ตอนที่แล้วบทที่ 167-168
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 171-172

บทที่ 169-170


[,แปลโดยแฟนเพจ ยักษาแปร มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ],

[,Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ 5 ตอน แต่จะราคาแพงที่สุด,]

[,หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ100คน ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบไม่มีการแก้คำผิด และยิบย่อยมากมาย ไปนั่นแหละ,]

บทที่ 169 เทศกาลโคมไฟ (III)

"อืม" เหมิงฉีพยักหน้ารับ ก่อนจะหันหลังกลับไปวางเสี่ยวชีลงในเรือนสัตว์อสูร

ซือคงซิงก็เดินตามเข้าไปในห้องด้วย นางรู้ดีว่าเหมิงฉีนั้นมุ่งมั่นรักษาอาการบาดเจ็บของเสือขาวน้อยตลอดทาง เมื่อได้เห็นหัวกลมฟูและอุ้งเท้าเล็กน่ารัก มือของนางก็เริ่มคันยุบยิบ

"เสี่ยวชีเป็นเช่นไรบ้าง?" ซือคงซิงเอ่ยถามพลางยื่นมือออกไปลูบหัวเจ้าตัวน้อย นางเคยเห็นลูกสัตว์อสูรน่ารักน่าเอ็นดูมากมายในอาณาจักรอสูร แต่ไม่เคยพบกับเสือขาวตัวน้อยที่น่ารักถึงเพียงนี้มาก่อน

เผ่าเสือขาวสวรรค์นั้นมีทายาทน้อยนัก แม้แต่นาง หรือแม้แต่ผู้อาวุโสแห่งเผ่าจิ้งจอกแดงก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นลูกเสือขาวตัวน้อยเลย ยิ่งไปกว่านั้น เผ่าเสือขาวซึ่งให้กำเนิดเจ้าแห่งอสูรแต่ละรุ่น ล้วนแข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิด มิได้น่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ไม่

เสี่ยวชีนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน แม้ว่ามันจะไม่ตอบสนองใดๆ เมื่อเหมิงฉียกมันขึ้นมา แต่ทันทีที่มือของซือคงซิงเกือบจะสัมผัสโดนตัวมัน มันก็เงยหน้าขึ้นทันใด ดวงตาสีฟ้าครามกวาดมองมือของซือคงซิงอย่างเย็นชาก่อนจะสบตากับนาง

"..."

ซือคงซิงตัวสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว ร่างกายของนางแข็งทื่อขึ้นมาทันที ความหนาวเหน็บแล่นขึ้นมาจากหลังของนาง

เสี่ยวชีละสายตาจากนาง แล้วกลับกลายเป็นลูกขนปุยตัวน้อยน่ารักอยู่ในมือของเหมิงฉีดังเดิม

ซือคงซิง "???"

เหตุใดนางจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ?

ซือคงซิงชักมือกลับอย่างเคอะเขิน มองเหมิงฉีนำเสี่ยวชีกลับเข้าไปในเรือนสัตว์อสูร

"ไปกันเถอะ" เหมิงฉีเอ่ย

"อ-อืม..." ซือคงซิงได้สติกลับคืนมา แล้วเดินตามเหมิงฉีออกไปอย่างงุนงง

เมื่อครู่นี้เกิดสิ่งใดขึ้น?

นางถูกสัตว์อสูรเพียงสบตาเดียวก็ทำให้ตัวแข็งทื่อ

ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก!

จนกระทั่งทั้งสองเดินออกจากโรงเตี๊ยมหลู่อี้ ซือคงซิงก็ยังคงเหม่อลอย เหมิงฉีมองนางหลายครั้งจนทนไม่ไหว ต้องเอ่ยถาม "เป็นอันใดไปหรือ?"

"...ไม่มีอันใด" ซือคงซิงส่ายหน้า แม้แต่นางเองก็รู้สึกว่าตนเองกำลังทำตัวไร้เหตุผล บางทีอาจเป็นเพราะเผ่าเสือขาวอสูรสวรรค์นั้นเป็นตำนานเล่าขาน จึงทำให้นางรู้สึกหวาดหวั่นบ้างเมื่อได้พบกับสัตว์อสูรเสือขาวแห่งสามภพ

ใช่แล้ว ต้องเป็นเช่นนั้นแน่

...

"ครึกครื้นสมคำร่ำลือจริงๆ!" ซือคงซิงเป็นคนง่ายๆ สบายๆ จึงลืมเรื่องก่อนหน้าไปในเวลาไม่นาน

ยามราตรีคืบคลาน เมืองทั้งเมืองสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ ทันทีที่พวกนางออกจากบริเวณโรงเตี๊ยมหลู่อี้ เหมิงฉีก็เห็นโคมไฟมากมายแขวนอยู่ทั่วทั้งถนน เกือบทุกอาคารมีโคมไฟประณีตสองดวงแขวนอยู่หน้าประตู บางดวงเป็นรูปกระต่าย บางดวงเป็นรูปปลาทอง บางดวงเป็นรูปดอกบัว... สีสันงดงามจับตา

"เมื่อครู่ซูจุนโม่เล่าให้ข้าฟังว่า เทศกาลโคมไฟในเมืองซิงหลัวนี้ จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงผู้บ่มเพาะจากตำหนักซิงหลัวผู้พิทักษ์เมืองเมื่อหลายพันปีก่อน ว่ากันว่าท่านยืนหยัดอยู่หน้าประตูเมืองเจ็ดวันเจ็ดคืน สังหารผู้บ่มเพาะมารนับร้อยเพื่อปกป้องชาวเมือง" ระหว่างที่ชื่นชมโคมไฟ ซือคงซิงก็เริ่มเล่าตำนานที่เพิ่งได้ยินมา "เมื่อใดที่ดาบของท่านเปล่งประกายเจตจำนงค์แห่งดาบ แสงนั้นเจิดจ้าแม้กระทั่งแสงดาวบนฟ้าก็ยังถูกบดบัง ราวกับว่าท่านได้ยิงดวงดาวร่วงลงมา ดังนั้น ชาวเมืองจึงจุดโคมไฟหลากสีเพื่อเลียนแบบดวงดาวที่ดูเหมือนจะถูกยิงร่วงลงมาโดยท่านผู้นั้น"

เหมิงฉียิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินตำนานนี้ และมันก็น่าสนใจยิ่งนัก ถึงแม้ว่าจิ้งจอกขี้โวยวายตัวนั้นจะพูดมากไปหน่อย แต่มันก็มีความรู้อยู่ไม่น้อย

"ซูจุนโม่ไปที่ใดแล้ว?" เหมิงฉีถาม

"ไปพบสหาย" ซือคงซิงเบะปาก "เขาอยากชวนพวกเราไปด้วย แต่เจ้ายังอยู่ในห้อง ข้าจึงอยู่เฝ้าหน้าประตู เขาเลยวิ่งออกไปดื่มกับสหายเพียงลำพัง"

"ลำบากเจ้าแล้ว" เหมิงฉียิ้ม

"ไม่ลำบาก ไม่ลำบากเลย" ซือคงซิงโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

"เหมิงฉี ข้าเคยได้ยินเจ้าพูดถึงท่านเจ้าสำนักตำหนักซิงหลัวมาก่อน และวันนี้ข้าก็ได้ยินซูจุนโม่พูดถึงท่านผู้อาวุโสที่ปกป้องเมือง ข้าคิดว่าผู้บ่มเพาะจากสามภพช่างน่าทึ่งจริงๆ" ซือคงซิงจับแขนเหมิงฉีและเดินต่อไป "ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านแม่จึงไม่ต้องการอยู่ในอาณาจักรอสูร และยืนกรานที่จะกลับไปยังสามภพ พวกอสูรให้ความเคารพต่อพละกำลัง ความอบอุ่นเช่นนี้หาได้ยากยิ่งในหมู่พวกเรา"

"ไม่หรอก" เหมิงฉีกล่าว "เจ้ากับซูจุนโม่ก็ดีมากเช่นกัน"

ถึงแม้ว่าจิ้งจอกขี้โวยวายจะพูดมากไปหน่อย แต่มันก็เป็นคนดี

"อ๊ะ" ซือคงซิงยิ้มอย่างเขินอาย

สองสาวกำลังเดินเล่นเพื่อผ่อนคลาย จึงไม่ได้เดินเร็วมากนัก หลังจากเดินเล่นและพูดคุยกันอย่างสบายอารมณ์ได้ประมาณหนึ่งชั่วยาม พวกนางก็มาถึงจัตุรัสกลางเมืองซิงหลัว

ที่นี่มีโคมไฟมากกว่าที่อื่น และตรงกลางมีโคมไฟรูปดาบสิบสองดวงแขวนอยู่กลางอากาศ ด้ามดาบชี้ขึ้นฟ้า ดูคล้ายกับตำหนักซิงหลัวเอง

มีร้านแผงลอยเล็กๆ มากมายรอบจัตุรัส ขายอาหารพื้นเมืองหลากหลาย ซือคงซิงเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางดึงเหมิงฉีไปรอบๆ และชิมขนมทีละอย่าง นอกจากนี้ยังมีแผงขายโคมไฟมากมาย นอกจากรูปกระต่ายและดอกบัวที่พบเห็นได้ทั่วไป ที่นี่ขายโคมไฟรูปดาบได้มากที่สุด

"สองอัน" ซือคงซิงถืออาหารไว้ในมือข้างหนึ่ง หยิบหินวิญญาณกำหนึ่งยื่นให้เจ้าของร้าน นางหยิบโคมไฟรูปดาบสองอันและใส่อันหนึ่งในมือของเหมิงฉี "นี่ของท่าน"

"ขอบคุณมาก" เหมิงฉียกโคมไฟขึ้นสูงและมองดูใกล้ๆ เผ่ยมู่เฟิงคงเป็นผู้บ่มเพาะตำหนักซิงหลัวตัวจริง ชายผู้นั้นเย็นชาเหมือนกระบี่ เหมิงฉีสงสัยว่าเขาจะคิดอย่างไรเมื่อรู้ว่ากระบี่ของเขาถูกทำเป็นโคมไฟที่สวยงามและสว่างไสวเช่นนี้

คิดไปเช่นนี้ก็น่าขันนัก

เหมิงฉียิ่งขบขันมากขึ้น ในสายตาของผู้บ่มเพาะแห่งสามภพ ตำหนักซิงหลัวคือกระบี่ที่คมกริบและเย็นชาที่สุด แต่ในสายตาของชาวเมืองซิงหลัว พวกเขาเป็นแสงสว่าง มีชีวิตชีวา และอบอุ่น

เหมิงฉียิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว นางลดโคมไฟรูปดาบในมือลง ทันทีที่เงยหน้าขึ้น สายตาที่ยิ้มแย้มของนางก็สบเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่ดำมืดและลึกล้ำ

เหมิงฉีตกใจ

ไม่ไกลจากพวกนาง ชายร่างสูงในอาภรณ์สีดำก็ถือโคมไฟรูปดาบเช่นกัน ชายผู้นั้นสวมหน้ากากสีดำ ปิดบังใบหน้าครึ่งบน เผยให้เห็นเพียงสันจมูกโด่งตรงและกรามที่มั่นคง

เมื่อสายตาของทั้งคู่ประสานกัน ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่บุรุษผู้นั้นจะสาวเท้าเข้ามาหาเหมิงฉี

"พบกันอีกแล้ว" น้ำเสียงของบุรุษนั้นเย็นชาเล็กน้อย แต่ก็สุภาพยิ่ง "สุราในเมืองซิงหลัวไม่อาจเทียบกับแดนเหนือสวรรค์ได้ แต่ในยามเทศกาลโคมเช่นนี้ สุราก็พอจะเข้าท่าอยู่บ้าง"

"พวกเราไปดื่มกันสักหน่อยดีหรือไม่?"

บทที่ 170 เผ่ยมู่เฟิง (I)

เผ่ยมู่เฟิงหยุดชะงัก คงเพราะเกรงว่าเหมิงฉีจะจำเขาไม่ได้ จึงเอ่ยเตือนความจำ "เราเคยพบกันครั้งหนึ่งที่แดนเหนือสวรรค์"

ณ แดนเหนือสวรรค์ ผู้มาเยือนสามารถเลือกที่จะเปลี่ยนรูปลักษณ์ตามใจชอบ หรือจะใช้ใบหน้าจริงก็ได้ เหมิงฉีไม่ได้ปลอมแปลงใดๆ และเผ่ยมู่เฟิงก็มิได้ปิดบังโฉมหน้าอันแท้จริง อย่างไรก็ตาม เหมิงฉีรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ทั้งสองเพียงทักทายกันอย่างรวดเร็วหน้าหอประมูลแดนเหนือสวรรค์ และนั่นก็ผ่านมาหลายวันแล้ว มิคาดคิดว่าอีกฝ่ายยังจำนางได้ และยังเอ่ยชวนนางไปดื่มอีกครา

เหมิงฉีเงยหน้าขึ้นและแย้มยิ้ม "ตกลงเจ้าค่ะ"

ซือคงซิงมองเหมิงฉี แล้วมองเผ่ยมู่เฟิง ก่อนจะกระซิบถาม "เขาเป็นผู้ใดกันเล่า?"

"แซ่เผ่ย" เสียงของเผ่ยมู่เฟิงไม่ดังนัก "เผ่ยมู่เฟิง" เขาประสานมือคารวะเหมิงฉีและซือคงซิงอย่างสุภาพ

มีผู้คนมากมายคึกคักอยู่ในจัตุรัส ทั้งสามพูดคุยกันในระยะใกล้ หากไม่จงใจเปล่งเสียงดัง คนอื่นๆ ก็ไม่อาจได้ยินบทสนทนาของพวกเขา

"ซือคงซิง เจ้าค่ะ" ซือคงซิงยิ้มอย่างงดงามและประสานมือคารวะตอบ

"เหมิงฉี เจ้าค่ะ" เหมิงฉีแนะนำตนเองเช่นกัน

คนทั้งสามถือโคมไฟรูปดาบของตนเอง เดินทอดน่องช้าๆ ผ่านฝูงชน เหมิงฉีรู้สึกขบขันเล็กน้อย ภาพของเผ่ยมู่เฟิงในใจนางคือผู้คลั่งไคล้ดาบที่แทบจะอดใจไม่ไหว หมกมุ่นบ่มเพาะดาบทั้งวันทั้งคืน ไม่คาดคิดว่าบุรุษผู้นี้ก็มีมุมผ่อนคลายเช่นนี้ เดินเล่นในเมืองซิงหลัวในช่วงเทศกาลโคมไฟ

"ที่นี่ครึกครื้นมาก" ซือคงซิงเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ที่สุดในบรรดาสามคน และนางก็เป็นพวกคุ้นเคยกับคนแปลกหน้าได้อย่างรวดเร็ว นางเป็นเช่นนี้กับเหมิงฉี และตอนนี้นางก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อเผ่ยมู่เฟิงเหมือนคนอื่น "ข้าได้ยินเรื่องราวตำนานเบื้องหลังเทศกาลโคมไฟของเมืองซิงหลัวจากสหายของข้า มันช่างซาบซึ้งตรึงใจยิ่งนัก ผู้บ่มเพาะดาบที่ข้าเคยรู้จักล้วนเย็นชาและไร้ความปราณี ทั้งยังไม่มีเรื่องราวเช่นนี้ในบ้านเกิดของข้า ซึ่งมันน่าสนใจมาก"

เผ่ยมู่เฟิงไม่เอ่ยวาจาใดๆ

มีร้านอาหารขนาดใหญ่แห่งหนึ่งอยู่ติดกับจัตุรัส ในเวลานี้ อาคารสี่ชั้นเกือบเต็ม เผ่ยมู่เฟิงยื่นหินวิญญาณขั้นสองให้เสี่ยวเอ่อ ซึ่งนำพวกเขาขึ้นไปยังชั้นสี่ด้วยรอยยิ้มกว้าง และยังหาโต๊ะริมหน้าต่างให้พวกเขาเป็นพิเศษ

ขณะนั่งริมหน้าต่าง เหมิงฉีมองทิวทัศน์ด้านนอก โคมไฟหลากสีสว่างไสวไปทั่วทั้งเมือง สวยงามราวกับทะเลดาว

"สวยงามอะไรเช่นนี้!" ซือคงซิงอุทานออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า "ข้าชอบที่นี่มาก!" นางหันไปมองเหมิงฉี "เหมิงฉี ปีหน้าเทศกาลโคมไฟ พวกเรามาเที่ยวเมืองซิงหลัวกันอีกนะ!"

เหมิงฉี "..."

"เจ้าคิดไกลไปแล้วนะ ยังอีกตั้งปีหนึ่งเลย"

เสี่ยวเอ่อของร้านรีบนำเหล้าหวานสามถ้วยมาเสิร์ฟที่โต๊ะ มีดอกหอมหมื่นลี้สีทองและบัวลอยนุ่มๆ ลอยอยู่ด้านบน

ซือคงซิงตื่นเต้นมาก นางชอบอาหารในสามภพนัก เมื่อใดก็ตามที่ซือคงซิงมีเวลา นางจะชวนเหมิงฉีไปกิน ระหว่างทางจากเมืองเฟินเทียนไปเมืองซิงหลัว เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาผ่านเมืองหรือหมู่บ้าน นางจะลากเหมิงฉีไปลิ้มลองอาหารท้องถิ่น

"พวกเจ้าสองคนมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์หรือ?" เผ่ยมู่เฟิงถาม

"ใช่แล้ว" เหมิงฉีพยักหน้า จริงๆ แล้วนางสงสัยว่าทำไมเผ่ยมู่เฟิงถึงจัดการประชุมผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ในเมืองซิงหลัว เหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้เทศกาลโคมไฟวันนี้คึกคักเป็นพิเศษก็เพราะมีผู้บ่มเพาะจำนวนมากเดินทางมาเมืองซิงหลัวเพื่อเข้าร่วมการประชุม

"ข้ายังไม่เป็นผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ แต่ข้าก็อยากเป็น" ซือคงซิงวางถ้วยกระเบื้องที่มีเหล้าหวานลงและพูดอย่างจริงจัง "ดังนั้น ข้าจึงตามเหมิงฉีมาเข้าร่วมการประชุมผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์"

เผ่ยมู่เฟิงพยักหน้า เขาไม่ใช่คนช่างพูด และยิ่งเป็นผู้บ่มเพาะดาบด้วย จึงเป็นเรื่องยากที่จะหาหัวข้อสนทนากับสตรีสองนาง

เหมิงฉีก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขา ทั้งสองนั่งตรงข้ามกันและไม่มีอะไรจะพูดเป็นเวลานาน โชคดีที่มีซือคงซิงอยู่ด้วย มิเช่นนั้นบรรยากาศคงจะอึดอัดมาก

"หืม?" ซือคงซิงนั่งเท้าคางมองทิวทัศน์ด้านนอกพลางบรรยายสิ่งที่เห็นให้เหมิงฉีฟัง ทันใดนั้นนางก็ตบแขนเหมิงฉีและชี้ไปทางทิศบูรพาของเมือง "มีเปลวเพลิงลุกโพลงบนท้องฟ้าตรงนั้น นั่นคือดอกไม้ไฟหรือ?" ขณะที่พูด ซือคงซิงก็หรี่ตา "ไม่ใช่! นั่นมาจากนอกเมือง และนั่นไม่ใช่ดอกไม้ไฟ แต่เป็นแสงจากวิชาอาคม!"

ซือคงซิงเป็นอสูรผู้บ่มเพาะขั้นสี่ เทียบเท่ากับขั้นก่อกำเนิดวิญญาณในการบ่มเพาะของมนุษย์ ประสาทสัมผัสทั้งห้าของนางจึงคมกล้ากว่าเหมิงฉีมาก เหมิงฉีมองไปในทิศทางที่นางชี้ เห็นเพียงแสงสว่างวาบไหวอยู่ไกลๆ เท่านั้น

"มีคนกำลังร่ายอาคม" ซือคงซิงกล่าว "พวกเราไปดูกันไหม?"

"มันอยู่ในทิศทางของสถานที่จัดการประชุม" แสงคมกล้าวาบขึ้นในดวงตาของเผ่ยมู่เฟิง "ข้าต้องไป" เขารีบคว้าโคมไฟรูปดาบที่วางอยู่ข้างๆ แล้วลุกขึ้นยืน

เหมิงฉีและซือคงซิงก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน ซือคงซิงตื่นเต้นเล็กน้อย "เหมิงฉี พวกเราไปดูกันเถอะ"

"ระวังตัวและตามข้ามา" เผ่ยมู่เฟิงกล่าว เขาหยิบหินวิญญาณระดับสองอีกก้อนออกมาแล้วโยนไปตรงหน้าบริกร

"ไปกันเถอะ" เผ่ยมู่เฟิงยกมือขึ้น ในชั่วพริบตา ทั้งสามก็อยู่ข้างนอกหน้าต่าง ยืนอยู่บนดาบปันจังและเหาะผ่านเมืองซิงหลัวไปยังทิศทางของแสงไฟ

กระบี่เหาะด้วยความเร็วสูง แต่ก็มั่นคงมาก ลมแห่งราตรีราวกับถูกกั้นด้วยม่านพลังที่มองไม่เห็น ไม่อาจเข้าถึงพวกเขาได้เลย

เหมิงฉีหรี่ตาลงเล็กน้อย ฉากเบื้องหน้าค่อนข้างคุ้นเคย กระตุ้นความรู้สึกคิดถึงในใจนาง

ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร , ลงแบบราคาถูกแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับ หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิก กระซิก ;-;

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด