บทที่ 21: ทำตัวเหมือนหมู
พ่อขี้หงุดหงิดคนนี้กล้าหลอกฉันงั้นเหรอ!
เขานี่มันปีศาจร้ายชัด ๆ!
จากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็หันไปมองถ้วยยาขมด้วยใบหน้ายับย่นพร้อมกับขยับจมูกเล็ก ๆ ดมกลิ่น ก่อนจะยกมือปิดจมูกแล้วขยับออกไปให้ห่างถ้วยยานั้นด้วยความรังเกียจ
มู่เทียนฉงที่เห็นท่าทางของคนตัวเล็กก็ขมวดคิ้วและเดินเข้าไปเพื่อหยิบถ้วยยาขึ้นมาดม
ไม่เห็นเหม็นขนาดนั้นเลย ทำไมนางต้องปิดจมูกด้วย?
พอมู่ไป๋ไป่เห็นว่าสีหน้าของพ่อขี้โมโหดูจะเข้มขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ เธอเลียริมฝีปากสีชมพูที่จู่ ๆ ก็แห้งผากของตัวเองแล้วเม้มแน่น
ในไม่ช้าเด็กหญิงก็ตัดสินใจเด็ดขาด เธอยกถ้วยยาที่ใหญ่กว่าหน้าตัวเองขึ้นมาแล้วกรอกมันใส่ปาก
มู่เทียนฉงขมวดคิ้วมุ่นขณะจ้องมองอีกฝ่ายดื่มยาในถ้วยจนหมดและแอบรู้สึกตกใจ
เมื่อกี้นางยังทำท่าทีรังเกียจมากอยู่เลย แล้วเหตุใดจู่ ๆ นางถึงยกมันดื่มจนหมดทีเดียวล่ะ?
มู่ไป๋ไป่คว่ำถ้วยลงราวกับว่ากำลังจะขอความดีความชอบจากผู้เป็นพ่อ ซึ่งในถ้วยก็ไม่มีของเหลวหยดลงมาสักหยด
จากนั้นเธอก็จับแขนของมู่เทียนฉงพลางพูดปลอบเขาว่า “ท่านพ่อ ท่านอย่าโกรธไปเลย ไป๋ไป่จะเชื่อฟังท่าน”
เมื่อฮ่องเต้หนุ่มได้ยินคำพูดของคนตัวเล็ก เขาก็เข้าใจทันที
นางกินยาจนหมดเพราะกลัวเขาโกรธอย่างนั้นหรือ?
เปลือกตาของเขาเปิดขึ้นเล็กน้อยขณะมองดูบุตรสาวที่กำลังจับมือเขาเขย่าเบา ๆ อย่างไม่มีความสุข
นี่นางเห็นเขาเป็นผีหรืออย่างไร?
เขาไม่ใช่ปีศาจกินคน แล้วทำไมนางถึงต้องกลัวเขาขนาดนี้
ต่อมา มู่เทียนฉงยื่นมือออกไปคว้าหลังคอของเจ้าตัวเล็กตามด้วยมืออีกข้างช้อนอุ้มนางขึ้นไปนั่งบนตักของเขา ก่อนจะจ้องตากลมโตของอีกฝ่าย
“เจ้ากลัวเราทำไม?”
เขาให้ความสำคัญกับนางถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดนางถึงต้องกลัวเขาอีก?
นางควรจะแสดงออกว่ารักเขามากขึ้น ไม่ใช่รู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้
ทางด้านมู่ไป๋ไป่รีบคว้าแขนเสื้อของพ่ออารมณ์ร้ายด้วยความรู้สึกประหม่า ในขณะที่ดวงตาสีเข้มของเธอฉายแววคับข้องใจ
ฮือ ๆๆ เกิดอะไรขึ้นกับพ่อขี้โมโหกันเนี่ย?
ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่คนตรงหน้า เธอทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย ไม่นานน้ำตาสีใสเม็ดหนึ่งก็ค่อย ๆ ปรากฏที่หางตาของเธอ
คนตัวเล็กพยายามกลั้นมันเอาไว้สุดแรงเกิดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้น้ำตาหยดนั้นไหลลงมา
มู่เทียนฉงที่เห็นว่าลูกสาวกำลังจะร้องไห้เพราะเขา สายตาที่เขาใช้มองก็อ่อนลงทันที เขาไม่รู้ว่าควรวางมือเอาไว้ตรงไหน จึงขยับไปตบหลังเด็กน้อยแบบเก้ ๆ กัง ๆ
จากนั้นก็ดึงนางเข้ามากอดแล้วพูดปลอบอีกคนเบา ๆ “ไม่ต้องร้อง ๆ มันเป็นความผิดของพ่อเอง”
ครั้นมู่ไป๋ไป่ได้ยินคำพูดนี้ เธอก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น แต่ด้วยอารมณ์ที่รุนแรงจึงทำให้ร่างกายของเด็กวัย 4 ขวบครึ่งเริ่มหอบหนักขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้เป็นพ่อรู้สึกสับสนว่าทำไมลูกสาวถึงร้องไห้หนักกว่าเดิม มันทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก
แล้วเขาก็หันไปมองหน้าอันกงกงที่อยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชา
อันกงกงที่จู่ ๆ ก็ถูกสายตาเฉียบคมจ้องมองมาก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว
ดูสิ เป็นฝ่าบาทไม่ใช่หรือที่ทำให้พระนางร้องไห้ ทำไมจะต้องมาคาดโทษกระหม่อมด้วย!
“ไปเอาลูกกวาดมา!” ฮ่องเต้หนุ่มสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
อันกงกงรีบวิ่งออกไปทันทีพร้อมกับลมหายใจที่หอบหนักขึ้น
โอยยย หายใจหายคอแทบไม่ทัน!
เมื่อชายสูงวัยวิ่งกลับมาจากห้องครัวพร้อมลูกกวาดในมือ เขาก็หอบเหนื่อยแทบจะหายใจไม่ทันจนเขาต้องยกมือขึ้นกุมหน้าอกตัวเอง
จากนั้นก็นำชามลูกกวาดหลากสีไปวางไว้บนโต๊ะ ในขณะเดียวกัน มู่ไป๋ไป่ก็แอบเหลือบมองพวกมันเงียบ ๆ
โอ้โห!
ลูกอมเยอะมากเลย!
เมื่อเด็กน้อยสัมผัสได้ถึงสิ่งล่อตาล่อใจ ต่อมน้ำลายของเธอก็ถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมาจนน้ำลายเต็มปาก
ลูกกวาดที่ถูกห่อด้วยกระดาษสีต่าง ๆ ในชามนั้นน่าจะมีรสชาติเหมือนมะม่วง แตงโมหรือองุ่น
มู่เทียนฉงหยิบลูกกวาดขึ้นมา 1 เม็ดแล้วพูดว่า “เรามากินขนมกันเถอะ”
มู่ไป๋ไป่ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอแปลงร่างกลายเป็นเจ้าแมวจอมตะกละทันที
เธอหันกลับไปจ้องมองลูกอมหลากสีสันและสงสัยว่าจะเลือกกินอันไหนก่อนดี
แต่เด็กหญิงก็อดทนรอไม่ไหวอีกแล้ว เธอหยิบลูกอมห่อสีแดงชิ้นหนึ่งขึ้นมาแกะแล้วโยนเข้าปาก
ในที่สุดรสหวานก็กระจายไปทั่วปากของเธอ พร้อมกับที่เธอหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
คนตัวเล็กเม้มปากเบา ๆ แต่ก่อนที่เธอจะทันได้กลืนลูกกวาดรสแตงโมลงไปจนหมด ลูกกวาดรสองุ่นเม็ดถัดไปก็ถูกส่งเข้ามาในปากเธอแล้ว
ภาพที่ปรากฏนั้นทำให้มุมปากของมู่เทียนฉงกระตุก และเขาก็คอยกระซิบปลอบเด็กน้อยอยู่เรื่อย ๆ ถึงขั้นเอ่ยปากขอโทษนางด้วยซ้ำ
ช่างเถอะ ตราบใดที่ลูกสาวของข้ามีความสุข มันก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว
พอคิดดังนี้ ผู้เป็นพ่อก็รู้สึกโล่งใจ
มู่เทียนฉงมองดูลูกสาวกินลูกกวาดแล้วรู้สึกว่าเด็กคนนี้เอาใจง่ายเกินไปหรือไม่
“ไป๋ไป่อย่าได้กลัวพ่อเลย ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่ารักพ่อ ดังนั้นอย่าได้สงสัยความรักที่พ่อมอบให้เจ้าเช่นกัน เจ้าอยากทำอะไรก็ทำได้ตามสบาย พ่อไม่โกรธเจ้าหรอก เข้าใจหรือไม่?”
พอฮ่องเต้หนุ่มเห็นว่าคนตัวเล็กอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว เขาก็พูดออกมาช้า ๆ
หลังจากมู่เทียนฉงรอคำตอบอยู่นาน เด็กน้อยก็ไม่ได้ตอบกลับ เขาจึงเลิกคิ้วขึ้นและสายตาก็จับจ้องไปที่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในอ้อมแขนของตน
ไหล่ที่ยังคงขยับขึ้นลงนั้นพิสูจน์ได้ว่าเจ้าตัวยังมีชีวิตอยู่ ทว่าเหตุใดดวงตาทั้งสองถึงปิดแน่น แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้ฟังคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาเลย
ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ายังมีชีวิตอยู่ แล้วทำไมนางถึงไม่ตอบข้าล่ะ?
พอคิดอย่างนั้นเขาก็คว้าร่างของคนตัวเล็กให้หันมาเผชิญหน้ากับตน
แล้วเสียงหายใจสม่ำเสมอของเด็กน้อยก็ดังเข้ามาในหูของเขา ตอนนี้นางได้ยัดลูกกวาดเอาไว้ในแก้มสองข้างจนแก้มตุ่ย ทำให้นางยิ่งดูเหมือนหนูตัวน้อย
มู่เทียนฉงจึงเอื้อมมือไปบีบจมูกนางด้วยความมันเขี้ยว
นั่นทำให้มู่ไป๋ไป่ต้องเคี้ยวลูกกวาดในปากโดยไม่รู้ตัว แล้วก็หยุดเคลื่อนไหวไปอีกครั้ง
นางเผลอหลับไปอย่างนั้นหรือ?
ฮ่องเต้หนุ่มขมวดคิ้ว ใครเขาหลับกันในระหว่างที่กินขนม?
เจ้าตัวเล็กคนนี้ทำตัวเหมือนหมูที่กินแล้วนอนจริง ๆ
ทว่ายามเขาที่มองท่าทางคอพับคออ่อนของลูกสาว นางก็ดูเหมือนคนที่จะร่วงลงพื้นเมื่อไหร่ก็ได้ถ้าเขาไม่พยุงนางไว้ ซึ่งมันยิ่งทำให้เขารู้สึกเอ็นดูนางมากขึ้น
อันกงกงเองก็แอบยิ้มมุมปากแล้วพูดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท ให้กระหม่อมพาองค์หญิงหกกลับไปส่งที่ตำหนักอวี๋ชิงก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
มู่เทียนฉงโบกมือเล็กน้อยส่งสัญญาณให้คนรับใช้ถอยไป
แล้วทันใดนั้นเขาก็อุ้มมู่ไป๋ไป่ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารก่อนจะพาเจ้าตัวเล็กไปวางไว้บนตั่งของเขา
อันกงกงตกใจมากจนแทบจะหลุดเสียงร้องออกมา นี่ฝ่าบาทจะให้องค์หญิงหกนอนที่ตำหนักเย่าเจิ้งอย่างนั้นหรือ?
ก่อนหน้านี้มันอาจจะเป็นเรื่องปกติที่องค์หญิงหกจะพักอยู่ที่ตำหนักเย่าเจิ้งเนื่องจากนางกำลังได้รับบาดเจ็บ ทว่าปัจจุบันเหตุการณ์ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่นางก็ยังได้รับอนุญาตให้พักอยู่ที่ตำหนักของฮ่องเต้อีกหรือ?
ข้าเกรงว่านี่มันไม่ใช่การได้รับความโปรดปรานธรรมดาเสียแล้ว…
หลังจากมู่เทียนฉงวางลูกสาวลงบนตั่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็หรี่ตามองเด็กหญิงตัวเล็กซึ่งมีหน้าตาเหมือนกับตัวเขาทุกประการ
จากนั้นเขาก็ช้อนคางกลมของนางขึ้นก่อนจะใช้นิ้วชี้ปัดตรงสันจมูกน้อย ๆ
ในขณะที่นอนหลับมู่ไป๋ไป่รู้สึกคันบนใบหน้าเล็กน้อย เธอจึงย่นคิ้วย่นจมูกเข้าหากัน
จากนั้นเธอก็พลิกตัวมากอดขาของผู้เป็นพ่อเอาไว้ข้างหนึ่ง ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหาท่านอนที่สบายแล้วจึงหลับต่อ
“???” มู่เทียนฉงรู้สึกฉงนกับการกระทำของคนตัวเล็ก
เขาขมวดคิ้วเบา ๆ แล้วทำหน้าอยากจะเอาตัวนางออกจากตน แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยินยอม นางยังคงกำชายเสื้อของเขาแน่น ไม่ว่าเขาจะพยายามดึงมันออกมากเพียงใดก็ไม่สำเร็จ
แต่เมื่อเขามองดูท่าทางหลับสบายของลูกสาว เขาก็รู้สึกไม่อยากรบกวนนางให้ตื่นจากความฝัน
จากนั้นผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดของแคว้นก็นั่งตัวแข็งทื่อ ปล่อยให้คนตัวเล็กกอดขาเขาหลับไปแบบนั้น
ในระหว่างที่คนเป็นฮ่องเต้กำลังขยับตัวเบา ๆ ด้วยความอึดอัด อันกงกงก็มีความคิดบางอย่างเกิดขึ้นในหัว
เหนือฟ้ายังมีฟ้า
ฮ่า ๆ เหนือฝ่าบาทก็ยังมีองค์หญิงหก
หลังจากเวลาผ่านไป 2 เค่อ* ในที่สุดมือของคนตัวเล็กที่จับแขนเสื้อก็ค่อย ๆ คลายลง และขาที่พาดอยู่ก็พลิกไปอีกด้านหนึ่ง
*1 เค่อ = 15 นาที
ผู้เป็นพ่อจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นก่อนจะพยายามเอามือที่รองคอของเด็กหญิงออกมา
พอเขายืนขึ้นก็จะเห็นว่าเสื้อคลุมมังกรมีรอยยับย่นอยู่เล็กน้อย เขาจึงจัดให้เป็นระเบียบก่อนจะกลับไปนั่งจัดการราชกิจที่โต๊ะทรงพระอักษร
ระหว่างที่เขานั่งอ่านฎีกาบนโต๊ะและคอยมองไปที่มู่ไป๋ไป่ซึ่งกำลังนอนหลับสบายอยู่ใกล้ ๆ ดูเหมือนว่าความเหนื่อยของเขาจะหายเป็นปลิดทิ้ง
จากนั้นเขาก็หยิบพู่กันที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาจุ่มปลายพู่กันลงในหมึก แล้วกางฎีกาออกมาเขียนทีละฉบับ
ทางด้านอันกงกงได้ไปหยิบผ้าห่มมาห่มให้กับมู่ไป๋ไป่ ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปหาฮ่องเต้และกระซิบเบา ๆ
“ฝ่าบาท พระองค์ต้องพระราชประสงค์ให้กระหม่อมไปแจ้งหว่านผินว่าองค์หญิงหกจะทรงบรรทมที่ตำหนักของพระองค์หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“อืม” นายเหนือหัวตอบรับในลำคอเบา ๆ
จากนั้นอันกงกงก็รีบไปรายงานเรื่องนี้ทันที
เมื่อคนที่อยู่ในตำหนักอวี๋ชิงได้รับข่าว ทุกคนในตำหนักทั้งนายและบ่าวต่างก็ทำหน้าประหนึ่งเห็นผี