บทที่ 122 ศิษย์พี่สามถูกซ้อมจนร้องไห้?
ณ หน้าผาด้านหลังของนิกายอู๋เต้า บนภูเขาหมอกสวรรค์
มองดูลี่เอ้อร์กังที่หน้าบวมปูดเขียวช้ำตรงหน้า จางฮั่นไอสองที อึดอัดใจอยู่บ้าง
เขาทุบตีไปแล้ว แต่ลี่เอ้อร์กังดันบอกเขาว่า พวกหมู ไก่ เป็ด ห่าน ผัก เหล่านี้ล้วนเป็นสัตว์และพืชวิเศษ อาหารที่ทำจากสิ่งเหล่านี้ช่วยในการฝึกฝนได้
และอาจารย์ของเขาก็ชอบกินอาหารฝีมือลี่เอ้อร์กังคนนี้
เพื่อประโยชน์ของนิกาย ลี่เอ้อร์กังถึงได้หาพื้นที่ใกล้หน้าผาด้านหลังนี้มาเลี้ยงสัตว์ต่าง ๆ
แต่จางฮั่นมาถึงก็ซัดเขาซะเละ
ถ้าจางฮั่นไม่รู้สึกอึดอัดใจก็แปลกแล้ว
"เอ่อ... อืม... นี่..."
จางฮั่นไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
"ไม่ต้องกังวลนะท่าน ข้าต้องรายงานเรื่องนี้กับประมุขอย่างละเอียดแน่นอน"
ลี่เอ้อร์กังหน้าบวมปูดจ้องจางฮั่นด้วยสายตาเย็นชา ไม่สนใจฐานะของอีกฝ่ายแล้ว เขาจำแค้น
"นี่เจ้า... ก็ช่วยไม่ได้นี่นา ข้าเพิ่งกลับมา ไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน เจ้าก็อย่าเรียกข้าว่าท่านเลย เรียกข้าว่าจางฮั่นก็พอ มานี่ ข้าจะตั้งค่ายกลรักษาให้เจ้า"
จางฮั่นยิ้มอย่างจนใจ
ยื่นมือออกไป
อาศัยพลังของดาวไท่อิน ตั้งค่ายกลรักษาขึ้นใต้เท้าของลี่เอ้อร์กัง
ค่ายกลตั้งขึ้น
อาการบาดเจ็บของลี่เอ้อร์กังเริ่มดีขึ้นทันที
เขาก้มมองร่างอ้วนของตัวเอง รู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่าง อดประหลาดใจไม่ได้
"ท่านจางฮั่น นี่... นี่เป็นวิธีอะไรกัน?"
"ค่ายกลไง"
"ท่านจางฮั่น ถ้าอย่างนั้นท่านสอนวิธีตั้งค่ายกลนี้ให้ข้า แล้วเรื่องที่ท่านทุบตีข้าก็ถือว่าหายกัน ท่านว่าดีไหม?"
"คงเป็นไปไม่ได้"
"ทำไมล่ะ? หรือว่าเป็นความลับที่ไม่อาจถ่ายทอดของนิกาย?"
"ไม่ใช่"
"งั้นทำไมล่ะ?"
"เจ้าไม่มีสมอง เรียนไม่ได้หรอก"
ลี่เอ้อร์กัง "..."
เขาอยากด่าคนจริง ๆ มีคนแบบนี้ด้วยหรือ
ทุบตีเขาแล้วยังบอกว่าเขาไม่มีสมอง...
"แค่ก ๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจเสียดสีเจ้านะ ข้าพูดจริง ๆ เจ้าไม่มีสมองจริง ๆ"
จางฮั่นไอสองที พยายามอธิบาย
"ข้า... ท่านจางฮั่น ท่านดูภายนอกเหมือนปราชญ์ สุภาพอ่อนโยน ไม่นึกเลยว่าจะด่าคนรุนแรงขนาดนี้" ลี่เอ้อร์กังอั้นไว้ครู่ใหญ่ แล้วพูดออกมาแบบนี้
จางฮั่นข้าง ๆ ก็ได้แต่จนใจ
เขาไม่ได้ตั้งใจจะด่าจริง ๆ
การฝึกฝนค่ายกลของเขา
อันดับแรกต้องใช้สมองที่แข็งแกร่งในการจินตนาการ
เพื่อเรียกความสั่นสะเทือนของสรรพสิ่งในสวรรค์และพิภพ จากนั้นยังต้องมีแกนค่ายกล
รวมถึงเหตุผลอื่น ๆ อีกมากมาย
ถึงจะทำได้ถึงขั้นของเขา
เขาไม่ได้พูดเล่น นี่มันยากมากจริง ๆ
ลี่เอ้อร์กังคนนี้ สมองไม่ได้เรื่องตั้งแต่แรกแล้ว
"ข้าไม่ได้ด่าเจ้าจริง ๆ เอาเถอะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว อ้อใช่ ที่ข้ามาหาเจ้า มีธุระ"
"แต่ก่อนจะพูดเรื่องธุระ ข้าสงสัยมาก พวกหมูวิเศษ ไก่วิเศษเหล่านี้ เจ้าเอามาจากไหน? หรือว่าเจ้ารวยขนาดนั้น?" จางฮั่นถามอย่างสงสัย
"ข้าไม่มีเงินซื้อหรอก หลังจากท่านกับประมุขลงเขาไป ศิษย์พี่ใหญ่ของนิกายอู๋เต้าก็กลับมา มาพบข้า ข้าเล่าเรื่องพวกนี้ให้เขาฟัง แล้วเขาก็ส่งคนไปซื้อมา" ลี่เอ้อร์กังนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้น รู้สึกถึงค่ายกลรักษาไปพลางพูดไป
ได้ยินคำพูดนี้ จางฮั่นก็งงไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเข้าใจ
ที่แท้ก็ศิษย์พี่ใหญ่กลับมาแล้ว
เขาเข้าใจแล้ว แต่ร่องรอยการต่อสู้นั้น
เป็นศิษย์พี่ใหญ่ทุบตีศิษย์น้องคนที่สามหรือ?
จางฮั่นนึกสะใจ ถามต่อ
"งั้นศิษย์พี่ใหญ่ชี้แนะศิษย์น้องคนที่สามที่ลานกว้างหน้าตำหนักใหญ่ใช่ไหม?"
จางฮั่นถามพลางยิ้ม
"ชี้แนะ? ไม่มีนะ"
ลี่เอ้อร์กังนึกทบทวน แล้วส่ายหน้า
"งั้นทำไมที่ลานกว้างหน้าตำหนักใหญ่ถึงมีร่องรอยการต่อสู้ล่ะ?"
จางฮั่นขมวดคิ้วถาม
"อ๋อ อันนั้นเหรอ อันนั้นไม่ใช่ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่สามหัวโล้นต่อสู้กัน แต่เป็นคนที่ศิษย์พี่ใหญ่พามาต่อสู้กับศิษย์พี่สาม แต่ไม่รู้ทำไม สู้ไปสู้มา ศิษย์พี่สามก็ร้องไห้ซะงั้น" ลี่เอ้อร์กังพูด
พอได้ยินคำพูดนี้ จางฮั่นก็งงไปเลย
อะไรกัน สู้ไปสู้มา ศิษย์น้องสามก็ร้องไห้?
ร้องไห้เพราะโดนตี?
ไม่น่าจะขนาดนั้นนะ
จางฮั่นนึกถึงตอนที่เขาประลองกับศิษย์พี่ใหญ่
โดนศิษย์พี่ใหญ่โจมตีทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ กระบี่นับหมื่นทะลวงหัวใจ ตีจนบาดเจ็บทั่วร่างยังไม่ร้องไห้
ทำไมศิษย์พี่สามคนนี้ถึงโดนตีจนร้องไห้ล่ะ?
ไม่ได้ เขาต้องไปอบรมความคิดศิษย์พี่สามหน่อยแล้ว
จางฮั่นรีบบอกลาลี่เอ้อร์กังทันที แล้วเดินลงไปทางเชิงเขา
...
ขณะเดียวกัน
ภายในตำหนักประมุข
ชูหยวนนั่งอยู่บนบัลลังก์ประมุขด้านบน
กระดานหมากรุกหินและดาบยาวสีเลือดถูกเขาวางไว้ข้าง ๆ บัลลังก์
ตอนนี้ ชูหยวนมองถันไถลั่วเสวียที่คุกเข่าอยู่กลางตำหนักด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แต่เดิมเขาไม่ได้ตั้งใจจะให้ถันไถลั่วเสวียทำพิธีใหญ่โตขนาดนี้ เพราะเขาไม่สนใจมารยาทพวกนี้เลย
แต่ถันไถลั่วเสวียไม่ยอม ยืนกรานจะทำพิธีใหญ่ให้ชูหยวน บอกว่าเป็นพิธีรับอาจารย์
อีกฝ่ายยืนกราน
ชูหยวนก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่ปล่อยให้ถันไถลั่วเสวียทำพิธีคุกเข่าคำนับ
หลังจากถันไถลั่วเสวียทำพิธีเสร็จ
ชูหยวนจึงเอ่ยปากอีกครั้ง
"ดีแล้ว ๆ ลั่วเสวีย เจ้าตั้งใจมาก ลุกขึ้นเถอะ" ชูหยวนโบกมือ
ตั้งใจจะใช้พลังลมปราณช่วยพยุงถันไถลั่วเสวียขึ้น
แต่พอยกมือขึ้นก็นึกได้ว่าตัวเองเป็นแค่ขยะขั้นหลอมลมปราณ
มีพลังลมปราณที่ไหนกัน
ดังนั้น ชูหยวนจึงเงียบ ๆ ใช้แขนเสื้อกว้างบังความอึด"เจ้าค่ะ อาจารย์"
ถันไถลั่วเสวียไม่ได้สังเกตเห็นอากัปกิริยาเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้นของชูหยวน เงียบ ๆ ลุกขึ้นยืน
"ลั่วเสวีย เมื่อเจ้าเข้ามาเป็นศิษย์ของอาจารย์แล้ว อาจารย์ก็จะไม่พูดอะไรมากความอีก พรสวรรค์ของเจ้าแกร่งกล้านัก อาจารย์รู้ดี แต่สิ่งที่อาจารย์จะสอนเจ้านั้น อาจจะเกินขอบเขตความเข้าใจปกติของเจ้า ตรงจุดนี้ อาจารย์หวังว่าเจ้าจะเตรียมใจไว้" ชูหยวนพูดเตือนไว้ก่อน กลัวว่าอัจฉริยะคนนี้ฟังเรื่องที่เขาหลอกไม่รู้เรื่องแล้วจะวิ่งหนีไปเลย
แต่ถันไถลั่วเสวียกลับไม่มีท่าทีประหลาดใจแต่อย่างใด
ตรงกันข้าม กลับมีสีหน้าเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา
หนทางข้างหน้าปิดตายแล้ว
ถ้าสิ่งที่อาจารย์ถ่ายทอดให้นางเป็นเพียงวิธีบำเพ็ญเซียนธรรมดา นั่นสิถึงจะแปลก
"อาจารย์ ศิษย์เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ" ถันไถลั่วเสวียพยักหน้า ใบหน้างามที่เต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงนั้นเต็มไปด้วยความจริงจัง
"อืม ดีที่เข้าใจ งั้นอาจารย์จะถามเจ้าสักคำถาม ลั่วเสวีย เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือวิถี? แก่นแท้ของวิถีคืออะไร? วิถีมีกี่สาย? และวิถีอยู่ที่ไหน?" ชูหยวนเริ่มการหลอกลวงประจำวันของเขา
ต้องการเริ่มต้นก่อน แล้วค่อย ๆ หลอกต่อไป
ตามปกติแล้ว
ศิษย์คนนี้ก็ต้องบอกว่าไม่รู้ หรือไม่ก็พูดอะไรมั่ว ๆ สักอย่าง แล้วเขาก็จะบอกว่าผิดหมดเลยก็จบ
มันง่ายแค่นี้เอง
ชูหยวนที่หลอกศิษย์มาแล้วสามคนบอกว่า
เรื่องอื่นเขาอาจจะไม่เก่ง
แต่เรื่องหลอกคนนี่ เขาเชี่ยวชาญ!
อีกด้านหนึ่ง ถันไถลั่วเสวียที่อยู่กลางตำหนักได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มบาง ๆ ไม่ได้ตอบคำถามของชูหยวน แต่กลับถามกลับ
"อาจารย์ ศิษย์คิดว่า ท่านไม่ควรถามคำถามนี้กับศิษย์ แต่ศิษย์ต่างหากที่ควรถามคำถามนี้กับท่าน"
"ไม่เช่นนั้น ถ้าศิษย์เข้าใจแล้ว นั่นก็ไม่ใช่ศิษย์เป็นศิษย์แล้ว แต่เป็นอาจารย์ท่านที่เป็นศิษย์"
ถันไถลั่วเสวียพูดพลางยิ้ม
ชูหยวน "..."
ศิษย์รุ่นนี้เป็นอะไรกัน...