บทที่ 22: กรน
ในขณะนี้คนทั้ง 5 ได้เข้ามาล้อมรอบตัวอันกงกงแล้วขอให้เขาพูดอีกครั้ง
ชายสูงวัยก็พูดออกไปว่า “หว่านผิน คืนนี้องค์หญิงหกจะบรรทมที่ตำหนักของฝ่าบาท ท่านไม่จำเป็นต้องรอให้องค์หญิงหกเสด็จกลับมาพ่ะย่ะค่ะ”
นางกำนัลทั้ง 4 พากันอุทานออกมาด้วยความตกใจบ้าง “อะไรนะ ฝ่าบาททรงอนุญาตให้องค์หญิงหกบรรทมที่ตำหนักส่วนพระองค์เช่นนั้นหรือ?”
อันกงกงพยักหน้า “ใช่แล้ว หว่านผิน กระหม่อมเห็นกับตาว่าฝ่าบาททรงอุ้มองค์หญิงหกไปบรรทมที่ตั่งพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาททรงอุ้มนางไปบรรทมเองเลยหรือ?”
ซูหว่านอ้าปากค้างจนกรามแทบหลุด และนางก็อุทานออกมาเหมือนกับนางกำนัลอีก 4 คน
ในวังหลังแห่งนี้ ทุกคนรู้ดีว่ามู่เทียนฉงเกลียดการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น หากฮองเฮาไม่ได้กำหนดขึ้นมาว่าให้เขาต้องเลือกไปบรรทมที่ตำหนักของพระสนมในวันที่ 15 ของทุกเดือน คงไม่มีใครมีโอกาสได้รับใช้ใกล้ชิดเขาอย่างแน่นอน
สำหรับมู่ไป๋ไป่ นางเป็นลูกสาวของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะทรงอุ้มและป้อนอาหารนาง แต่มันก็ใกล้ชิดกันเพียงชั่วครู่ แต่ตอนนี้เขาถึงขั้นอนุญาตให้องค์หญิงหกขึ้นบรรทมบนตั่งของเขาเอง
แถมเขายังเป็นคนอุ้มนางไปด้วยตัวเองอีก
มู่เทียนฉงได้ทำสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากมายกับมู่ไป๋ไป่ แม้แต่หว่านผินก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่ซ้ำ ๆ ว่าทั้งหมดนี้เป็นความฝันหรือไม่
อันกงกงยิ้มกว้างก่อนจะพูดว่า “หว่านผิน วันเวลาที่ดีของท่านกำลังจะมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหว่านยิ้มอย่างมีนัย “ข้าเองก็รู้สึกแปลกใจมากเช่นกัน…”
‘หยางฮวา’ พูดขึ้นมาอย่างดีใจว่า “ก่อนหน้านี้ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าข้าเป็นคนรับใช้ในตำหนักเย็น แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว ไม่ช้าก็เร็วหว่านผินของเราก็จะมีสถานะสูงกว่าลี่เฟย เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าจะสามารถเชิดหน้าชูคอเดินในวังหลังแห่งนี้ได้แล้ว”
และ ‘หยางเฉา’ ก็ได้พูดความในใจออกมาเช่นกัน “ข้าเองก็เหมือนกัน ข้าจำทุกคนที่คอยรังแกคนของตำหนักอวี๋ชิงของเราได้ สักวันหนึ่งข้าจะต้องเอาคืนคนพวกนั้น หว่านผิน ในที่สุดเราก็มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากเสียทีเพคะ”
ซูหว่านตบหัวของคนทั้ง 2 เบา ๆ พลางกล่าวว่า “อันกงกงยังอยู่ที่นี่ พวกเจ้าไม่รู้สึกอับอายบ้างหรืออย่างไร?”
พอหยางฮวากับหยางเฉาได้ยินดังนั้นก็ทำหน้ามุ่ย “เราอุตส่าห์มีโอกาสดี ๆ เช่นนี้ จะไม่ให้หม่อมฉันดีใจได้อย่างไรเล่าเพคะ?”
หว่านผินเลิกสนใจนางสนมทั้ง 2 และมีความสุขอยู่เงียบ ๆ
จากนั้นนางก็หันไปหาอันกงกงแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทคงจะต้องสะสางราชกิจจนมืดค่ำ เช่นนั้นข้าไม่รั้งอันกงกงไว้แล้ว ท่านกลับไปคอยรับใช้ฝ่าบาทเถิด”
“กระหม่อมขอตัวลา หว่านผิน ท่านอย่าได้กังวลเรื่ององค์หญิงหกเลยพ่ะย่ะค่ะ” อันกงกงยิ้มกว้างจนตาหยี
ซูหว่านพยักหน้าและมองส่งขันทีเดินออกจากตำหนักอวี๋ชิงไป
อันกงกงรีบกลับไปยังตำหนักเย่าเจิ้ง ระหว่างทางที่เดินกลับ เขาได้เดินผ่านห้องครัวหลวงจึงได้แวะหยิบชาติดมือมาด้วย 1 ถ้วย
หลังจากชายชรานำชามาให้ฮ่องเต้หนุ่ม เขาก็ยกมันขึ้นมาจิบ จากนั้นก็หยิบพู่กันที่เขาวางลงเมื่อครู่นี้ขึ้นมา ก่อนจะเขียนตัวอักษรที่งดงามมากลงบนกระดาษ
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังก้องอยู่ในหูของเขา
คร่อกกก! ฟี้~
มือขาวราวกับหยกของมู่เทียนฉงชะงักไปชั่วครู่จนทำให้น้ำหมึกหยดลงบนกระดาษ
“เสียงอะไรน่ะ?”
อันกงกงรีบมองไปรอบ ๆ พร้อมกับตวัดแส้ในมือเบา ๆ ขณะกวาดตามองไปบริเวณด้านหลังผ้าม่านและหลังแจกันทุกใบที่มีอยู่ในห้อง
หลังจากที่เขามองทุกซอกทุกมุมแล้ว แต่ก็ยังไม่พบต้นตอของเสียง
ในขณะนั้นเอง มู่ไป๋ไป่ที่นอนอยู่บนตั่งพลิกตัว ก่อนที่เสียงจะหยุดลงกะทันหัน
สักพักก็มีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
ดวงตาที่เย็นชาของมู่เทียนฉงหรี่ลง แล้วเขาก็เอ่ยปากว่า “ไม่จำเป็นต้องหาแล้ว”
อันกงกงต้องตกตะลึงเมื่อเห็นว่าชายที่นั่งบนบัลลังก์มังกรลุกขึ้น ก่อนจะก้าวขายาว ๆ เดินไปที่ตั่ง
ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจได้ทันที
มันคือเสียงกรนขององค์หญิงหก
ช้าก่อน…
องค์หญิงหกที่น่ารักน่าเอ็นดูคนนั้น นอนกรนเช่นนั้นหรือ?
มู่เทียนฉงขมวดคิ้วขณะจ้องใบหน้านวลลออของเด็กที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ด้วยสายตาเย็นชา
นางดูเหมือนจะนอนหลับสบายมากโดยที่เม้มริมฝีปากเล็ก ๆ ของตัวเอง ริมฝีปากสีชมพูของนางนั้นดูแวววาวและมีเหงื่อบาง ๆ เกาะอยู่ที่ปลายจมูก
ผู้เป็นพ่อเอื้อมมือออกไปดึงผ้าห่มที่คลุมถึงคอของเจ้าตัวเล็กลงมาเล็กน้อยเพื่อให้ผ้าห่มอยู่บริเวณหน้าอก
ขณะที่ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น เขาก็ได้ยินเสียงกรนแรง ๆ ราวกับฟ้าร้องเข้ามาในหู
จู่ ๆ เขาก็ชักมือที่กำลังจับผ้าห่มออก พอเขาปล่อยมือ ผ้าห่มก็ร่วงลงไปคลุมหน้าของเด็กหญิงจนหมด
“น่ารำคาญจริง ๆ”
หลังจากมู่เทียนฉงพูดอย่างนั้น เขาก็เดินกลับไปที่บัลลังก์มังกรแล้วลงมือเขียนฎีกาต่อไปด้วยท่าทีที่ฟุ้งซ่าน
ท่าทางของนายเหนือหัวทำให้อันกงกงเหงื่อแตกพลั่ก ๆ
เขายังจำได้ดีว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ฝ่าบาททรงไปเยือนตำหนักพระสนมคนใหม่ที่เพิ่งส่งเข้ามาในวัง เขานอนอยู่ที่นั่นจนถึงกลางดึกก่อนจะพบว่าพระสนมนอนกรน...
ต่อมา ฝ่าบาททรงรับสั่งให้คนอุ้มสตรีนางนั้นออกไปในขณะที่นางยังหลับใหล และโยนร่างของนางลงไปในหลุมศพหมู่
และตอนนี้พระองค์ก็ทรงไร้ความปรานีโดยทำให้องค์หญิงหกต้องหายใจไม่ออกด้วยผ้าห่มเพียงผืนเดียว…
อันกงกงมองผ้าห่มที่นูนขึ้นบนตั่ง แล้วเอื้อมมือออกไปอย่างเงียบ ๆ เพื่อขยับผ้าห่มลงเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน มู่ไป๋ไป่เองก็รู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจตาย ทันใดนั้นก็มีอากาศบริสุทธิ์พุ่งเข้ามาในจมูก ทำให้เธอรู้สึกสบายใจมากขึ้น
“คร่อกกกก! ฟี้!” จากนั้นเสียงกรนที่ดังมากก็ดังออกมาจากใต้ผ้าห่ม
อันกงกงรีบเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตะลึงมองไปยังคิ้วที่กำลังขมวดแน่นอยู่ที่กลางหน้าผากของฝ่าบาท ก่อนจะรีบดึงผ้าห่มกลับไปที่เดิมโดยเร็ว
“ทำแบบนี้คงจะเป็นการดีกว่า…” ชายสูงวัยพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
ยามนี้มู่เทียนฉงหันกลับมาสนใจฎีกาที่กองอยู่บนโต๊ะทรงพระอักษรต่อ ดวงตาของเขาก็เหลือบไปเห็นหยดหมึกบนฎีกา
หยดหมึกนั้นเปรียบเสมือนข้อด่างพร้อย มันได้เปลี่ยนความคิดที่เรียบนิ่งให้กลายเป็นยุ่งเหยิง
แล้วโรครักความสะอาดของฝ่าบาทก็กำเริบ
ฮ่องเต้หนุ่มกำพู่กันในมือแน่น ในขณะที่ความโกรธฉายชัดในดวงตา
แกร๊ก!
พู่กันที่กำไว้นั้นหักคามือทันที
ตอนนี้เขารู้สึกโกรธมากจนอยากจะฆ่าใครสักคน
อันกงกงที่ได้ยินเสียงนั้นก็ตกใจมากจนตัวสั่นแล้วรีบคุกเข่าหมอบลงกับพื้นโดยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ในเวลานี้คนตัวเล็กบนตั่งเพิ่งรู้สึกว่ากำลังจะขาดอากาศหายใจ แต่มือเล็ก ๆ ของเธอไม่สามารถขยับยกสิ่งที่กดทับบนจมูกของเธอได้
“ฮืออออ ๆๆ” แล้วเสียงร้องดังลั่นก็ดังสะท้อนไปในห้องโถงกว้าง
มู่เทียนฉงรีบเดินไปที่ตั่งก่อนจะอุ้มเด็กน้อยที่ยังไม่ลืมตาขึ้นมาปลอบ
มู่ไป๋ไป่ยังคงร้องไห้ต่อไป “ท่านพ่อ… ฮืออออ… ไป๋ไป่รู้สึกเสียใจมาก… แต่ไป๋ไป่หายใจไม่ออก”
ใบหน้าของผู้เป็นพ่อเปลี่ยนเป็นตกตะลึง ก่อนที่เขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น “ไม่เป็นไร ๆ พ่ออยู่ตรงนี้แล้ว เจ้าหายใจได้อยู่เห็นหรือไม่”
แต่เด็กหญิงก็ยังคงรู้สึกเศร้ามาก “ไม่… ฮือ ๆๆ ไป๋ไป่ยังเสียใจอยู่เลย…”
เด็ก 4 ขวบยังต้องการการพักผ่อนเป็นอย่างมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้ในระหว่างที่นอนหลับสนิทจู่ ๆ เธอก็หายใจไม่ออก ทำให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางคันและรู้สึกหงุดหงิดมาก
มู่เทียนฉงที่เห็นลูกสาวร้องไห้ก็รู้สึกสงสาร เขาจึงดึงนางเข้ามาซุกอยู่ในอ้อมแขน พร้อมกับความรู้สึกผิดอย่างสุดซึ้งในใจ ตอนนี้เขากระชับกอดคนตัวเล็กขณะเม้มริมฝีปากแน่น
อันกงกงที่อยู่ด้านข้างแอบเหลือบมองท่าทีของฝ่าบาท แต่ในเวลาเดียวกันนั้นอีกฝ่ายก็กำลังจ้องเขม็งมาที่เขาเช่นกัน
“...”
สายตาคมดุของฮ่องเต้คล้ายจะบอกว่า ‘ใครอนุญาตให้เจ้ามอง!’
“ไม่ร้อง ไม่ร้องแล้ว นอนต่อเถอะ พ่อจะปกป้องเจ้าเอง”
ความโกรธของมู่เทียนฉงที่ปะทุขึ้นก่อนหน้านี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร ตราบใดที่เจ้าตัวน้อยเอ่ยปาก มันก็สามารถทำลายความโกรธของเขาไปได้จนสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น การที่นางร้องไห้มันทำให้เขารู้สึกผิดและเสียใจมาก…
คนเป็นพ่อกำลังเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเด็กหญิงด้วยท่าทางคล้ายกับคนที่หัวใจแตกสลาย จากนั้นก็กระชับกอดพลางตบหลังปลอบนางเบา ๆ ด้วยความรัก
ดวงตาของมู่ไป๋ไป่นั้นยังตื่นไม่เต็มตาในขณะที่ร้องไห้ เพราะเธอยังคงรู้สึกง่วงมาก หลังจากถูกขับกล่อมด้วยการตบหลังเบา ๆ มันยิ่งทำให้ดวงตาของคนตัวเล็กหนักอึ้งจนปิดลงอีกครั้ง
แต่ยังเหลือเพียงร่างกายที่ยังคงจดจำเรื่องเลวร้ายได้ซึ่งมันกระตุกเป็นครั้งคราว
เมื่อผู้เป็นพ่อเห็นลูกสาวหลับสนิทแล้ว เขาก็ตั้งท่าจะวางนางให้นอนลงบนตั่งเช่นเคย
แต่ทันใดนั้นร่างเล็กในอ้อมแขนของเขาก็ขยับเหมือนคนไม่สบายตัว
มู่เทียนฉงชะงักค้างไปทันที…
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: น้องนอนกรนใส่พ่อซะงั้น ขายขำกันไม่หยุด 5555