ตอนที่ 11 ธงหมื่นวิญญาณ อาวุธเวทย์มนตร์ระดับสูง
ตอนที่ 11 ธงหมื่นวิญญาณ อาวุธเวทย์มนตร์ระดับสูง
ทันใดนั้น เฉินเกอก็ชี้ไปที่หัวของผู้บ่มเพาะวัยกลางคนและกล่าวออกมาด้วยท่าทางตื่นกลัว “ศิษย์พี่เว่ย นั่น! ข้าจำได้แล้ว! เขาคือเว่ยผิง ศิษย์อันดับที่ 9 ของนิกายเสินกัง ! ชายผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่ 7 เชียวนะขอรับ!”
“ในตอนนั้น ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนของนิกายเราก็ถูกเว่ยเผิงผู้นี้ฆ่าตายไป!” สวีหมิง, เว่ยหัว และศิษย์คนอื่น ๆ ต่างมองไปที่หัวผู้บ่มเพาะคนนั้นและตกใจในทันใด
เว่ยผิงคือผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่ 7 ซึ่งก็มีความแข็งแกร่งมากกว่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าตอนนี้เขาถูกฆ่าตายจริงหรือ?
และเมื่อมองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ ดูเหมือนจะไม่มีร่องรอยการต่อสู้มากนัก เห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนนี้ถูกอีกฝ่ายฆ่าตายลงไปอย่างง่ายดาย
ใครทำ?
เฉินเกอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “พวกเจ้าคิดว่า... เป็นไปได้ไหมที่คนสามคนนี้จะถูกศิษย์พี่ฉู่ฆ่าตาย?”
สวีหมิงรีบปฏิเสธทันที “เป็นไปไม่ได้ ฉู่เสวียนอยู่ในช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่ 4 มากสุดคือฆ่าผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่ 5 ได้เท่านั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสามคนนี้เลย เขาจะฆ่าทั้งสามคนอย่างง่ายดายด้วยหนึ่งถึงสองกระบวนท่าได้อย่างไร ข้าคิดว่าคนที่จะสามารถฆ่าทั้งสามคนลงได้ จะต้องเป็นผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่ 8 เป็นอย่างต่ำ ถึงจะทำได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินเกอ, เว่ยหัวและศิษย์คนอื่น ๆ ก็คิดตาม ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้เลย
สวีหมิงกล่าวต่อด้วยความตื่นเต้น "รีบไปกันเถอะ ไม่ว่าใครจะฆ่าพวกเขา มันก็เป็นข้อได้เปรียบสำหรับพวกเราอยู่แล้ว ยังไม่สายเกินไปที่จะตอบแทนท่านผู้นั้นเมื่อเราไปถึงสถานที่ที่ปลอดภัย"
ทั้งห้าคนเร่งฝีเท้าแล้วหายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว
...
อีกด้านหนึ่ง ฉู่เสวียนได้เดินออกห่างจากคฤหาสน์ตระกูลอู๋มาไกลพอสมควรแล้ว เขาไม่ได้เข้าไปในเมืองอีก แต่หลังจากยืนยันได้ว่าบริเวณโดยรอบไม่มีผู้คน เขาก็เดินไปที่เนินเขาและเข้ายึดครองถ้ำหมีตาบอด สำหรับเจ้าของถ้ำคนเดิมนั้น เขาก็ได้เชิญให้ไปพบยมบาลอย่างสุภาพแล้ว
ฉู่เสวียนใช้พลังวิญญาณของเขากวาดล้างสิ่งสกปรกและกลิ่นเหม็นในถ้ำออกไปจนหมด จากนั้นเขาก็ปิดทางเข้าถ้ำแล้วนั่งลงและมองดูทรัพยากรที่ได้มาในครั้งนี้ด้วยความคาดหวัง
อย่างแรกคือถุงเก็บของเขาเอง ซึ่งตอนนี้ข้างในนั้นมีมหาค่ายกลแปลงโลหิต และหินวิญญาณระดับต่ำมากกว่าร้อยก้อน ซึ่งหินวิญญาณระดับต่ำเหล่านี้ ล้วนถูกแลกกับลูกปัดโลหิต 30 เม็ด ที่เขาได้เอาให้ เฉินเกอ, เว่ยหัวและศิษย์คนอื่นๆไป
“ในอดีต ราคาของลูกปัดโลหิตเป็นเพียงหินวิญญาณระดับต่ำสองก้อนเท่านั้น แต่ตอนนี้มันเพิ่มขึ้นเป็นสามก้อนแล้ว หึ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีโอกาสน้อยมากที่จะล่าเลือดของอสูรและมนุษย์มากลั่นเอาแก้นแท้โลหิตเพื่อให้ได้ลูกปัดโลหิตขึ้นมาสักหนึ่งเม็ด”
ฉู่เสวียนละสายตาไปด้านข้าง มองถุงเก็บของคุณภาพต่ำของสาวกนิกายเสินกังทั้งสามคนที่เขาฆ่าตายไป ซึ่งเขาก็ตั้งตารอและคาดหวังกับถุงเก็บของทั้งสามเป็นอย่างมาก ท้ายที่สุดแล้วนี่ก็คือทรัพยากรของผู้อื่น บางทีมันอาจจะมีสิ่งดีๆอยู่ในนั้นก็เป็นได้!
ฉู่เสวียนเปิดถุงเก็บของของทั้งสามคนทีละถุง จากนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา สิ่งของที่อยู่ในถุงเก็บของของสาวกช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่ 5 ทั้งสองคนนั้น พื้นฐานแล้วจะมีหินวิญญาณระดับต่ำเพียงสามถึงสี่ร้อยก้อน และอาวุธเวทย์มนตร์ที่นิกายเสินกังมอบให้
ส่วนถุงเก็บของของสาวกช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่ 7 คนนั้น ได้มีหินจิตวิญญาณระดับกลางสองก้อน และหินวิญญาณระดับต่ำมากกว่า 800 ก้อน! นอกจากนี้ยังมีค่ากลแปรงวิญญาณและค่ายกลสาบสูญ ซึ่งเป็นค่ายกลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสร้างที่อยู่อาศัยในถ้ำ
นอกจากนี้ ฉู่เสวียนก็ค้นพบบางสิ่งที่ไม่คาดคิด ทันใดนั้นเขาก็หยิบของชิ้นหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของ
ซึ่งก็คือธงสีดำที่มีพลังหยินอยู่เต็มเปรี่ยม หากว่าตั้งใจฟังดีๆ จะได้เสียงร่ำไห้และเสียงร้องของวิญญาณผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกขังอยู่ในนั้น
ชิๆ
"ธงหมื่นวิญญาณ? น่าสนใจดี" ฉู่เสวียนเลิกคิ้ว
ธงหมื่นวิญญาณนี้เป็นอาวุธเวทย์มนตร์ระดับสูง โดยทั่วไปแล้ว ผู้บำเพ็ญที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณจะมีอาวุธเวทย์มนตร์ระดับต่ำและระดับกลางเป็นส่วนใหญ่ เฉพาะผู้บำเพ็ญที่อยู่ในช่วงสร้างรากฐานเท่านั้นที่จะมีอาวุธเวทย์มนตร์ระดับสูงเช่นนี้ได้ ไม่คิดเลยว่าศิษย์ของนิกายเสินกังคนนี้จะมีธงหมื่นวิญญาณอยู่ในครอบครอง
ผู้บำเพ็ญมารส่วนใหญ่มักจะใช้เทคนิคกลั่นศพหยินหรือเทคนิคกลั่นวิญญาณของผู้ที่ตายแล้วมาขังไว้ในธงหมื่นวิญญาณเพื่อใช้ป็นอาวุธในการต่อกรกับศัตรู
หลังจากที่กักขังวิญญาณไปได้ระยะหนึ่ง วิญญาณเหล่านี้ก็จะดุร้าย และเครียดแค้นมากยิ่งขึ้น เมื่อธงหมื่นวิญญาณปรากฏขึ้นที่ใด วิญญาณที่ถูกกักขังอยู่ข้างในนั้นก็จะวิ่งออกมาราวกับกระแสน้ำที่ซัดสาดเข้าหาศัตรู
ฉู่เสวียนเป็นคนฉลาด จึงพอจะคาดเดาที่มาที่ไปของมันได้ทันที
สาวกของนิกายเสินกังคนนี้ อาจจะฆ่าสาวกของนิกายอู๋จี๋และขโมยธงหมื่นวิญญาณมา แต่เขากลับไม่ได้มอบมันให้กับนิกาย และเลือกที่จะเก็บไว้กับตัวเอง ส่วนเหตุผลที่เลือกจะเก็บไว้เองก็คงไม่ต้องอธิบายให้มันยุ่งยาก
ธงหมื่นวิญญาณเป็นอาวุธเวทย์มนตร์ที่รู้จักกันดีและทรงพลังอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าบุคคลนี้วางแผนที่จะฝึกฝนและแอบใช้มันอย่างลับๆ
“ไม่ใช่ทุกคนในนิกายเสินกัง ซึ่งเป็นหนึ่งในห้านิกายสายธรรม ที่จะเป็นคนซื่อสัตย์เพราะอาวุธระดับสูงนั้นทั้งทรงพลังและเปิดใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ใครบ้างจะไม่ชอบมันถ้าไม่ใช่เพราะการฆ่าอย่างป่าเถื่อนจะนำมาซึ่งการลงโทษจากสวรรค์ ข้าเกรงว่านิกายสายธรรมทั้งห้าก็คงจะเปลี่ยนเดินบนเส้นทางสายมารเหมือนกันนั่นแหละ”
ไม่ว่าในกรณีใด อาวุธเวทย์มนตร์ระดับสูงอย่างธงหมื่นวิญญาณนี้ ก็เป็นสิ่งที่ล่อหูล่อตาของผู้บ่มเพาะอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสาวกของนิกายเสินกังหรือสาวกของนิกายอู๋จี๋ หากต้องการสะสมวิญญาณในธงหมื่นวิญญาณนี้ ก็ต้องทำอย่างลับๆ
แต่ฉู่เสวียนนั้นแตกต่างออกไป ตราบใดที่เขากลับไปยังดาวเคราะห์โลกาวินาศได้ ก็จะมีซอมบี้มากมายให้เขาดึงวิญญาณออกมาและกังขังไว้ในธงนี้
“ด้วยวิธีนี้ ข้ามีจะมีอาวุธวิเศษระดับสูง มาเก็บอยู่ในกุสมบัติของข้าอีกชิ้นหนึ่ง” ฉู่เสวียนยิ้มออกมาด้วยสีหน้าพึงพอใจ
จากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิ และเริ่มถ่ายทอดพลังวิญญาณของเขาเข้าไปในกระจกสีโลหิต ส่วนกระจกโลหิตในอ้อมแขนของเขาก็ได้ดูดซับพลังงานวิญญาณของสวรรค์และโลกอย่างช้าๆ และชาร์จพลังขึ้นเรื่อยๆ
ห้าวันต่อมา ที่ภูเขาไป๋หมาง
สวีหมิง, เฉินเกอ, เว่ยหัวและศิษย์คนอื่น ๆ ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำและรออาจารย์ของพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ เท่าที่พวกเขาได้ประมาณการไว้ หลิวเจิ้งสงน่าจะสลัดตัวหลุดออกจากชุนซื่อและสาวกคนอื่นๆของนิกายเสินกังและตามพวกเขามาตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน
แต่ตอนนี้ผ่านไปอีกสองวันแล้ว หลิวเจิ้งสงกลับยังไม่ปรากฏให้เห็นเลย ซึ่งก็ไม่มีใครกล้าลงจากภูเขาเพื่อไปตรวจสอบเรื่องนี้ดู
ทุกคนต่างตกอยู่ในความหวาดกลัว ตั้งแต่ตั้งฐานที่มั่นลับอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลอู๋ ทุกวันคืนก็ใช้อย่างวิตกกังวล
“เจ้าลองเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงเขาไปดูสิ” สวีหมิงมองไปที่เฉินเกอ “เพราะถึงอย่างไรทักษะการปลอมตัวของเจ้าดีที่สุดในหมู่พวกเราแล้ว”
“เหตุใดข้าต้องไป ทุกครั้งที่ข้าออกไปขายสมุนไพรในตรอกไท่ผิง เจ้าก็ไม่เคยไปช่วยข้าเลย”
สวีหมิงลุกขึ้นยืนทันทีและตะโกนว่า "อาจารย์อาหลิวมอบหมายให้ข้าเป็นผู้นำของทีมนี้ ยังไงเจ้าก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้า!"
เฉินเกอไม่ตอบอะไรกลับมา
อย่างไรก็ตาม ทันที่ที่สวีหมิงกล่าวจบได้ไม่ทันไร เสียงของหลิวเจิ้งสงก็ดังขึ้นมาจากข้างนอก
“ไม่ต้องลงเขาไปหรอก ข้ากลับมาแล้ว” หลิวเจิ้งสงปรากฏตัวที่ทางเข้าถ้ำพร้อมกับลูกศิษย์คนอื่นๆ
สวีหมิงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง "อาจารย์อา ในที่สุดท่านก็ตามมาจนได้!"
หลิวเจิ้งสงเหลือบมองสองสามครั้งแล้วพยักหน้าเล็กน้อย "คฤหาสน์ตระกูลอู๋ถูกรายล้อมไปด้วยสาวกของนิกายเสินกัง แต่พวกเจ้ากลับสามารถหลบหนีมาได้โดยที่ไม่พบกับศัตรูเลยแม้แต่คนเดียว ถือว่าโชคดีแค่ไหนแล้ว”
เขาชี้ไปที่สาวกที่อยู่ข้างหลังเขา "เดิมที ไป่เฟิงและคนอื่น ๆ กำลังจะหนีไปที่ภูเขาลั่วเฟิง แต่พวกเขาถูกซุ่มโจมตีมีเพียงไป่เฟิงเท่านั้นที่สามารถหลบหนีมาได้ และได้รับการช่วยเหลือจากข้า”
ไป่เฟิงกล่าวออกมาอย่างขมขื่น "ถ้าอาจารย์อามาไม่ทัน ข้าคงตายไปนานแล้ว สวีหมิง พวกเจ้าโชคดีจริงๆ ที่ไม่พบกับศิษย์ของนิกายเสินกัง แม้แต่คนเดียว?”
สวีหมิง, เฉินเกอ, เว่ยหัวและศิษย์คนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากัน และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้ทุกคนฟัง
“สาวกนิกายเสินกังสามคน หนึ่งในนั้นคือผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นกลั่นลมปราณขั้นที่ 7 ถูกฆ่าตายไปหมดอย่างนั้นหรือ?” หลิวเจิ้งสงและไป่เฟิงตกตะลึง
“ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ ข้าคาดว่าพวกเขาถูกฆ่าตายทันทีและไม่มีโอกาสได้ตอบโต้ด้วยซ้ำ เป็นไปได้มากว่าคนที่ฆ่าพวกเขาจะต้องเป็นผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐาน ถึงจะทำเช่นนั้นได้ขอรับ” สวีหมิงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เฉินเกอยกมือขึ้นอย่างอ่อนแรง “อาจารย์อา ข้าว่าอาจเป็นศิษย์พี่ฉู่ก็เป็นได้นะขอรับ เขามีความแข็งแกร่งที่โดดเด่นมาโดยตลอด… ”