บทที่ 169-170
[,แปลโดยแฟนเพจ ยักษาแปร มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ],
[,Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอน แต่จะราคาแพงที่สุด,]
[,หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ100คน ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบไม่มีการแก้คำผิด และยิบย่อยมากมาย ไปนั่นแหละ,]
บทที่ 169 เทศกาลโคมไฟ (III)
"อืม" เหมิงฉีพยักหน้ารับ ก่อนจะหันหลังกลับไปวางเสี่ยวชีลงในเรือนสัตว์อสูร
ซือคงซิงก็เดินตามเข้าไปในห้องด้วย นางรู้ดีว่าเหมิงฉีนั้นมุ่งมั่นรักษาอาการบาดเจ็บของเสือขาวน้อยตลอดทาง เมื่อได้เห็นหัวกลมฟูและอุ้งเท้าเล็กน่ารัก มือของนางก็เริ่มคันยุบยิบ
"เสี่ยวชีเป็นเช่นไรบ้าง?" ซือคงซิงเอ่ยถามพลางยื่นมือออกไปลูบหัวเจ้าตัวน้อย นางเคยเห็นลูกสัตว์อสูรน่ารักน่าเอ็นดูมากมายในอาณาจักรอสูร แต่ไม่เคยพบกับเสือขาวตัวน้อยที่น่ารักถึงเพียงนี้มาก่อน
เผ่าเสือขาวสวรรค์นั้นมีทายาทน้อยนัก แม้แต่นาง หรือแม้แต่ผู้อาวุโสแห่งเผ่าจิ้งจอกแดงก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นลูกเสือขาวตัวน้อยเลย ยิ่งไปกว่านั้น เผ่าเสือขาวซึ่งให้กำเนิดเจ้าแห่งอสูรแต่ละรุ่น ล้วนแข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิด มิได้น่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ไม่
เสี่ยวชีนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน แม้ว่ามันจะไม่ตอบสนองใดๆ เมื่อเหมิงฉียกมันขึ้นมา แต่ทันทีที่มือของซือคงซิงเกือบจะสัมผัสโดนตัวมัน มันก็เงยหน้าขึ้นทันใด ดวงตาสีฟ้าครามกวาดมองมือของซือคงซิงอย่างเย็นชาก่อนจะสบตากับนาง
"..."
ซือคงซิงตัวสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว ร่างกายของนางแข็งทื่อขึ้นมาทันที ความหนาวเหน็บแล่นขึ้นมาจากหลังของนาง
เสี่ยวชีละสายตาจากนาง แล้วกลับกลายเป็นลูกขนปุยตัวน้อยน่ารักอยู่ในมือของเหมิงฉีดังเดิม
ซือคงซิง "???"
เหตุใดนางจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ?
ซือคงซิงชักมือกลับอย่างเคอะเขิน มองเหมิงฉีนำเสี่ยวชีกลับเข้าไปในเรือนสัตว์อสูร
"ไปกันเถอะ" เหมิงฉีเอ่ย
"อ-อืม..." ซือคงซิงได้สติกลับคืนมา แล้วเดินตามเหมิงฉีออกไปอย่างงุนงง
เมื่อครู่นี้เกิดสิ่งใดขึ้น?
นางถูกสัตว์อสูรเพียงสบตาเดียวก็ทำให้ตัวแข็งทื่อ
ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก!
จนกระทั่งทั้งสองเดินออกจากโรงเตี๊ยมหลู่อี้ ซือคงซิงก็ยังคงเหม่อลอย เหมิงฉีมองนางหลายครั้งจนทนไม่ไหว ต้องเอ่ยถาม "เป็นอันใดไปหรือ?"
"...ไม่มีอันใด" ซือคงซิงส่ายหน้า แม้แต่นางเองก็รู้สึกว่าตนเองกำลังทำตัวไร้เหตุผล บางทีอาจเป็นเพราะเผ่าเสือขาวอสูรสวรรค์นั้นเป็นตำนานเล่าขาน จึงทำให้นางรู้สึกหวาดหวั่นบ้างเมื่อได้พบกับสัตว์อสูรเสือขาวแห่งสามภพ
ใช่แล้ว ต้องเป็นเช่นนั้นแน่
...
"ครึกครื้นสมคำร่ำลือจริงๆ!" ซือคงซิงเป็นคนง่ายๆ สบายๆ จึงลืมเรื่องก่อนหน้าไปในเวลาไม่นาน
ยามราตรีคืบคลาน เมืองทั้งเมืองสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ ทันทีที่พวกนางออกจากบริเวณโรงเตี๊ยมหลู่อี้ เหมิงฉีก็เห็นโคมไฟมากมายแขวนอยู่ทั่วทั้งถนน เกือบทุกอาคารมีโคมไฟประณีตสองดวงแขวนอยู่หน้าประตู บางดวงเป็นรูปกระต่าย บางดวงเป็นรูปปลาทอง บางดวงเป็นรูปดอกบัว... สีสันงดงามจับตา
"เมื่อครู่ซูจุนโม่เล่าให้ข้าฟังว่า เทศกาลโคมไฟในเมืองซิงหลัวนี้ จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงผู้บ่มเพาะจากตำหนักซิงหลัวผู้พิทักษ์เมืองเมื่อหลายพันปีก่อน ว่ากันว่าท่านยืนหยัดอยู่หน้าประตูเมืองเจ็ดวันเจ็ดคืน สังหารผู้บ่มเพาะมารนับร้อยเพื่อปกป้องชาวเมือง" ระหว่างที่ชื่นชมโคมไฟ ซือคงซิงก็เริ่มเล่าตำนานที่เพิ่งได้ยินมา "เมื่อใดที่ดาบของท่านเปล่งประกายเจตจำนงค์แห่งดาบ แสงนั้นเจิดจ้าแม้กระทั่งแสงดาวบนฟ้าก็ยังถูกบดบัง ราวกับว่าท่านได้ยิงดวงดาวร่วงลงมา ดังนั้น ชาวเมืองจึงจุดโคมไฟหลากสีเพื่อเลียนแบบดวงดาวที่ดูเหมือนจะถูกยิงร่วงลงมาโดยท่านผู้นั้น"
เหมิงฉียิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินตำนานนี้ และมันก็น่าสนใจยิ่งนัก ถึงแม้ว่าจิ้งจอกขี้โวยวายตัวนั้นจะพูดมากไปหน่อย แต่มันก็มีความรู้อยู่ไม่น้อย
"ซูจุนโม่ไปที่ใดแล้ว?" เหมิงฉีถาม
"ไปพบสหาย" ซือคงซิงเบะปาก "เขาอยากชวนพวกเราไปด้วย แต่เจ้ายังอยู่ในห้อง ข้าจึงอยู่เฝ้าหน้าประตู เขาเลยวิ่งออกไปดื่มกับสหายเพียงลำพัง"
"ลำบากเจ้าแล้ว" เหมิงฉียิ้ม
"ไม่ลำบาก ไม่ลำบากเลย" ซือคงซิงโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
"เหมิงฉี ข้าเคยได้ยินเจ้าพูดถึงท่านเจ้าสำนักตำหนักซิงหลัวมาก่อน และวันนี้ข้าก็ได้ยินซูจุนโม่พูดถึงท่านผู้อาวุโสที่ปกป้องเมือง ข้าคิดว่าผู้บ่มเพาะจากสามภพช่างน่าทึ่งจริงๆ" ซือคงซิงจับแขนเหมิงฉีและเดินต่อไป "ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านแม่จึงไม่ต้องการอยู่ในอาณาจักรอสูร และยืนกรานที่จะกลับไปยังสามภพ พวกอสูรให้ความเคารพต่อพละกำลัง ความอบอุ่นเช่นนี้หาได้ยากยิ่งในหมู่พวกเรา"
"ไม่หรอก" เหมิงฉีกล่าว "เจ้ากับซูจุนโม่ก็ดีมากเช่นกัน"
ถึงแม้ว่าจิ้งจอกขี้โวยวายจะพูดมากไปหน่อย แต่มันก็เป็นคนดี
"อ๊ะ" ซือคงซิงยิ้มอย่างเขินอาย
สองสาวกำลังเดินเล่นเพื่อผ่อนคลาย จึงไม่ได้เดินเร็วมากนัก หลังจากเดินเล่นและพูดคุยกันอย่างสบายอารมณ์ได้ประมาณหนึ่งชั่วยาม พวกนางก็มาถึงจัตุรัสกลางเมืองซิงหลัว
ที่นี่มีโคมไฟมากกว่าที่อื่น และตรงกลางมีโคมไฟรูปดาบสิบสองดวงแขวนอยู่กลางอากาศ ด้ามดาบชี้ขึ้นฟ้า ดูคล้ายกับตำหนักซิงหลัวเอง
มีร้านแผงลอยเล็กๆ มากมายรอบจัตุรัส ขายอาหารพื้นเมืองหลากหลาย ซือคงซิงเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางดึงเหมิงฉีไปรอบๆ และชิมขนมทีละอย่าง นอกจากนี้ยังมีแผงขายโคมไฟมากมาย นอกจากรูปกระต่ายและดอกบัวที่พบเห็นได้ทั่วไป ที่นี่ขายโคมไฟรูปดาบได้มากที่สุด
"สองอัน" ซือคงซิงถืออาหารไว้ในมือข้างหนึ่ง หยิบหินวิญญาณกำหนึ่งยื่นให้เจ้าของร้าน นางหยิบโคมไฟรูปดาบสองอันและใส่อันหนึ่งในมือของเหมิงฉี "นี่ของท่าน"
"ขอบคุณมาก" เหมิงฉียกโคมไฟขึ้นสูงและมองดูใกล้ๆ เผ่ยมู่เฟิงคงเป็นผู้บ่มเพาะตำหนักซิงหลัวตัวจริง ชายผู้นั้นเย็นชาเหมือนกระบี่ เหมิงฉีสงสัยว่าเขาจะคิดอย่างไรเมื่อรู้ว่ากระบี่ของเขาถูกทำเป็นโคมไฟที่สวยงามและสว่างไสวเช่นนี้
คิดไปเช่นนี้ก็น่าขันนัก
เหมิงฉียิ่งขบขันมากขึ้น ในสายตาของผู้บ่มเพาะแห่งสามภพ ตำหนักซิงหลัวคือกระบี่ที่คมกริบและเย็นชาที่สุด แต่ในสายตาของชาวเมืองซิงหลัว พวกเขาเป็นแสงสว่าง มีชีวิตชีวา และอบอุ่น
เหมิงฉียิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว นางลดโคมไฟรูปดาบในมือลง ทันทีที่เงยหน้าขึ้น สายตาที่ยิ้มแย้มของนางก็สบเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่ดำมืดและลึกล้ำ
เหมิงฉีตกใจ
ไม่ไกลจากพวกนาง ชายร่างสูงในอาภรณ์สีดำก็ถือโคมไฟรูปดาบเช่นกัน ชายผู้นั้นสวมหน้ากากสีดำ ปิดบังใบหน้าครึ่งบน เผยให้เห็นเพียงสันจมูกโด่งตรงและกรามที่มั่นคง
เมื่อสายตาของทั้งคู่ประสานกัน ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่บุรุษผู้นั้นจะสาวเท้าเข้ามาหาเหมิงฉี
"พบกันอีกแล้ว" น้ำเสียงของบุรุษนั้นเย็นชาเล็กน้อย แต่ก็สุภาพยิ่ง "สุราในเมืองซิงหลัวไม่อาจเทียบกับแดนเหนือสวรรค์ได้ แต่ในยามเทศกาลโคมเช่นนี้ สุราก็พอจะเข้าท่าอยู่บ้าง"
"พวกเราไปดื่มกันสักหน่อยดีหรือไม่?"
บทที่ 170 เผ่ยมู่เฟิง (I)
เผ่ยมู่เฟิงหยุดชะงัก คงเพราะเกรงว่าเหมิงฉีจะจำเขาไม่ได้ จึงเอ่ยเตือนความจำ "เราเคยพบกันครั้งหนึ่งที่แดนเหนือสวรรค์"
ณ แดนเหนือสวรรค์ ผู้มาเยือนสามารถเลือกที่จะเปลี่ยนรูปลักษณ์ตามใจชอบ หรือจะใช้ใบหน้าจริงก็ได้ เหมิงฉีไม่ได้ปลอมแปลงใดๆ และเผ่ยมู่เฟิงก็มิได้ปิดบังโฉมหน้าอันแท้จริง อย่างไรก็ตาม เหมิงฉีรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ทั้งสองเพียงทักทายกันอย่างรวดเร็วหน้าหอประมูลแดนเหนือสวรรค์ และนั่นก็ผ่านมาหลายวันแล้ว มิคาดคิดว่าอีกฝ่ายยังจำนางได้ และยังเอ่ยชวนนางไปดื่มอีกครา
เหมิงฉีเงยหน้าขึ้นและแย้มยิ้ม "ตกลงเจ้าค่ะ"
ซือคงซิงมองเหมิงฉี แล้วมองเผ่ยมู่เฟิง ก่อนจะกระซิบถาม "เขาเป็นผู้ใดกันเล่า?"
"แซ่เผ่ย" เสียงของเผ่ยมู่เฟิงไม่ดังนัก "เผ่ยมู่เฟิง" เขาประสานมือคารวะเหมิงฉีและซือคงซิงอย่างสุภาพ
มีผู้คนมากมายคึกคักอยู่ในจัตุรัส ทั้งสามพูดคุยกันในระยะใกล้ หากไม่จงใจเปล่งเสียงดัง คนอื่นๆ ก็ไม่อาจได้ยินบทสนทนาของพวกเขา
"ซือคงซิง เจ้าค่ะ" ซือคงซิงยิ้มอย่างงดงามและประสานมือคารวะตอบ
"เหมิงฉี เจ้าค่ะ" เหมิงฉีแนะนำตนเองเช่นกัน
คนทั้งสามถือโคมไฟรูปดาบของตนเอง เดินทอดน่องช้าๆ ผ่านฝูงชน เหมิงฉีรู้สึกขบขันเล็กน้อย ภาพของเผ่ยมู่เฟิงในใจนางคือผู้คลั่งไคล้ดาบที่แทบจะอดใจไม่ไหว หมกมุ่นบ่มเพาะดาบทั้งวันทั้งคืน ไม่คาดคิดว่าบุรุษผู้นี้ก็มีมุมผ่อนคลายเช่นนี้ เดินเล่นในเมืองซิงหลัวในช่วงเทศกาลโคมไฟ
"ที่นี่ครึกครื้นมาก" ซือคงซิงเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ที่สุดในบรรดาสามคน และนางก็เป็นพวกคุ้นเคยกับคนแปลกหน้าได้อย่างรวดเร็ว นางเป็นเช่นนี้กับเหมิงฉี และตอนนี้นางก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อเผ่ยมู่เฟิงเหมือนคนอื่น "ข้าได้ยินเรื่องราวตำนานเบื้องหลังเทศกาลโคมไฟของเมืองซิงหลัวจากสหายของข้า มันช่างซาบซึ้งตรึงใจยิ่งนัก ผู้บ่มเพาะดาบที่ข้าเคยรู้จักล้วนเย็นชาและไร้ความปราณี ทั้งยังไม่มีเรื่องราวเช่นนี้ในบ้านเกิดของข้า ซึ่งมันน่าสนใจมาก"
เผ่ยมู่เฟิงไม่เอ่ยวาจาใดๆ
มีร้านอาหารขนาดใหญ่แห่งหนึ่งอยู่ติดกับจัตุรัส ในเวลานี้ อาคารสี่ชั้นเกือบเต็ม เผ่ยมู่เฟิงยื่นหินวิญญาณขั้นสองให้เสี่ยวเอ่อ ซึ่งนำพวกเขาขึ้นไปยังชั้นสี่ด้วยรอยยิ้มกว้าง และยังหาโต๊ะริมหน้าต่างให้พวกเขาเป็นพิเศษ
ขณะนั่งริมหน้าต่าง เหมิงฉีมองทิวทัศน์ด้านนอก โคมไฟหลากสีสว่างไสวไปทั่วทั้งเมือง สวยงามราวกับทะเลดาว
"สวยงามอะไรเช่นนี้!" ซือคงซิงอุทานออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า "ข้าชอบที่นี่มาก!" นางหันไปมองเหมิงฉี "เหมิงฉี ปีหน้าเทศกาลโคมไฟ พวกเรามาเที่ยวเมืองซิงหลัวกันอีกนะ!"
เหมิงฉี "..."
"เจ้าคิดไกลไปแล้วนะ ยังอีกตั้งปีหนึ่งเลย"
เสี่ยวเอ่อของร้านรีบนำเหล้าหวานสามถ้วยมาเสิร์ฟที่โต๊ะ มีดอกหอมหมื่นลี้สีทองและบัวลอยนุ่มๆ ลอยอยู่ด้านบน
ซือคงซิงตื่นเต้นมาก นางชอบอาหารในสามภพนัก เมื่อใดก็ตามที่ซือคงซิงมีเวลา นางจะชวนเหมิงฉีไปกิน ระหว่างทางจากเมืองเฟินเทียนไปเมืองซิงหลัว เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาผ่านเมืองหรือหมู่บ้าน นางจะลากเหมิงฉีไปลิ้มลองอาหารท้องถิ่น
"พวกเจ้าสองคนมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์หรือ?" เผ่ยมู่เฟิงถาม
"ใช่แล้ว" เหมิงฉีพยักหน้า จริงๆ แล้วนางสงสัยว่าทำไมเผ่ยมู่เฟิงถึงจัดการประชุมผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ในเมืองซิงหลัว เหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้เทศกาลโคมไฟวันนี้คึกคักเป็นพิเศษก็เพราะมีผู้บ่มเพาะจำนวนมากเดินทางมาเมืองซิงหลัวเพื่อเข้าร่วมการประชุม
"ข้ายังไม่เป็นผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ แต่ข้าก็อยากเป็น" ซือคงซิงวางถ้วยกระเบื้องที่มีเหล้าหวานลงและพูดอย่างจริงจัง "ดังนั้น ข้าจึงตามเหมิงฉีมาเข้าร่วมการประชุมผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์"
เผ่ยมู่เฟิงพยักหน้า เขาไม่ใช่คนช่างพูด และยิ่งเป็นผู้บ่มเพาะดาบด้วย จึงเป็นเรื่องยากที่จะหาหัวข้อสนทนากับสตรีสองนาง
เหมิงฉีก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขา ทั้งสองนั่งตรงข้ามกันและไม่มีอะไรจะพูดเป็นเวลานาน โชคดีที่มีซือคงซิงอยู่ด้วย มิเช่นนั้นบรรยากาศคงจะอึดอัดมาก
"หืม?" ซือคงซิงนั่งเท้าคางมองทิวทัศน์ด้านนอกพลางบรรยายสิ่งที่เห็นให้เหมิงฉีฟัง ทันใดนั้นนางก็ตบแขนเหมิงฉีและชี้ไปทางทิศบูรพาของเมือง "มีเปลวเพลิงลุกโพลงบนท้องฟ้าตรงนั้น นั่นคือดอกไม้ไฟหรือ?" ขณะที่พูด ซือคงซิงก็หรี่ตา "ไม่ใช่! นั่นมาจากนอกเมือง และนั่นไม่ใช่ดอกไม้ไฟ แต่เป็นแสงจากวิชาอาคม!"
ซือคงซิงเป็นอสูรผู้บ่มเพาะขั้นสี่ เทียบเท่ากับขั้นก่อกำเนิดวิญญาณในการบ่มเพาะของมนุษย์ ประสาทสัมผัสทั้งห้าของนางจึงคมกล้ากว่าเหมิงฉีมาก เหมิงฉีมองไปในทิศทางที่นางชี้ เห็นเพียงแสงสว่างวาบไหวอยู่ไกลๆ เท่านั้น
"มีคนกำลังร่ายอาคม" ซือคงซิงกล่าว "พวกเราไปดูกันไหม?"
"มันอยู่ในทิศทางของสถานที่จัดการประชุม" แสงคมกล้าวาบขึ้นในดวงตาของเผ่ยมู่เฟิง "ข้าต้องไป" เขารีบคว้าโคมไฟรูปดาบที่วางอยู่ข้างๆ แล้วลุกขึ้นยืน
เหมิงฉีและซือคงซิงก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน ซือคงซิงตื่นเต้นเล็กน้อย "เหมิงฉี พวกเราไปดูกันเถอะ"
"ระวังตัวและตามข้ามา" เผ่ยมู่เฟิงกล่าว เขาหยิบหินวิญญาณระดับสองอีกก้อนออกมาแล้วโยนไปตรงหน้าบริกร
"ไปกันเถอะ" เผ่ยมู่เฟิงยกมือขึ้น ในชั่วพริบตา ทั้งสามก็อยู่ข้างนอกหน้าต่าง ยืนอยู่บนดาบปันจังและเหาะผ่านเมืองซิงหลัวไปยังทิศทางของแสงไฟ
กระบี่เหาะด้วยความเร็วสูง แต่ก็มั่นคงมาก ลมแห่งราตรีราวกับถูกกั้นด้วยม่านพลังที่มองไม่เห็น ไม่อาจเข้าถึงพวกเขาได้เลย
เหมิงฉีหรี่ตาลงเล็กน้อย ฉากเบื้องหน้าค่อนข้างคุ้นเคย กระตุ้นความรู้สึกคิดถึงในใจนาง