผ่าสุ่ยอีพ่ายแพ้และถูกบีบบังคับจากเผ่าจันหยูซูมาถึงทุกวันนี้‘‘
ซูเฉียวพูดต่ออีกว่า ’’ทางออกเดียวของเผ่าสุ่ยอีคือการโค่นเผ่าจันหยูซู เพื่อต้องการเป็นอิสระ‘‘
เผิงซู พยักหน้าอย่างเข้าใจ
แน่นอนว่าเขาเข้าใจเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี และถามซูเฉียวอีกว่า ‘‘จะไม่เสี่ยงอันตรายไปหน่อยหรอ หากพวกเราต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทั้ง 2 เผ่านี้’‘
ซูเฉียวส่ายหัว เนื่องจากเขาชอบพูดคุยเรื่องปัญหาต่างๆ กับเวิ่นหยุนซีอย่างตรงไปตรงมา ‘’เวิ่นหยุนซีจะได้รับผลประโยชน์มากมายจากการไปหาเผ่าสุ่ยอีในครั้งนี้ และนางจะสามารถทำให้เผ่าอื่นๆ มาเข้าร่วมได้อย่างแน่นอน‘’
ซูเฉียววาดวงกลมล้อมรอบวงเล็กๆเหล่านี้ให้กลายเป็นวงใหญ่อีก 1 วง และวาดวงกลมเล็กๆ ข้างๆ
เขาพูดต่อ ‘‘กองกำลังทั้ง2เผ่าจะต่อสู้กัน จนอาจเหลือเพียงฝ่ายเดียว หรือไม่ก็ อาจจะกลายเป็น 3 ขั้วอำนาจ’’ ซูเฉียวชี้ไปที่วงกลมเล็กๆ ที่พึ่งวาดขึ้นมาข้างๆนั้น
’‘และกองกำลังของฝ่ายที่3 ข้าหมายถึง อ๋องหลิน นั่นเอง‘’
’’เอ่อออ…ซูเฉียว ความคิดของเจ้ายังตื้นเกินไป‘‘
เผิงซูยิ้มอย่างฝืนๆและส่ายหัว เขาลบวงกลมวงเล็กข้างๆนั้นออก แล้วพูดว่า ‘‘อ๋องหลิน สุขภาพก็ไม่ค่อยแข็งแรง แล้วเจ้าคิดว่ากองกำลังของเขาจะแข็งแกร่งได้อย่างไรกัน‘’
อ๋องหลิน ที่กำลังถูกพูดถึงอยู่นั้น เขานั่งอยู่บนเก้าอี้และเอนหลังมองดูพระอาทิตย์กำลังตก เห็นได้ชัดว่านี่เป็นฤดูร้อน
’‘องค์ชาย เชิญเข้าไปข้างในเถอะ ข้างนอกนี้อากาศชื้นแล้ว‘‘
หลิวจงกวนที่สวมเสื้อผ้าตัวหลวมและบางเฉียบ แต่เขากระชับคอเสื้อขนจิ้งจอกของอ๋องหลินให้แน่นขึ้น เพราะกลัวว่าอากาศชื้นจะถูกลมพัดเข้าไป
อ๋องหลิน ส่ายหัว และนั่งมองดูก้อนเมฆสีแดงที่ปลายทุ่งหญ้าต่อไป
“หลิวจงกวน ข้าอยากไปดูเองให้แน่ชัดกว่านี้ แต่ข้าเอง ก็เหลือเวลาไม่มากนัก”
หลิวจงกวนรีบก้มหัวหมอบกราบ 3ครั้ง “องค์ชาย อย่าพูดจาเช่นนั้น ท่านเป็นองค์ชายที่มีอายุยืนยาว และท่านจะใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข”
อ๋องหลินยิ้ม เขารู้สภาพร่างกายของตัวเองดี
องค์จักรพรรดิ ผู้เป็นพ่อของเขา สั่งให้ใครบางคนวางยาพิษเย็นใส่เขา
เขาควรต้องตายระหว่างทางที่โดนเนรเทศไปนานแล้ว ถ้าหากว่าเขาไม่ได้พบกับเวิ่นหยุนซี เขาคงไม่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้ได้แน่
แม้เวิ่นหยุนซีที่ช่วยเขาไว้ในครั้งนั้น ก็ยังถอนพิษเย็นนี้ไม่ได้ ทุกวันนี้เขาถูกระงับความเจ็บปวดจากพิษไว้ด้วยเข็มเงินและยารักษาโรคตามอาการเท่านั้น
เมื่อพิษเข้ากระแสเลือดและไหลไปสู่หัวใจเขาอีกครั้ง เขาคงไม่มีชีวิตรอดอีกแน่นอน
ผู้บัญชาการฟางซ่งหลินเดินเข้าไป และเห็นสถานการณ์นี้ เขาจ้องมองไปยังหลิวจงกวน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “ท่านหลิวจงกวน โปรดดูแลท่านอ๋องหลินด้วย”
หลิวจงกวน เมื่อได้ยินดังนั้น จึงหันไปมองฟางซ่งหลินด้วยสายตาดุเดือดในทันที
อ๋องหลินต้องการพักผ่อน ดูพระอาทิตย์ตกอยู่ด้านนอก เขาจึงทำได้เพียงพูดจาโน้มน้าว แทนที่จะขู่บังคับให้อ๋องหลินกลับเข้าด้านในได้
อ๋องหลิน เมินเฉยต่อการทะเลาะกันของทั้งคู่แล้วถามว่า “สถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ฟางซ่งหลินได้แต่ถอนหายใจ พร้อมชี้แผ่นกระดาษที่มีแผนที่อยู่
แคว้นหลานโจวล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งสามด้าน ส่วนด้านทิศใต้ติดกับทะเล แต่พื้นที่ชายฝั่งกลับถูกควบคุมโดยเผ่าจันหยูซูและพันธมิตรของพวกเขา ถูกใช้เป็นประโยชน์สำหรับชนเผ่าจันหยูซูเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
จากชายฝั่งเข้าไปด้านใน มีชนเผ่าใหญ่น้อยกระจัดกระจายกันอยู่มากกว่า 20 เผ่า ซึ่งผู้บัญชาการฟางได้ใช้เครื่องหมายสี่เหลี่ยมในการกำหนดตำแหน่งเหล่านี้บนแผนที่ แต่มีบางจุดที่เขาใช้สัญลักษณ์วงกลมแทน
ไม่ทันที่อ๋องหลินจะเอ่ยถาม ผู้บัญชาการฟางก็ชี้ไปที่แผนที่และอธิบายทันที
“เผ่าจันหยูซูมีดินแดนสองแห่ง ข้างล่างสุดทางขวาคือถิ่นฐานเดิมของพวกเขา ส่วนตรงกลางนี้คือพื้นที่ค้าขายของชนเผ่าต่างๆ ซึ่งในตอนนี้คือเมืองเฮยซื่อ ที่ปัจจุบันถูกเผ่าจันหยูซูยึดครองไปแล้ว”
หลังจากพูดถึงเผ่าจันหยูซูเสร็จ เขาก็เลื่อนนิ้วไปยังพื้นที่ข้างเคียง
“ที่นี่คือถินฐานของเผ่าสุ่ยอี ในกลุ่มชาวฮั่นมีข่าวลือว่า เผ่านี้กินเนื้อคนและซื้อขายทาสของชาวฮั่น”
อ๋องหลินหัวเราะเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจมากว่า
“เผ่าสุ่ยอี เคยเป็นศัตรูกับ เผ่าจันหยูซู ใช่ไหม”
ผู้บัญชาการฟางพยักหน้าแสดงความเห็นด้วย ถึงเขาจะดูหมิ่นพฤติกรรมของเผ่าจันหยูซูที่ใส่ร้ายป้ายสีศัตรูของตนเอง แต่ข่าวลือเรื่องเผ่าสุ่ยอีก็มีหลายเรื่องที่ยังพิสูจน์ไม่ได้
“แย่แล้ว แม่นางเวิ่น…พวกเขาจะไม่ตกอยู่ในอันตรายหรือ”
หลิวจงกวนมองดูวงกลมเล็กๆ สุดท้ายที่อยู่ระหว่างเผ่าสุ่ยอีและเผ่าจันหยูซู จึงร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก
อ๋องหลินกำหมัดแน่นจนมือเย็นชา รีบสั่งการทันทีว่า
“ส่งคนไปปกป้องนาง”
…โปรดติดตามตอนต่อไป…
หากพบคำที่พิมพ์ผิด แจ้งได้เลยนะ