ตอนที่แล้วบทที่ 2 สร้างเคล็ดวิชาแบบมั่ว ๆ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 4 สวี่เหยียนกับการตีความไปเอง

บทที่ 3 สวี่เหยียนผู้มุมานะในการฝึกฝน


“ยืนท่านั่งม้าให้มั่นคง ปรับลมหายใจ ทำจิตใจให้สงบ ควบคุมจิตให้มั่นและรู้สึกถึงพลังเลือดลมภายในตัว...”

สวี่เหยียนยืนท่านั่งม้า ในขณะที่หลี่เสวียนให้คำแนะนำในการปรับลมหายใจ และสอนให้เขารับรู้ถึงพลังเลือดลมภายในตัว

หลี่เสวียนในขณะนั้นสั่งสอนไปตามเรื่อง พลางกล่าวว่า “วิชาฝึกยุทธที่ข้าสอนนั้น เน้นที่คำว่า ‘ตระหนักรู้’ และ ‘เจตจำนง’ ไม่ได้เน้นที่ท่วงท่า เจ้าต้องทำจิตใจให้สงบ ลืมตัวตนและโลกภายนอกไป แล้วค่อย ๆ สัมผัสถึง ‘เจตจำนง’ ที่อยู่ภายใน...”

ในเมื่อเขาแค่สร้างเรื่องขึ้นมา ก็ไม่มีท่วงท่าฝึกยุทธจริง ๆ ให้สอน คงจะไม่ได้ถึงกับสอนการออกกำลังกายพื้นฐานอะไรทำนองนั้น มันจะเสียความขลังไป

ดังนั้นเขาจึงให้สวี่เหยียนยืนท่านั่งม้า แล้วให้พยายามรับรู้พลังเลือดลมเอง

ถ้ารับรู้ไม่ได้ นั่นก็เป็นปัญหาของพรสวรรค์

ไม่ใช่ปัญหาของเคล็ดวิชาที่ข้าถ่ายทอดไป

“จะรับรู้ถึงพลังเลือดลมได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตระหนักรู้ของเจ้า หากเจ้ารู้สึกถึงพลังเลือดลมได้ ก็จงลองควบคุมมันเพื่อฝึกผิวหนังให้แข็งแกร่ง เข้าสู่ขั้นตอนการฝึกผิวหนัง...”

หลี่เสวียนสอนด้วยท่าทีเคร่งขรึม

“นี่คือพื้นฐานของวิถียุทธ ศิษย์ต้องเข้าใจว่าอาจารย์ทำได้เพียงนำทาง ส่วนการฝึกนั้นขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง จงฝึกฝนให้ดี หากเหนื่อยก็พักผ่อน อย่าฝืนเกินไป”

“ยิ่งเร่งร้อนก็ยิ่งยากที่จะรับรู้พลังเลือดลม เข้าใจไหม?”

สวี่เหยียนตอบด้วยความเคารพ “ขอรับ อาจารย์ ข้าเข้าใจแล้ว!”

“อืม จงฝึกฝนให้ดี!”

หลี่เสวียนเดินจากไป พร้อมกับเก็บของขวัญฝากตัวเป็นศิษย์อย่างมีความสุข

“เห็ดหยวนจือเก้าใบเป็นของล้ำค่า ลองต้มซุปดูน่าจะได้ผลดี!”

หลี่เสวียนคิด พลางหยิบมีดเล็ก ๆ ขึ้นมา ตัดเห็ดหยวนจือเก้าใบออกมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นไปจับไก่จากเล้า ฆ่าแล้วจุดไฟต้มซุปด้วยเห็ดหยวนจือ

“ศิษย์กำลังฝึกฝนอยู่ การเลี้ยงอาหารก็เป็นเรื่องจำเป็น ทั้งให้ของขวัญมาขนาดนี้ ถ้าข้าไม่ดูแลเรื่องอาหารคงจะใจดำเกินไปหน่อย”

หลี่เสวียนพึมพำกับตัวเอง

ระหว่างจุดไฟทำอาหาร เขาเดินไปดูสวี่เหยียนที่ยังคงยืนท่านั่งม้าอยู่ แต่ก็เริ่มโซเซ เหมือนจะยืนไม่ไหวแล้ว

ไม่นานนัก สวี่เหยียนก็ต้องหยุดพัก นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เขาหยุดพัก

“หลอกได้ก็คงต้องหลอกไปเรื่อย ๆ ข้าไม่ได้อยากหลอกเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าเป็นคนเอาตัวเองมาหาข้าเอง”

หลี่เสวียนส่ายหัวแล้วก็ไม่สนใจต่อ ยังไงคงไม่โดนจับได้ในเร็ว ๆ นี้

นอกจากนี้ การปรากฏตัวของสวี่เหยียนทำให้หลี่เสวียนเห็นโอกาสที่จะออกจากหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ บางทีเขาอาจจะสามารถเดินทางผ่านป่าอสูรร้ายได้อย่างปลอดภัย

หลี่เสวียนวางแผนไว้แล้ว หากสามารถออกจากหมู่บ้านได้ เขาจะเดินทางไปยังแคว้นอู๋

ห่างไกลจากแคว้นฉี และห่างไกลจากดินแดนตงเหอ ต่อให้สวี่เหยียนรู้ว่าโดนหลอก เขาก็จะไม่สามารถใช้ฐานะทางตระกูลมาเล่นงานเขาได้!

สวี่เหยียนกลับมาฝึกท่านั่งม้าอีกครั้ง เขาพยายามทำจิตใจให้สงบเพื่อรับรู้ถึงพลังเลือดลม

“เลือดลมอยู่ภายในร่างกาย ไหลเวียนไปทั่วร่าง จะรับรู้และควบคุมมันได้อย่างไร? อาจารย์บอกว่าต้องเน้นที่การตระหนักรู้และเจตจำนง ไม่ใช่ท่วงท่า...”

สวี่เหยียนยังคงพยายามรับรู้พลังเลือดลม แต่ที่เขาได้รับคือความปวดเมื่อยที่ขาทั้งสองข้างจากการยืนท่านั่งม้า แต่ไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย

“อย่าเพิ่งท้อแท้ เพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน หากข้ายืนหยัดต่อไป คงได้ผลลัพธ์บ้าง”

สวี่เหยียนให้กำลังใจตัวเอง พร้อมกับกลับมายืนท่านั่งม้าต่อไป

ไก่ต้มซุปสุกแล้ว

หลี่เสวียนมองไปยังสวี่เหยียนที่ยังคงฝึกฝนอยู่ จึงไม่รบกวนเขา และเริ่มกินซุปเอง

“เห็ดหยวนจือเก้าใบ ของวิเศษที่หาได้ยากยิ่ง กินแล้วไม่เจ็บป่วย ผมไม่หงอก ไม่แก่ชรา และอายุยืนขึ้นอีกยี่สิบปี... ไม่รู้ว่าข้านี่จะโอ้อวดเกินไปหรือเปล่า!”

หลังจากกินอิ่มแล้ว หลี่เสวียนก็ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่รู้สึกว่าตัวเองสดชื่นขึ้นมาก ดูเหมือนจะรู้สึกเบาตัวและมีกำลังมากขึ้น

“ยังเหลืออีกนิด เอาให้สวี่เหยียนกินบ้างดีกว่า”

เขาพึมพำก่อนจะเดินไปหาสวี่เหยียน

“เป็นอย่างไรบ้าง?”

สวี่เหยียนหยุดฝึกท่านั่งม้า สีหน้าดูหดหู่เล็กน้อยและตอบว่า “อาจารย์ ข้ายังไม่สามารถรับรู้พลังเลือดลมได้เลย”

“ไม่เป็นไร วิถียุทธนั้นต้องอาศัยความพยายามและจิตใจที่แน่วแน่”

หลี่เสวียนปลอบใจ แต่ในใจกลับหัวเราะเบา ๆ “แน่นอนว่ารับรู้พลังเลือดลมไม่ได้ ข้าสร้างเรื่องขึ้นมาเอง ถ้าเจ้ารับรู้ได้จริง ๆ ก็คงเป็นปีศาจไปแล้ว!”

“เจ้ามีเวลาฝึกอีกหนึ่งปี ตอนนี้หิวแล้วใช่ไหม ไปกินข้าวเถอะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สวี่เหยียนก็รู้สึกถึงความหิวทันที จึงกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณอาจารย์!”

“นี่คือซุปไก่ต้มเห็ดหยวนจือเก้าใบ กินซะเถอะ เป็นอาหารบำรุงกำลังชั้นดี”

“ขอรับ อาจารย์!”

สวี่เหยียนรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก เห็ดหยวนจือเก้าใบนั้นเป็นของขวัญฝากตัวของเขาเอง แต่กลับถูกอาจารย์นำมาต้มซุปให้เขากิน อาจารย์ไม่ได้สนใจในของขวัญจริง ๆ ดังที่อาจารย์กล่าวไว้ การที่เขามาที่นี่ได้ถือเป็นวาสนา!

ขณะกินข้าวและซุปไก่ สวี่เหยียนถามขึ้นว่า “อาจารย์ การรับรู้พลังเลือดลมและเข้าสู่การฝึกยุทธนั้น โดยปกติแล้วต้องใช้เวลานานแค่ไหน?”

“เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคน”

“อาจารย์ ผู้ที่สามารถเข้าสู่การฝึกยุทธได้เร็วที่สุด ใช้เวลานานเท่าใด?”

หลี่เสวียนได้ยินคำถามนั้นก็กลอกตา ในใจคิดว่า ด้วยเคล็ดวิชามั่ว ๆ ที่เขาสร้างขึ้นมา ชั่วชีวิตก็อย่าหวังว่าจะฝึกฝนสำเร็จ

“ถ้าข้ากำหนดมาตรฐานการเข้าสู่หนทางยุทธไว้ต่ำเกินไป แต่เขาฝึกไม่สำเร็จเลยจะเกิดความสงสัยหรือไม่? ข้าควรกำหนดมาตรฐานของผู้มีพรสวรรค์ไว้สูงหน่อย”

คิดได้ดังนั้นหลี่เสวียนจึงตอบว่า “ในยุคโบราณ ผู้ที่มีพรสวรรค์สามารถฝึกฝนขั้นการฝึกผิวได้สำเร็จภายในห้าวัน ภายในสิบวันก็เข้าสู่การฝึกกระดูก และในสิบห้าวันก็ฝึกฝนอวัยวะภายในจนกระดูกและเส้นเอ็นดังก้อง พลังเลือดลมพลุ่งพล่านเข้าสู่หนทางยุทธได้สำเร็จ”

“ใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือน”

สวี่เหยียนเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง

ห้าวันเพื่อฝึกฝนผิวให้สำเร็จ?

หนึ่งเดือนเพื่อเข้าสู่หนทางยุทธ?

นี่คือมาตรฐานของผู้ที่อาจารย์เรียกว่าผู้มีพรสวรรค์หรือ?

“ข้าจะสามารถฝึกฝนผิวให้สำเร็จภายในห้าวันได้หรือไม่? วันนี้ข้ารับรู้พลังเลือดลมยังไม่ได้เลย การจะฝึกฝนให้สำเร็จภายในห้าวันคงทำไม่ได้ งั้นพรสวรรค์ของข้าคงไม่ดีพอหรือ?”

สวี่เหยียนเริ่มรู้สึกกังวล

หลี่เสวียนสังเกตเห็นสีหน้าที่กังวลของสวี่เหยียน จึงพูดต่อว่า “แน่นอนว่านั่นคือผู้มีพรสวรรค์ยุคโบราณ ที่หาได้หนึ่งในหมื่น เจ้าจึงไม่ต้องเร่งรีบ เพียงแค่เจ้าสามารถฝึกฝนจนสำเร็จภายในหนึ่งปี ข้าก็ถือว่าเจ้าสอบผ่าน”

“ในสายตาอาจารย์ การฝึกฝนสำเร็จภายในหนึ่งปี ถือว่าแค่สอบผ่านเท่านั้น!”

สวี่เหยียนแววตาแน่วแน่และกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อาจารย์วางใจเถอะ ข้าจะเข้าสู่หนทางยุทธให้ได้ภายในหนึ่งปี ข้าจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง!”

หลี่เสวียนตบไหล่ของเขาและยิ้มอย่างพอใจ “เจ้ามีความตั้งใจเช่นนี้ ข้าก็ไม่เสียแรงที่รับเจ้าเป็นศิษย์”

สวี่เหยียนรู้สึกซาบซึ้งอย่างล้นเหลือ

ในขณะเดียวกันก็รู้สึกกดดันอย่างมาก เขารีบกินข้าวให้เสร็จ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “อาจารย์ ข้าจะกลับไปฝึกฝนต่อ!”

“ข้าต้องฝึกฝนให้หนัก จะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง!”

สวี่เหยียนตั้งใจอย่างแน่วแน่ แล้วรีบกลับไปยืนท่านั่งม้าเพื่อรับรู้พลังเลือดลมต่อไป

“เจ้าเด็กโง่เอ๊ย!”

หลี่เสวียนส่ายหัวและถอนหายใจ เขาไม่อยากหลอกใคร

แต่ตอนนี้มันถอยกลับไม่ได้แล้ว

นับตั้งแต่ที่เขารับของขวัญฝากตัวเป็นศิษย์และสร้างเคล็ดวิชาขึ้นมาเพื่อหลอกสวี่เหยียน หลี่เสวียนก็รู้แล้วว่าเขาจะไม่มีทางถอยกลับได้อีกต่อไป จะต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น

ฟ้าเริ่มมืดแล้ว

ก่อนนอน หลี่เสวียนออกไปดูสวี่เหยียนที่ยังคงยืนท่านั่งม้าฝึกฝนอยู่อย่างจริงจัง เขารู้สึกเป็นห่วงว่าศิษย์จะฝึกหนักเกินไปจนร่างกายอ่อนแอ

“การฝึกยุทธต้องพักผ่อนบ้าง หากฝืนมากเกินไป จะทำให้ร่างกายอ่อนแอและเกิดผลเสียต่อร่างกาย เจ้าเข้าใจไหม?”

“ขอรับ อาจารย์ ข้ารู้แล้ว!”

สวี่เหยียนตอบด้วยความเคารพ

หลี่เสวียนส่ายหัวแล้วปิดประตูกลับเข้าห้องไปนอน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด