บทที่ 38
ความคิดของซ่งซานเฉินเกี่ยวกับสภาพอากาศนั้นถูกต้องจริงๆ
ทั้งสามเพิ่งจะโรยปุ๋ยเสร็จในสวนชานี้ ฝนฤดูใบไม้ผลิก็โปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย พ่อและลูกสาวจึงต้องรีบเดินกลับบ้านด้วยความรวดเร็ว มีเพียงเฉียวเฉียวเท่านั้นที่กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข
"ฝนตกหนักแล้ว! "
โชคดีที่ตลอดทางเป็นเนินเขาและต้นไม้หนาแน่น จึงปกคลุมพอให้พวกสามารถใช้กำบังเม็ดฝนได้ เมื่อกลับถึงบ้านก็ไม่ได้เปียกมากนัก
ซ่งถานนึกถึงสวนชานั้น ที่เธอฟื้นพลังจิตวิญญาณให้พวกมันเจริญงอกงามได้ไวยิ่งขึ้น
"พ่อ หนูคิดว่าอีกไม่กี่วันก็จะสามารถเก็บใบชาได้แล้ว ปีนี้ต้องจ้างคนมาช่วยนะคะ เรามีกันอยู่แค่คนสองคนไม่น่าจะไหว ถ้าเก็บไม่ทันก็จ้างคนมาเถอะ"
"จะจ้างคนมาทำไม" อู่หลานรู้สึกว่าต้องคอยจับตาดูลูกสาวคนนี้ให้ดี ใช้เงินไม่คิด
ใบชาขายได้ราคาเท่าไหร่กันเชียว จ้างคนมาถูกแค่ไหน อย่างน้อยก็ต้องวันละ 200 หยวน
แต่ซ่งถานกลับรู้สึกว่าแม่ของเธอยังไม่เปลี่ยนความคิด "แม่ ผักหนูขายได้ 30 หยวน ยอดดอกถั่วม่วงหนูก็ขายได้ 30 หยวน ทำไมแม่ถึงไม่คิดว่าหนูจะขายใบชาในราคา 3,000 หยวนไม่ได้บ้าง"
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ต่อให้คนงานที่มีทักษะเชี่ยวชาญสักคนหนึ่ง ในช่วงที่ใบชาเจริญงอกงามที่สุด ก็จะเก็บกันได้เพียง 3-4 กิโลกรัมต่อวันเท่านั้น และที่สำคัญในใบชา 4 กิโลกรัมนี้ก็จะได้เป็นใบชาแห้งเหลือเพียง 1 กิโลกรัม ตีราคาขายก็ได้เพียง 400 - 500 หยวน ซึ่งแน่นอนว่าไม่คุ้มค่า
แต่ปัญหาคือตอนนี้ราคาไม่เหมือนเดิมแล้วนี่…
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของใบชาฤดูใบไม้ผลิมีเพียง 20 กว่าวันเท่านั้น ผ่านช่วงเทศกาลเช็งเม้งไปแล้วก็จะแย่ลงมากกว่าเดิมอีก แน่นอนว่าต้องรีบเก็บเกี่ยว
อู่หลานคิดทบทวน เธอมั่นใจในตัวลูกสาวของเธอ แต่ไม่มั่นใจว่าใบชาในท้องถิ่นจะขายได้ราคาถึง 3,000 หยวนต่อกิโลกรัมเชียวเหรอ แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ก็ก่อนหน้านี้ดันไปตกลงกันแล้วว่าจะให้ลูกสาวจัดการบริหารเรื่องงานในไร่ทั้งหมด
เธอลังเล "ไม่ต้องจ้างคนมาหรอก แม่กับพ่อและปู่ย่าของหนูก็ช่วยกันได้ สวนชาของเราก็มีแค่ผืนเดียวเองลูก"
ซ่งถานเริ่มนับนิ้ว "ช่วงเก็บใบชาเรายังต้องดูแลเรื่องการเพาะเมล็ดและเพาะต้นกล้าด้วยนะคะ ไก่ เป็ด ห่าน หมูหลังบ้านก็ต้องมีคนดูแลนะ เห็ดหูหนูในสวนเกาลัดไม่ต้องดูแลเหรอ ยอดดอกถั่วม่วงที่เก็บมาทุกวันก็ต้องจัดการด้วยนะ"
"แม่ ตอนนี้หนูรู้สึกว่าลำพังคนในครอบครัวเราไม่พอแล้ว ถ้าพวกเราไปเก็บใบชากันหมด หนูคงต้องแยกร่างได้แล้วไหมถึงจะจัดการทุกอย่างหมดได้"
ด้วยความเข้มข้นของจิตวิญญาณบริเวณรอบๆ ตัวในปัจจุบัน เธอมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ แต่ก็คงต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายสิบปี
อู่หลานเมื่อได้ยินแบบนั้นเธอก็พูดไม่ออก
ยิ่งพอคิดถึงเงินที่ได้จากการขายผักในปีนี้ ก็คงเพียงพอสำหรับค่าแรงอยู่บ้าง
จึงตัดสินใจ "ได้ แม่จะปรึกษากับพ่อดู"
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น โทรศัพท์สายหนึ่งก็เข้ามาแทรกพอดี ซ่งซานเฉินจึงปลีกตัวไปรับโทรศัพท์และคุยกับคนอื่นอยู่ครู่หนึ่ง "ถานถาน เราไปดูผึ้งกันไหม ที่เมืองซงซู่"
เมืองนี้มีต้นไม้ภูเขาเยอะมาก ชาวบ้านส่วนใหญ่มีรายได้หลักจากการเก็บใบชา นอกจากนี้บนเนินเขาก็มีดอกไม้เยอะแยะมากมาย นึ่จึงอาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่พลอยทำให้มีคนขายผึ้งอยู่ในเมืองซงซู่เยอะตามไปด้วย
เมืองซงซู่ตั้งอยู่ติดกับเมืองชิงซี ไม่ไกลจากหมู่บ้านหยุนเฉียวของพวกเขา ขับรถไป 20 นาทีก็ถึง ดังนั้นหากจะเดินทาง
ไปก็คงใช้เวลาไม่นานมากนัก คิดได้ดังนั้นซ่งถานจึงรีบขับรถพาซ่งซานเฉินและเฉียวเฉียวขึ้นไปตามถนนบนแนวภูเขา เมื่อเห็นกระดานป้ายไม้แข็งแผ่นใหญ่ตั้งอยู่ริมถนน เขียนด้วยหมึกว่า ‘น้ำผึ้งป่าแท้’ ก็รู้ว่ามาถึงที่แล้ว
บ้านที่เลี้ยงผึ้งแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขา จึงไม่ได้สร้างบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนบ้านริมถนนทั่วไป ข้างๆ ยังมีการสร้างเพิงเหล็กง่ายๆ วางเป็นชั้นๆ ดูมีเสน่ห์ของชาวเขา นอกจากนี้บนพื้นที่ว่างแถวทางขึ้นหน้าบ้าน ยังมีกล่องไม้สี่เหลี่ยมวางเรียงกันเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ แสงแดดส่องทอประกาย
ด้านในกล่องไม้ที่ปกคลุมด้วยแผงกั้นรอบนอก ปีกของพวกมันสั่นสะเทือนภายใต้ขนปุยที่อ่อนนุ่ม เสียงหึ่งๆ ดังชัดเจนมาก พวกมันบินวนอยู่ต่ำๆ อย่างไม่หยุดหย่อน แต่ว่าอุณหภูมิในภูเขาตอนนี้ยังต่ำอยู่ ดอกไม้ต้นไม้ยังแทบไม่เบ่งบานสักเท่าไหร่ ทำให้พวกมันดูไร้เรี่ยวแรงเพราะขาดสารอาหาร สุดท้ายแล้วก็ได้แต่เกาะอยู่ที่ถาดตื้นๆ ภายในกล่อง
ผู้ชายคนหนึ่งที่ผมยุ่งเหยิง สวมเสื้อสเวตเตอร์สีดำเดินออกมา เมื่อเห็นครอบครัวทั้งสามคนของซ่งถานก็แสดงความกระตือรือร้นอย่างมาก
"ซ่งซานเฉิน มาแล้วรึ! "
"นี่ลูกชายลูกสาวของนายใช่ไหม สวยหล่อจังเลย มาสิ อยากได้ผึ้งใช่ไหม อยากได้แบบไหน ลุงจะหยิบให้ดู! "
"แต่ว่าที่นี่ฉันไม่มีผึ้งพันธุ์อิตาลี มีแต่ผึ้งพันธุ์พื้นเมืองนะ ก็คือผึ้งจีนของบ้านเราตัวเล็กๆ นี่แหละ กล่องนี้มีห้ารัง รังหนึ่งก็ประมาณสามพันตัว... ช่วงหน้าหนาวแบบนี้เลี้ยงยากนะ"
ที่เลี้ยงผึ้งเรียกว่ารัง ซึ่งผึ้งจะทำรังอยู่ด้านบน เป็นรูรูปหกเหลี่ยมเรียงเป็นแถว โดยทั่วไปแล้วรังผึ้งที่มีขนาดเท่ากัน จะมีผึ้งอาศัยอยู่จำนวนเท่าๆ กัน พวกมันมักเป็นแบบนี้เสมอ ดังนั้นกล่องจะใหญ่ไปก็ไม่ได้ เล็กไปก็ไม่ได้ อีกฝ่ายค่อนข้างซื่อสัตย์ ไม่ได้พูดอะไรชงเกินจริงเพื่อสักแต่จะขาย จึงแนะนำมาตามสมควร
ซ่งซานเฉินพยักหน้า "ไม่เป็นไรเฮีย ผมต้องการผึ้งบ้านเรานี่แหละ กล่องนี้ได้น้ำผึ้งประมาณเท่าไหร่"
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของชายวัยกลางคนก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและรอยยิ้ม "อย่าดูถูกผึ้งบ้านเราตัวเล็กๆ นะ พวกมันขยันขันแข็งกว่าผึ้งพันธุ์อิตาลีอีก ไม่เรื่องมากด้วย ถ้าช่วงที่มีดอกไม้เยอะ กล่องนี้ได้แปดสิบกิโลกรัมก็ไม่ใช่เรื่องยาก"
"แต่ถ้าดอกไม้มีน้อย พวกมันก็คงจะกินกันไม่พอก็อาจจะได้น้ำผึ้งไม่ถึงเป้าหมายนะ" เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คนขายผึ้งก็ถอนหายใจ "ช่วงหน้าหนาวปีที่แล้ว ฉันต้องอุตส่าห์ขับรถไปไกลถึงทางใต้โน่นเลย ที่นั่นดอกไม้มีเยอะ อากาศก็อบอุ่นด้วย จะให้ทำไงได้ล่ะ สองปีมานี้เศรษฐกิจมันไม่ค่อยดี การเงินก็ไม่คล่อง ก็เลยต้องพยายามเลี้ยงพวกมันให้ดีๆ หน่อยเผื่อน้ำผึ้งจะได้ถึงเป้า ฉันกังวลใจมาตลอดช่วงหน้าหนาวเลยนะรู้ไหม ดูสิ ต้องคอยให้น้ำหวานพวกมันตลอด ไม่งั้นพวกมันจะอยู่ไม่ได้"
"ซ่งซานเฉิน พวกเราเป็นคนบ้านเดียวกัน ฉันจะไม่ปิดบังนาย ราคาผึ้งช่วงต้นปีแพงกว่าปกติอยู่แล้ว กล่องนี้ปกติฉันขายหนึ่งพันสองร้อยหยวน แต่ถ้าหากนายอยากได้จริงๆ หนึ่งพันหยวนก็ได้ ฉันไม่ได้ปิดบังเรื่องให้น้ำหวานพวกมันแล้วนะ มันก็แค่พอให้พวกมันอยู่ได้เท่านั้น ไม่ได้มีน้ำผึ้งติดตัวอะไรไปมากมายหรอก"
"แต่ว่าถ้ามีดอกไม้แล้ว พวกมันจะปรับตัวได้ทันที ซื้อไปแล้วไม่ขาดทุนแน่นอน! "
ก่อนหน้านี้ซ่งถานได้ตรวจสอบราคาในอินเตอร์เน็ตแล้ว ราคานี้ถือว่ายุติธรรม ตอนนี้ก็เหลือแค่ดูซ่งซานเฉิน
ซ่งซานเฉินก็ไม่รู้เรื่องผึ้งเหมือนกัน!
หลังจากคิดดูดีๆ เขาก็บอกตามตรง "ที่บ้านผมมีแปลงดอกไม้ประมาณราวๆ 14 ไร่ เฮียว่าควรซื้อกี่กล่องดี แล้วจะดูยังไงว่าผึ้งดีหรือไม่ดี"
คนขายผึ้งคิดครู่หนึ่ง "ตามหลักแล้ว ผึ้งหนึ่งกล่องต่อพื้นที่สามไร่ ที่ดินหนึ่งไร่จะได้น้ำผึ้งประมาณหกถึงเจ็ดกิโลกรัม แต่ตอนนี้ดอกไม้มีน้อย อีกอย่างพวกนายก็ไม่มีประสบการณ์ เอาสักสี่กล่องก่อนก็ได้ อืม…หรือสักสามกล่องก็คงพอแล้วมั้ง"
ส่วนเรื่องผึ้งดีหรือไม่ดี...
ต่อหน้าสายตาที่เบิกกว้างของครอบครัวซ่งทั้งสามคน เขาไม่ได้สวมถุงมือ กลับใช้มือเปล่าที่แข็งแรงไร้ความรู้สึกเปิดกล่องเลี้ยงผึ้ง แล้วดึงรวงผึ้งออกมาหนึ่งรวง
"ดูสิ ผึ้งงานขยันมาก"
จากนั้นก็หยิบผึ้งจากอีกด้านหนึ่งมาหนึ่งกำ ผึ้งขนปุยสิบกว่าตัวไต่ไปมาบนฝ่ามือของเขา บินวนต่ำๆ มีตัวหนึ่งตัวใหญ่เป็นพิเศษ
"อันนี้นี่คือผึ้งนางพญา สวยไหมล่ะ"
เฉียวเฉียวที่ยืนมองอยู่ข้างๆ เกิดความอยากรู้อยากเห็น ยื่นมือออกไป "เฉียวเฉียวก็อยากจับดู..."
คนขายผึ้งสะดุ้ง แล้วรีบนำผึ้งกลับไปใส่กล่องแทบไม่ทัน
"อย่าจับ มันต่อยเจ็บนะ ถ้าหนูจะจับต้องสวมหมวกตาข่ายและถุงมือก่อนทุกครั้ง! "