ตอนที่ 24 จงใจ ยั่วยุ
ตอนที่ 24 จงใจยั่วยุ
เมื่อฉินอวี้ก้าวเข้าไปในแถวของผู้เข้าทดสอบ ทันทีที่ทุกคนเห็น เด็กสาวทั้งหลายต่างก็จับจ้องมาที่เธอ
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เด็กสาวในชุดแดงขมวดคิ้ว น้ำเสียงไม่ค่อยเป็นมิตร
ในสายตาของเธอ คิดว่าฉินอวี้แค่โชคดีที่ได้ถูกหมอเวิ่นรับเป็นศิษย์คนแรก หากเป็นเธอที่ได้รับการสอนอย่างใกล้ชิดแบบนั้นบ้าง คงไม่แพ้ฉินอวี้แน่นอน
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินอวี้จางลง เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แสดงท่าทีท้าทายกลับไปยังเด็กสาวในชุดแดง
“ข้ามาที่นี่ทำไมงั้นหรือ เพราะข้าผิดหวังในตัวพวกเจ้าน่ะสิ”
“เจ้าว่าอะไรนะ!”
หญิงสาวในชุดแดงพยายามจะพุ่งเข้าใส่ฉินอวี้ แต่ถูกเพื่อนข้างๆ รั้งไว้แล้วลากออกไปด้านหลัง
"ฮวาหลี ใจเย็นก่อนนะ ท่านผู้อาวุโสฮวาและท่านหมอเวิ่นกำลังมองเราอยู่นะ"
คำพูดนี้เตือนสติฮวาหลีได้ดี เธอพยายามสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว เพราะเธอต้องการเป็นลูกศิษย์ของเวิ่นหยุนซีมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ชนเผ่าสุ่ยอีต้องเผชิญกับความยากลำบากเช่นนี้ เธอจึงอยากช่วยเหลือชนเผ่าของเธอ
เมื่อเห็นว่าฮวาหลีเริ่มสงบลง ฉินอวี้ก็ยังคงเติมเชื้อไฟต่อไป เธอหันไปมองคนอื่นๆ แววตาเต็มไปด้วยความดูแคลน “พวกเจ้ามันขี้ขลาด”
คำพูดนี้จุดประกายความโกรธของสาวๆ ชนเผ่าสุ่ยอีทันที แม้แต่มู่หลิวที่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างๆ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น
อารมณ์ของฮวาหลีที่เพิ่งสงบลงก็กลับมาเดือดอีกครั้ง โชคดีที่ถูกเพื่อนสาวด้านหลังจับปิดปากไว้แน่นจึงไม่ได้ตะโกนด่าออกมา
สายตาของมู่หลิวกวาดผ่านฉินอวี้ที่ยืนอยู่กลางกลุ่ม เธอหรี่ตามองเล็กน้อย เด็กสาวคนนี้อายุน้อยกว่าพวกเธอทุกคน แต่ช่างหยิ่งยโสเหลือเกิน หยิ่งจนทำให้รู้สึกไม่ชอบใจ!
การทดสอบรอบที่สามเป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกาย ประกอบด้วยสามส่วน คือ ความเร็ว การทำงานร่วมกัน และปฏิกิริยาตอบสนอง
เด็กสาวทั้งแปดสิบหกคนยืนเรียงแถวในลานซ้อม ฉินอวี้อยู่ตำแหน่งกลางสุด แม้ว่าเธอจะอายุน้อยที่สุด แต่ท่าทางของเธอกลับดูทรงพลังเกินวัย
คนที่ออกไปก่อนหน้านี้ ก็เดินกลับมารอดูอีกครั้ง ยืนล้อมรอบข้างสนามเพื่อให้กำลังใจพวกเธอ
ฮวาหลีนั้นเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนมากที่สุดในกลุ่มอายุของเธอ มีเสียงเชียร์จากผู้คนจำนวนมาก แม้แต่ท่านผู้อาวุโสฮวายังมาให้กำลังใจอยู่ข้างๆ
ส่วนฉินอวี้ก็ได้รับเสียงเชียร์จากหลายคนที่เคยเห็นเธอตอนออกตรวจรักษา แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าเธอไม่ได้นับรวมอยู่ในจำนวนศิษย์ที่จะรับ แต่ก็ยังส่งเสียงเชียร์ให้เธออย่างล้นหลาม
ฉินอวี้หันไปมองเวิ่นหยุนซี เวิ่นหยุนซียิ้มและพยักหน้าให้ ส่วนถงอวิ๋นก็ชูหมัดขึ้น หมายความว่า ถ้าใครแพ้จะโดนจัดหนักแน่
สาวๆ คนอื่นๆ ก็มีคนที่คอยเชียร์เช่นกัน บรรยากาศทั้งสนามเต็มไปด้วยเสียงเชียร์ดังกึกก้อง ยิ่งใหญ่ร้อนแรงยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ในฤดูร้อน
“อาอวิ๋น เจ้าคิดว่าใครจะชนะ?”
เวิ่นหยุนซีกุมหูแน่น แล้วตะโกนเข้าไปใกล้หูถงอวิ๋น
ถงอวิ๋นชี้ไปที่ฮวาหลี
ฮวาหลีในฐานะที่เป็นคนที่ท่องชื่อสมุนไพรได้มากที่สุดในรอบที่สองนั้น เวิ่นหยุนซีได้ถามถึงภูมิหลังของเธอแล้ว
แม่ของเธอคือท่านผู้อาวุโสฮวา และเธอเองก็มีความสามารถมาก ในหมู่เพื่อนรุ่นเดียวกัน เธอนับว่าเป็นคนที่โดดเด่น
ชนเผ่าสุ่ยอียกย่องผู้ที่มีฝีมือการต่อสู้สูงเป็นหลัก ที่เธอได้รับการสนับสนุนในตอนนี้ ก็เพราะความสามารถของเธอเอง
“แต่ว่านะ” เวิ่นหยุนซีหัวเราะ “ข้ากลับมองว่าฉินอวี้จะชนะมากกว่า”
ถงอวิ๋นเคยประมือกับฉินอวี้มาก่อน เธอรู้ว่าฉินอวี้มีฝีมืออยู่บ้าง แต่ไม่ได้โดดเด่นอะไร เมื่อเทียบกับคนในชนเผ่าสุ่ยอี
เวิ่นหยุนซีอธิบายว่า “ยัยเด็กนั่นฉลาด นางจะไม่ยอมให้ใครอ่านใจออกง่ายๆ หรอก”
เพราะฉินอวี้ถูกเลี้ยงดูมา และถูกใช้เป็นเครื่องมือตั้งแต่เล็ก ถ้าไม่มีฝีมือจริงๆ คงมีชีวิตรอดมาไม่ถึงอายุ 12 แน่นอน
เมื่อถงอวิ๋นได้ยินดังนั้น เธอก็หันไปมองฉินอวี้อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เห็นความพิเศษอะไรมากนัก
แต่เธอกลับสังเกตเห็นมู่หลิวที่อยู่ไม่ไกล สายตาของมู่หลิวกำลังเปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าฉินอวี้จะพูดอะไรบางอย่างที่ยั่วยุพอจะทำให้คนที่ขี้เกียจมาหลายปีลุกขึ้นมาอยากสู้
ถงอวิ๋นคิดไปถึงตอนที่ตัวเธอเองก็เคยถูกเวิ่นหยุนซีท้าทาย จนกระทั่งตอบรับเดิมพันอย่างไม่คิด
เธอจึงสงสัยว่า ในอนาคตเวิ่นหยุนซีจะฝึกเด็กๆ เหล่านั้นให้ออกมาเป็นคนแบบไหนกันแน่
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เหยียนซานก็เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาถือฆ้องทองเหลืองอยู่ในมือ พูดเสียงดังว่าให้เตรียมตัว แล้วตีกลองดังสนั่น
ทันทีที่เสียงกลองดัง เด็กสาวทั้งหลายพุ่งออกไปเหมือนลูกธนูที่พุ่งออกจากคันธนู ฮวาหลีเป็นคนแรกที่แซงทุกคนไป
เธอออกแรงวิ่งเต็มที่ แต่โชคร้ายที่เธอออกแรงเร็วเกินไป ทำให้เมื่อวิ่งถึงครึ่งทางเริ่มจะหมดแรง
ฮวาหลีหันไปมองด้านขวา รู้สึกโล่งใจที่ฉินอวี้ยังตามมาไม่ถึง เธอกลัวฉินอวี้จะตามมาทัน จึงไม่ทันได้สังเกตว่าทางด้านซ้ายมีคนกำลังวิ่งแซงเธอขึ้นมา
ทันทีที่เธอหันไปมอง ก็เห็นว่าเป็นใครคนนั้นที่แซงหน้าเธอไปแล้ว
คนที่แซงเธอไปคือ มู่หลิว!
ฮวาหลีรู้สึกตกใจที่เห็นว่ามู่หลิวเข้าร่วมการทดสอบด้วย เพราะก่อนหน้านี้เธอคิดว่ามู่หลิวชอบเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน แล้วทำไมถึงมาเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ได้?
ยิ่งไปกว่านั้น เธอไปแอบอยู่ที่ไหนมา ตลอดสองรอบก่อน ทำไมเธอถึงไม่สังเกตเห็นมู่หลิวเลย?
ในขณะที่ฮวาหลีกำลังครุ่นคิดเรื่องมู่หลิว มีคนแซงผ่านเธอไปทางขวา นั่นคือฉินอวี้ เมื่อเห็นฉินอวี้วิ่งทิ้งห่างเธอออกไปเรื่อยๆ ทำให้ฮวาหลีโกรธจนแทบอยากจะกรี้ดออกมา
เธอพยายามตั้งสติใหม่ ปรับจังหวะการหายใจและเร่งฝีเท้าขึ้น แต่ก็ยังถูกเด็กสาวคนอื่นๆแซงขึ้นไปอีก
ในขณะที่ มู่หลิวเองก็รู้สึกได้ว่ามีคนวิ่งตามหลังเธออยู่ในระยะใกล้ๆ คนที่วิ่งตามหลังเธอมาดูเหมือนจะมีแรงเหลือเฟือ ไม่ว่าเธอจะเร่งความเร็ววิ่งหนีแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถทิ้งห่างได้เลย
เมื่อใกล้ถึงเส้นชัย มู่หลิวใช้แรงเฮือกสุดท้ายพุ่งไปข้างหน้าอย่างเต็มที่ แต่คนที่วิ่งตามเธออยู่นั้น ก็ไล่ตามมาทันในช่วงวินาทีสุดท้าย และคนๆนั้น ก็วิ่งเข้าเส้นชัยก่อนเธอเพียงเสี้ยววินาที!!
ท่ามกลางเสียงเชียร์ของฝูงชน มู่หลิวถูกแม่ของเธอรับตัวเอาไว้ เธอเงยหน้ามามอง เห็นฉินอวี้ที่กำลังเดินไปหาเวิ่นหยุนซี ในใจของเธอตอนนี้มีความรู้สึกเสียใจและอารมย์เริ่มพลุ่งพล่าน
เธอเสียใจที่สองปีครึ่งที่ผ่านมาเธอเอาแต่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า
ครั้งสุดท้ายที่เทศกาลมู่เซี่ย เธอเคยเอาชนะฮวาหลีคู่ปรับตลอดกาลได้อย่างง่ายดาย จนเธอรู้สึกว่าชีวิตนี้ไร้ความท้าทาย จากนั้นเธอก็เอาแต่นั่งเฉยๆ อยู่ในบ้าน ไม่ฝึกการต่อสู้อีกเลย แม้แต่การฝึกเขียนตัวอักษรก็หยุดลง
ตอนนี้เธออาจจะยังเอาชนะฮวาหลีได้ แต่เธอไม่สามารถเอาชนะฉินอวี้ได้อีกแล้ว
ทั้งๆ ที่ฉินอวี้สามารถแซงหน้าเธอได้ตั้งนานแล้ว แต่กลับจงใจวิ่งตามอยู่ข้างหลัง จนถึงช่วงที่เธอพุ่งไปข้างหน้าครั้งสุดท้าย มันเป็นการกระทำที่ช่างเจ้าเล่ห์และน่ารำคาญเหลือเกิน
มู่หลิวรับน้ำจากแม่ของเธอ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยประกายแห่งความมุ่งมั่น เธอจ้องไปที่ฉินอวี้ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ เธอสัญญากับตัวเองว่าเธอจะเอาชนะให้ได้ในครั้งหน้า!
เมื่อเห็นว่ามีคนแซงเธอไปทีละคน หัวใจของฮวาหลีก็เริ่มร้อนรน ยิ่งร้อนรนก็ยิ่งวิ่งช้าลงเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดจากที่เคยอยู่ในอันดับหนึ่ง เธอกลับร่วงลงไปอยู่ที่ อันดับ 45
ตั้งแต่เด็กๆ ฮวาหลีเป็นฝ่ายชนะมาตลอด ในหมู่เพื่อนรุ่นเดียวกันมีเพียงมู่หลิวเท่านั้นที่สามารถเอาชนะเธอได้ แต่ครั้งนี้เธอกลับแพ้ไปถึง 40 กว่าคน ความเศร้าใจนี้ถูกสะสมและทำให้ฮวาหลีร้องไห้ออกมา
ฮวาแชงเหล่า ผู้นำเผ่าฮวา ก็ได้แต่เช็ดน้ำตาให้ลูกสาว เธอกอดลูกสาวไว้ในอ้อมแขนแล้วปลอบโยนเล็กน้อย จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
ไม่ใช่ว่าเธอไม่รักลูก แต่เธอรู้ว่าการเติบโตต้องผ่านความล้มเหลวและความยากลำบาก นี่คือเส้นทางที่ฮวาหลีต้องเดินด้วยตัวเอง
ทันทีที่ผู้นำเผ่าฮวาเดินจากไป มู่หลิวก็เดินเข้ามาหาฮวาหลี
"ฮวาหลี เจ้าคิดว่าร้องไห้แล้วจะมีประโยชน์เหรอ?"
"อย่ามาพูดมั่วซั่ว! ข้าแค่มีฝุ่นเข้าตาต่างหาก!"
ฮวาหลีที่ร้องไห้จนตัวโยน เมื่อได้ยินคำพูดของมู่หลิวก็ลุกขึ้นมาและตะโกนออกมาด้วยเสียงดัง
"อ่าหะ เจ้าไม่ได้ร้องไห้ งั้นเจ้าตามข้ามา ข้ามีวิธีที่จะชนะฉินอวี้"
มู่หลิวดึงฮวาหลีไปที่มุมหนึ่งแล้วกระซิบ
เหตุการณ์นี้ไม่พ้นสายตาของเวิ่นหยุนซีและถงอวิ๋นที่คอยจับตามองอยู่
เวิ่นหยุนซีตบไหล่ฉินอวี้เบาๆ "ผลงานของเจ้าดีมาก ดูสิ เด็กสาวสองคนนั้นน่ะ กำลังวางแผนที่จะเอาชนะเจ้าอยู่แน่ๆ ดูจากแววตาที่ลุกโชนของพวกเขาสิ"
เวิ่นหยุนซีพอใจกับการยั่วยุของฉินอวี้มาก เพราะมีความขัดแย้งเกิดขึ้น เรื่องราวก็จะน่าสนใจขึ้น
ส่วนการที่ฉินอวี้จะรับหน้าที่เป็นพี่ใหญ่ในอนาคตได้อย่างไรนั้น ก็คงต้องปล่อยให้เธอคิดหาวิธีเอาเอง ในฐานะอาจารย์ เธอจะไม่เข้าข้างลูกศิษย์คนไหนเป็นพิเศษ
ถงอวิ๋นที่รู้ว่าการแข่งขันรอบต่อไปคืออะไร เพราะพื้นที่สำหรับการแข่งขันรอบถัดไปได้ถูกเตรียมไว้แล้ว ก็เอ่ยถามขึ้นว่า
"เจ้ามั่นใจมากแค่ไหนในรอบต่อไป?"
ฉินอวี้ยิ้มอย่างมั่นใจ เผยให้เห็นเขี้ยวน้อยน่ารัก "แน่นอน! ข้ามั่นใจมาก"
…โปรดติดตามตอนต่อไป…
หากพบคำที่พิมพ์ผิด แจ้งได้เลยนะ