ตอนที่แล้วบทที่ 3 สวี่เหยียนผู้มุมานะในการฝึกฝน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 5 การฝึกผิวสำเร็จแล้ว (ขอติดตามต่อด้วยนะครับ)

บทที่ 4 สวี่เหยียนกับการตีความไปเอง


ฟ้ายังไม่ทันสว่าง สวี่เหยียนก็ยืนท่านั่งม้าพร้อมฝึกฝนแล้ว

“อาจารย์บอกว่า ต้องเน้นการตระหนักรู้และเจตจำนง ไม่ใช่ท่วงท่า รับรู้พลังเลือดลม ควบคุมพลังเลือดลม และฝึกฝนผิวหนังให้แข็งแกร่ง...”

“ยอดคนโบราณสามารถฝึกฝนขั้นการฝึกผิวได้สำเร็จภายในห้าวัน แต่ข้าจนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถรับรู้พลังเลือดลมได้ ความแตกต่างนี้ช่างใหญ่หลวงนัก อาจารย์บอกว่าห้ามใจร้อน ยิ่งใจร้อนยิ่งยากที่จะรับรู้พลังเลือดลม...”

สวี่เหยียนจึงสงบจิตใจ ตั้งสมาธิให้มั่นและพยายามรับรู้พลังเลือดลมภายในร่างกายอย่างละเอียด

ฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อย

เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า สวี่เหยียนที่จมอยู่ในสมาธิและพยายามรับรู้พลังเลือดลม ก็รู้สึกเหมือนมีกระแสน้ำอุ่นไหลเวียนอยู่บริเวณหน้าอกและท้อง มันเป็นความอุ่นบาง ๆ ที่ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวตามลมหายใจของเขา

“พลังเลือดลม!”

“ข้ารับรู้พลังเลือดลมได้แล้ว!”

ในขณะนั้น สวี่เหยียนรู้สึกตื่นเต้นอย่างที่สุด

“ต้องสงบจิตใจ ต้องทำให้ใจเย็น ห้ามตื่นเต้นจนเกินไป...”

“ข้าต้องควบคุมพลังเลือดลมเพื่อฝึกฝนผิวหนัง... แต่จะควบคุมยังไง? อาจารย์ไม่ได้บอกวิธีไว้อย่างละเอียด ข้าควรไปถามอาจารย์ดีไหม?”

“ไม่ได้! อาจารย์บอกแล้วว่า การฝึกยุทธเน้นที่การตระหนักรู้และเจตจำนง ข้าต้องยึดมั่นในความรู้สึกนี้ไว้ หากคลายความตั้งใจไปแล้ว อาจจะไม่สามารถรับรู้พลังเลือดลมได้อีก...”

“และหากข้าไปถามอาจารย์ถึงวิธีควบคุมพลังเลือดลม คงทำให้อาจารย์ผิดหวัง คิดว่าข้าไม่มีความสามารถในการตระหนักรู้”

สวี่เหยียนคิดได้เช่นนั้น จึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะไปขอคำแนะนำจากหลี่เสวียน

เขายืนท่านั่งม้าต่อไป พยายามควบคุมพลังเลือดลมและฝึกฝนผิวหนังไปพร้อมกับระลึกถึงคำแนะนำของหลี่เสวียนในการควบคุมพลังเลือดลม

สมาธิทั้งหมดของเขาจดจ่ออยู่ที่การควบคุมพลังเลือดลม ร่างกายของเขาเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ลมหายใจของเขาเปลี่ยนไปตามจังหวะการควบคุมพลังเลือดลม จนกระแสพลังเลือดลมเริ่มแผ่กระจายไปทั่วร่าง ผิวหนังของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงจาง ๆ ราวกับมีกระแสน้ำอุ่นกำลังฝึกฝนผิวหนังของเขาอยู่

“นี่น่าจะถือว่าเป็นการเข้าสู่ขั้นตอนการฝึกผิวแล้วใช่ไหม?”

สวี่เหยียนรู้สึกตื่นเต้นมาก ในที่สุดเขาก็รับรู้พลังเลือดลมได้ และสามารถควบคุมพลังเลือดลมเพื่อฝึกฝนผิวหนังได้สำเร็จ

...

หลี่เสวียนหาวออกมา ก่อนจะลุกขึ้นล้างหน้าและออกไปเตรียมทำอาหารเช้า

ในหมู่บ้านนี้เหลือเพียงเขาคนเดียว การใช้ชีวิตพึ่งพาตัวเองกลายเป็นเรื่องปกติไปนานแล้ว

ทันทีที่ออกจากบ้าน เขาก็เห็นสวี่เหยียนกำลังยืนท่านั่งม้าฝึกฝนอยู่ มุมปากของหลี่เสวียนกระตุกขึ้น เขาคิดในใจว่า ศิษย์ผู้นี้มุมานะจริง ๆ เสียแต่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์

วิชาฝึกยุทธนี้ข้าแค่สร้างเรื่องขึ้นมา ต่อให้ฝึกฝนอย่างไรก็ไม่มีทางสำเร็จหรอก

“รอให้เขาฝึกไม่ไหวแล้วมาถามข้า ข้าจะคิดอะไรเพิ่มมาหลอกเขาต่อไป”

หลี่เสวียนส่ายหัวและเดินจากไป

สวี่เหยียนเมื่อเห็นอาจารย์ รู้สึกตื่นเต้นมาก กำลังจะบอกอาจารย์ว่าเขารับรู้พลังเลือดลมได้แล้ว

เขาเข้าสู่ขั้นการฝึกผิวแล้ว!

แต่เมื่อเห็นอาจารย์ส่ายหัว เขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

“อาจารย์คงไม่พอใจข้าหรือ?”

“แน่นอนสิ ด้วยระดับพลังของอาจารย์ คงไม่มีทางที่ท่านจะไม่รู้ว่าข้าเข้าสู่ขั้นการฝึกผิวแล้ว ท่านคงเห็นว่าข้ารีบร้อนและอวดดีจนเกินไปสินะ”

หลังจากคิดไปเองแล้ว สวี่เหยียนก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะบอกอาจารย์ว่าเขารับรู้พลังเลือดลมและเข้าสู่การฝึกผิวได้แล้ว

เขาสูดหายใจลึก และสงบใจเพื่อกลับไปฝึกฝนต่อ

“อาจารย์ลึกล้ำยิ่งนัก เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าข้าฝึกได้ถึงไหนแล้ว ข้าไม่ควรหลงตัวเอง หรือบอกเล่าความสำเร็จให้ท่านฟัง อาจารย์รู้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ”

สวี่เหยียนคิดได้เช่นนั้น จึงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องบอกให้อาจารย์รับรู้ว่าเขาฝึกฝนไปถึงไหนแล้ว

ในขณะที่หลี่เสวียนจับไก่มาตัวหนึ่งเพื่อเตรียมทำซุปไก่กับเห็ดหยวนจือ เขารู้สึกว่าเมื่อวานหลังจากได้กินซุปไก่กับเห็ดหยวนจือ ร่างกายของเขาดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้น

หลี่เสวียนหยิบมีดขึ้นมาเตรียมฆ่าไก่

แต่จู่ ๆ ก็หยุดคิด “เดี๋ยวนะ ข้ามีศิษย์นี่นา ทำไมต้องเป็นข้าที่มาคอยทำอาหารให้ศิษย์ด้วย ในเมื่อเขาเป็นศิษย์ของข้า ก็ควรจะเป็นเขาที่ทำอาหารให้ข้าสิ!”

“ยังไงข้าก็หลอกเขาไปแล้ว ให้เขามาคอยรับใช้ข้า มันก็ดูสมเหตุสมผลดีนี่นา?”

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็เดินถือไก่และมีดไปหาสวี่เหยียน

“ศิษย์เอ๋ย จงฆ่าไก่ตัวนี้และต้มกับเห็ดหยวนจือ ทำอาหารเถอะ”

สวี่เหยียนหยุดฝึกและรับไก่กับมีดจากมือของหลี่เสวียนด้วยความงุนงง

“อะไรนะ เจ้าทำอาหารไม่เป็นหรือ?”

หลี่เสวียนเห็นสวี่เหยียนยืนนิ่งจึงขมวดคิ้ว

“จริงด้วยสิ สวี่เหยียนเป็นคุณชายจากตระกูลร่ำรวย จะทำอาหารไม่เป็นก็ไม่แปลก”

ถึงอย่างนั้น ในเมื่อรับมาเป็นศิษย์แล้ว จะไม่ใช้ประโยชน์เลยก็เสียดาย

“ศิษย์ ไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ว่าจะนั่งหรือเดิน รวมถึงการกินและการนอน ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกยุทธ แม้เจ้าจะยังไม่เข้าสู่หนทางยุทธ แต่การเริ่มต้นฝึกฝนกิจวัตรประจำวันล่วงหน้าก็ถือเป็นการเตรียมตัวที่ดี”

หลี่เสวียนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ขอรับ อาจารย์!”

สวี่เหยียนตอบรับด้วยความเคารพ

“ระดับพลังของอาจารย์ช่างสูงล้ำจริง ๆ การทำเรื่องพื้นฐานธรรมดา ๆ แต่กลับมีแฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง นี่แหละคือวิถีของยอดฝีมือที่ซ่อนตัว!”

ยิ่งสวี่เหยียนคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าอาจารย์ของเขานั้นลึกลับมาก การทำเรื่องธรรมดา ๆ กลับแฝงไปด้วยปริศนาของวิถียุทธ นี่แหละคือยอดฝีมือที่แท้จริง!

สวี่เหยียนจึงเดินไปทำอาหาร

หลี่เสวียนรู้สึกไม่สบายใจนัก จึงนั่งเฝ้าดูสวี่เหยียนทำอาหารไปด้วย เห็นว่าแม้จะไม่คล่องแคล่วแต่เขาก็สามารถทำได้ตามคำแนะนำ จึงวางใจได้ว่ามื้ออาหารนี้คงพอกินได้

จากนั้นเขาก็ลากเก้าอี้ไปวางใต้ต้นไม้หน้าบ้าน นอนเอกเขนกอย่างสบายใจ รอให้อาหารเสร็จ

“มีศิษย์คอยรับใช้ ชีวิตแบบนี้ก็ไม่เลวเลยนะ”

“ดูจากความคิดของสวี่เหยียนแล้ว คงไม่รู้ตัวว่าโดนหลอกในเร็ว ๆ นี้แน่ แต่ข้าก็ต้องเตรียมทางหนีไว้ล่วงหน้าเหมือนกัน...”

หลังจากมื้ออาหารผ่านไป

สวี่เหยียนกลับไปฝึกฝนต่อ

“นี่... ความเร็วในการฝึกฝนผิวหนังเพิ่มขึ้น พลังเลือดลมแข็งแกร่งขึ้นอย่างน้อยห้าส่วน...”

“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้จะไม่สามารถฝึกผิวสำเร็จภายในห้าวัน แต่คงสำเร็จได้ภายในหนึ่งเดือน”

สวี่เหยียนรู้สึกถึงความเร็วในการฝึกฝนที่เพิ่มขึ้น จึงรู้สึกตื่นเต้นมาก

“ทำไมความเร็วในการฝึกถึงเพิ่มขึ้นกะทันหันเช่นนี้? หรือว่า...”

เขาคิดถึงซุปไก่ต้มเห็ดหยวนจือ!

เห็ดหยวนจือเก้าใบนั้นเป็นยาวิเศษที่หาได้ยาก แม้แต่ในตระกูลของเขายังมีแค่ชิ้นนี้ชิ้นเดียว หากเขาไม่ใช่ลูกคนเดียวที่พ่อแม่รักมาก ก็คงไม่ได้รับเห็ดหยวนจือชิ้นนี้มาเป็นของขวัญฝากตัวเป็นศิษย์แน่

“อาจารย์!”

ในขณะนั้น สวี่เหยียนรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง

“อาจารย์รู้ว่าเห็ดหยวนจือเก้าใบจะช่วยให้ข้าฝึกฝนได้ จึงนำมาต้มซุปให้ข้ากิน!”

“ข้าไม่อาจทำให้อาจารย์ผิดหวัง ข้าต้องฝึกฝนอย่างหนักและเข้าสู่หนทางยุทธให้ได้โดยเร็ว!”

สวี่เหยียนที่ตีความไปเองยิ่งรู้สึกซาบซึ้งในใจต่ออาจารย์เหมือนดั่งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เขารู้สึกตื้นตันอย่างที่สุด

เขาจึงควบคุมพลังเลือดลมต่อไปอย่างมุ่งมั่น ฝึกฝนผิวหนังอย่างไม่ลดละ

เมื่อฝึกฝนไปเรื่อย ๆ สวี่เหยียนรู้สึกว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้น พลังเลือดลมก็เพิ่มมากขึ้น ผิวหนังเริ่มแข็งแกร่งราวกับว่าเขาเข้าสู่ขั้นตอนการฝึกผิวแล้ว

“ข้ารู้สึกว่าพละกำลังเพิ่มขึ้นกว่าหนึ่งเท่า นี่เพิ่งจะเป็นเพียงขั้นตอนเริ่มต้นของการฝึกผิวเท่านั้น หากข้าฝึกฝนขั้นนี้จนสมบูรณ์ กำลังของข้าจะมากขนาดไหนกัน?”

“ข้าต้องเข้าสู่หนทางยุทธให้ได้ภายในหนึ่งปี!”

สวี่เหยียนตั้งใจแน่วแน่

“ผลของเห็ดหยวนจือนี่ดีมาก ข้ารู้สึกว่าพลังของข้าเพิ่มขึ้น”

“ข้าควรจะเก็บไว้กินเองดีไหม? แต่ช่างเถอะ อย่างน้อยมันก็เป็นของขวัญที่สวี่เหยียนให้มา แบ่งกันกินก็คงดีกว่า จะเห็นแก่ตัวเกินไปก็ไม่ได้!”

หลี่เสวียนรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เขาเกิดความคิดจะเก็บเห็ดหยวนจือไว้กินเอง แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดนั้น

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด