บทที่ 20: เพิ่มขนาดยา
ถึงแม้ว่ามู่เทียนฉงจะคิดเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่ได้หยิกแก้มเจ้าตัวเล็ก แล้วลูบไล้มันเบา ๆ คล้ายกับสัมผัสสิ่งของล้ำค่า
เด็กคนนี้เป็นสมบัติล้ำค่าจริง ๆ
เขาอยากจะให้นางอยู่ข้างกายเขาทุกที่ทุกเวลา
ในขณะเดียวกัน อวี้เซิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างหลังฉากกั้นมองภาพตรงหน้านิ่ง
ชายหนุ่มรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัวเมื่อเห็นมู่เทียนฉงปฏิบัติตัวเหมือนมู่ไป๋ไป่เป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้ว่าวันนี้ชายผู้ปรีชาและอำนาจล้นฟ้าคนนี้กินยาผิดไป
เขาประสานมือไว้ด้านหน้าพลางจ้องมองพ่อลูกที่หยอกล้อกันบนบัลลังก์มังกรด้วยดวงตาที่ลุกเป็นไฟราวกับกำลังมองเหยื่อ
จากนั้นเขาก็แค่นเสียงเย็นชาในลำคอ “หึ! ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริง ๆ”
ก่อนที่นักฆ่าหนุ่มจะเบือนหน้าหนีจากภาพที่ไม่น่าดูและเดินออกจากท้องพระโรงไปอย่างเงียบเชียบ
ด้านนอกตำหนัก อัครมหาเสนาบดีที่เคยคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักของฮ่องเต้ เมื่อเขารู้ว่าฝ่าบาทเสด็จกลับมาถึงตำหนักเย่าเจิ้งแล้ว เขาก็รีบวิ่งไปคุกเข่ารออยู่ที่นอกตำหนักเย่าเจิ้ง
อวี้เซิ่งที่เดินออกมาเห็นภาพดังกล่าวก็มุมปากกระตุก ชายคนนี้มีอายุไล่เลี่ยกับพวกเขา แต่เขากลับทำตัวดื้อรั้นเหมือนตาเฒ่าในราชสำนัก
เมื่ออัครมหาเสนาบดีเห็นบุรุษที่เดินออกมา เขาก็เงยหน้าขึ้นทักทาย “คุณชายอวี้”
ฝ่ายที่ถูกเรียกเหลือบมองคนที่คุกเข่าอยู่ด้วยหางตา
“ช่วยข้าที ข้าอยากจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
“ไม่”
“...” พอ ‘เจียงเช่อ’ ถูกปฏิเสธอย่างกะทันหัน เขาก็ชะงักงัน
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงอัครมหาเสนาบดี ตามปกติแล้วคนอื่น ๆ หากไม่ทักทายเขาอย่างนอบน้อม พวกเขาก็จะปฏิเสธอย่างสุภาพหน่อยว่า ‘ข้าช่วยท่านไม่ได้’ ดูจากท่าทางแล้ว คนคนนี้ไม่คิดที่จะช่วยเขาเลยแม้แต่น้อย
เขาได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เจ้าก้อนน้ำแข็งคนนี้คงไม่ยอมช่วยเขาแน่นอน
อวี้เซิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นกอดอกและเอ่ยคำพูดคล้ายจะเยาะเย้ย
“ตอนนี้องค์หญิงใหญ่อยู่ในคุกใต้ดินแล้ว ทำไมท่านไม่เอาอาหารไปส่งให้นางล่ะ?”
เจียงเช่อเหมือนจะเพิ่งนึกอะไรออก
มู่เชียนคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย สวมเสื้อผ้าเนื้อดี และได้กินอาหารชั้นเลิศมาตั้งแต่นางเกิด ดังนั้นในคุกใต้ดินที่ทั้งมืด ชื้นแฉะ มีแมลงและหนูอยู่มากมายจะต้องทำให้นางรู้สึกไม่ดีมากแน่ ๆ
เมื่ออัครมหาเสนาบดีคิดว่าลูกสาวคนเดียวของน้องสาวเขาจะต้องทุกข์ทนทรมานแสนสาหัส หัวใจของเขาก็เหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นบีบแน่น
หากเขาสามารถนำอาหารไปส่งให้มู่เชียนได้ในเวลานี้ อย่างน้อยนางคงจะรู้สึกทรมานน้อยลง
พอคิดได้ดังนี้ เขาก็คว้าชุดคลุมมาใส่แล้วลุกขึ้นยืน
เจียงเช่อคุกเข่ามาทั้งวันแล้ว มันทำให้เข่าของเขาเริ่มบวมแดง พอยืนขึ้นเขาก็เอื้อมมือไปลูบหัวเข่าทั้งสองข้างของตัวเองเบา ๆ จากนั้นก็มีคนเข้ามาช่วยพยุงเดินลงบันไดออกจากตำหนักเย่าเจิ้งไป
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง อวี้เซิ่งก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในตำหนักอีกครั้ง
ภายในตำหนัก
มู่เทียนฉงได้วางมู่ไป๋ไป่ลงจากตักแล้ว เมื่อเขาเห็นอวี้เซิ่งเดินเข้ามา และเห็นว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยปากสั่งอีกฝ่ายเสียงเย็น “ไปเรียกหมอหลวงให้มาเปลี่ยนยาให้ไป๋ไป่”
นักฆ่าหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางคิดว่านี่เป็นงานที่เขาควรทำอย่างนั้นหรือ?
แล้วเขาก็หันไปจ้องอันกงกงด้วยความไม่พอใจ ในขณะที่สายตาของเขาสื่อความหมายว่า ‘เจ้าจะอยู่เฉยอยู่อีกทำไม? ไปทำตามรับสั่งสิ!’
อันกงกงที่ถูกสายตาคมดุมองจึงรีบอธิบายว่า “กระหม่อมจะต้องไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมสำรับ”
นั่นทำให้อวี้เซิ่งแค่นเสียงเย็นชาในลำคอ ก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกไป
หลังจากนั้นสำรับจากห้องครัวและหมอหลวงจากสำนักหมอหลวงก็มาถึงเกือบจะในเวลาเดียวกัน
มู่ไป๋ไป่เลือกที่จะกินข้าวก่อนโดยปล่อยให้คนเป็นหมอยืนรอคำสั่งอยู่ด้านข้าง
แล้วคนที่ต้องรอคอยก็ได้แต่เฝ้ามองอาหารที่ส่งกลิ่นหอมมากมายบนโต๊ะพลางกลืนน้ำลายลงคออยู่หลายครั้ง จนกระทั่งเขาต้องหลับตาลง
เอื้อก ข้าเองก็ยังไม่ได้กินข้าว…
หลังจากรอคอยมาเป็นเวลานาน ในที่สุดมู่ไป๋ไป่ก็กินข้าวเสร็จ
คนตัวเล็กเลียปากตัวเองด้วยความรู้สึกยังไม่พอใจสักเท่าไหร่และเอาแต่นึกถึงอาหารอร่อย ๆ
สุดท้ายมู่เทียนฉงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาจึงหยิบผ้าผืนเล็กขึ้นมาเช็ดปากให้ลูกสาว
พอเขาเห็นว่าเด็กน้อยกินข้าวอิ่มแล้ว เขาก็เริ่มหยิบตะเกียบของตัวเองขึ้นมา เขามองดูอาหารที่เหลืออยู่บนโต๊ะโดยไม่รู้สึกรังเกียจเลย จากนั้นเขาก็เริ่มกินข้าวของตัวเอง
อวี้เซิ่งที่เห็นดังนั้นก็แอบยิ้มในใจ
นี่ฝ่าบาทถึงขั้นลดตัวลงไปกินของเหลือจากคนอื่นจริง ๆ หรือ?
ในเวลาเดียวกัน มู่ไป๋ไป่วางมือเอาไว้บนโต๊ะเพื่อให้หมอหลวงสามารถเข้ามาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ตนได้สะดวก
ผู้เป็นหมอที่รออยู่นานก็รีบเข้าไปใกล้องค์หญิงหก และย่อตัวลงเปิดผ้าพันแผลที่มือของเด็กหญิงออกเป็นอย่างแรก
“องค์หญิง พระองค์จะต้องพันผ้าพันแผลเอาไว้อีก 7 วัน หลังจาก 7 วันนี้ แผลของพระองค์ก็ใกล้หายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มู่ไป๋ไป่ก้มหน้าลงพูดด้วยความผิดหวังว่า “แค่ 5 วันไม่ได้หรือ?”
หมอหลวงส่ายหัวปฏิเสธเบา ๆ
นี่องค์หญิงหกคิดว่าเขาเป็นอะไรกัน ทำไมนางถึงทำเหมือนกับว่าเขาเป็นพ่อค้าในตลาดแล้วมาต่อรองราคาแบบนี้?
“เช่นนั้น… ใส่น้ำตาลในยาสักนิดหนึ่งได้หรือไม่?”
มู่ไป๋ไป่ยังคงไม่ยอมแพ้ เธอพยายามต่อรองกับหมอหลวงอีกครั้ง
ผู้เป็นหมอยังคงส่ายหัวปฏิเสธเช่นเคย “องค์หญิงหก ยาดีมีรสขมพ่ะย่ะค่ะ”
เด็กหญิงที่ถูกปฏิเสธก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา “ถ้าไม่ให้เติมน้ำตาลลงในยา เช่นนั้นท่านก็เอาผ้าพันแผลออกหลังจากนี้อีก 5 วัน”
“แต่หากเติมน้ำตาลลงในยา ท่านก็เอาผ้าพันแผลออกหลังจากผ่านไป 7 วัน”
มู่เทียนฉงที่สายตายังคงจับจ้องไปที่คนตัวเล็กในขณะที่รับประทานอาหาร พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ออกจากปากของลูกสาว อาหารในปากเขาก็แทบจะพุ่งออกมา
แล้วผู้เป็นฮ่องเต้ก็ต้องสำลักอาหารจนไอรุนแรง อันกงกงจึงต้องรีบเทน้ำจากโต๊ะน้ำชาก่อนจะส่งให้เขา
ชายหนุ่มรับน้ำมาจิบพลางขมวดคิ้ว และส่ายหัวอย่างเอือมระอา
มู่ไป๋ไป่ที่ได้ยินเสียงไอของบิดาก็หันกลับไปมองด้วยความสงสัย เธอกะพริบตากลมโตแล้วถามพ่อขี้โมโหว่า “ท่านพ่อเป็นอะไรไปหรือเพคะ?”
เสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าตัวเล็กทำให้สีหน้าของมู่เทียนฉงแข็งทื่อ ก่อนที่เขาจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ไม่มีอะไร”
มู่ไป๋ไป่ทำหน้าไม่เข้าใจและหันกลับไปเพื่อเจรจาต่อรองกับหมอหลวงต่อไป
ขณะนี้บนหน้าผากของหมอหลวงมีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นมา ในขณะที่เขามีสีหน้าลำบากใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ได้หรือไม่ได้?” เด็กหญิงเค้นเอาคำตอบ
ผู้เป็นหมอตกตะลึง พลางคิดว่ามันจะได้ได้อย่างไร!
โอ๊ยยย นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้!
มู่ไป๋ไป่แอบบ่นในใจ เธอหลับตาลงเบา ๆ แล้วหันกลับไปหาพ่อผู้อารมณ์ร้ายเพื่อถามว่า “ท่านพ่อ ท่านคิดเห็นว่าอย่างไรเพคะ?”
เมื่อมู่เทียนฉงมองดูสีหน้าอ้อนวอนของลูกสาว มันคล้ายกับว่านางจะสามารถร้องไห้ได้ในอึดใจถัดไปหากเขาไม่เห็นด้วยกับคำขอของนาง
หลังจากเด็กหญิงเห็นว่าท่านพ่อไม่ได้พูดอะไร เธอก็ทิ้งตัวนั่งพิงเก้าอี้พลางเตะขาเบา ๆ ก่อนจะกระโดดลงบนพื้นอย่างมั่นคง แล้ววิ่งไปหาชายผู้กุมอำนาจสูงสุด
พอคนตัวเล็กเข้าไปใกล้เขามากขึ้น ดวงตาของเธอก็ยิ่งออดอ้อนเป็นประกาย
“ท่านพ่อ~”
ต้องบอกว่าทักษะการออดอ้อนของเธอนั้นยอดเยี่ยมมาก
ทางด้านมู่เทียนฉงขมวดคิ้วแน่น เพราะยิ่งลูกสาวทำเช่นนี้มันก็ยิ่งเป็นเรื่องยากที่เขาจะปฏิเสธคำขอของอีกฝ่าย แต่คำขอเหล่านั้นนับว่าไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่นัก
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะเด็กคนนี้ได้จริง ๆ
“ใส่น้ำตาลลงไป”
แล้วพ่อที่แพ้ลูกอ้อนของลูกสาวตัวน้อยก็เอ่ยปากออกไปอย่างยากลำบาก และนั่นก็ทำให้มู่ไป๋ไป่กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
“ไชโย!” หลังจากที่เธอแสดงความดีใจในชัยชนะแล้ว เธอก็หันไปแลบลิ้นใส่หมอหลวง
ท่าทางเด็กน้อยแสนซนที่แลบลิ้นนั้นแสดงออกว่าเจ้าตัวประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งทำให้หมอหลวงต้องหัวเราะออกมา
แต่เนื่องจากวัย พอเขายิ้มกว้างริ้วรอยก็ปรากฏที่หางตา
จากนั้นเขาก็แอบคิดในใจ
องค์หญิงหกน่ารักมากจริง ๆ
แม้ว่าเขาจะอายุมากแล้ว แต่ก็ไม่สามารถควบคุมรอยยิ้มของตัวเองในยามที่เห็นนางยิ้มได้เลย
มีเพียงอวี้เซิ่งเท่านั้นที่เฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดนี้อย่างเย็นชา
แล้วเขาก็แค่นเสียงในลำคอ “นี่ป่วยกันไปหมดแล้วหรืออย่างไร?”
มีอะไรน่าขันขนาดนั้นกัน?
คนจิตใจที่ด้านชาย่อมไม่มีวันมองใครว่าน่ารักได้
หลังจากหมอหลวงเปลี่ยนยาแล้ว เขาก็กลับไปที่สำนักหมอหลวง และนางกำนัลก็ได้เก็บอาหารที่เคยเต็มโต๊ะออกไป
บนโต๊ะอาหารมีถ้วยยาจีนสีเข้มถ้วยใหญ่เข้ามาวางแทนที่จานอาหารละลานตาทันที
มู่ไป๋ไป่ถามพ่อขี้โมโหด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “ท่านพ่อ เมื่อตอนกลางวันหม่อมฉันไม่ได้ดื่มยาเยอะขนาดนี้ไม่ใช่หรือเพคะ?”
มู่เทียนฉงหรี่ตาลงแล้วตอบอย่างใจเย็น “ใช่”
“การเติมน้ำตาลทำให้สรรพคุณของยาลดลงครึ่งหนึ่ง ดังนั้นเราจึงสั่งให้หมอหลวงเพิ่มขนาดยาให้เจ้า”
“...” มู่ไป๋ไป่ถึงกับพูดไม่ออก
แก้มป่อง ๆ ของเธอดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นซูบเซียวทันที ใบหน้าที่เคยเปล่งปลั่งสดใสพลันหมองหม่น และเธอก็ต้องส่ายหัวเบา ๆ เพราะไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือความจริง
มันเป็นความจริงที่เธอเสนอให้เติมน้ำตาลลงในถ้วยยา แต่เธอไม่ได้ขอสักหน่อยว่าให้เขาเพิ่มขนาดของยา!
ฮือออออออ!!
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ลูกเหลี่ยม เจอพ่อเหลี่ยมกลับ 55555555