บทที่ 19: ห้าม้าแยกร่าง
มู่เทียนฉงเหลือบตามองผู้มาเยือนเล็กน้อย ขณะมือที่ถือพู่กันชะงักลงชั่วคราว พร้อมกันนั้นริมฝีปากของเขาก็ยกเป็นรอยยิ้ม
“เกิดอะไรขึ้นกับชายคนนั้นหรือ?”
ก่อนหน้านี้ที่ใจกลางของห้องโถงใหญ่ มีชายคนหนึ่งถูกหามขึ้นมา แล้วเขาก็หมดสติล้มลงไปทันทีเพราะความหวาดกลัว
มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อ พลางคิดว่าเธอควรจะพูดกับเขาไปตามตรงดีหรือไม่?
ไม่นานเสียงแหลมเล็กของเด็กก็สื่อถึงความคับข้องใจเป็นอย่างยิ่งในขณะที่เธอเรียกชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ว่า “ท่านพ่อ…”
มู่เทียนฉงขมวดคิ้วทันที “พ่ออยู่นี่แล้ว เจ้าไม่ต้องร้อง ลองบอกพ่อมาสิ เขารังแกเจ้าหรือไม่?”
มู่ไป๋ไป่สูดน้ำมูกพร้อมกับดวงตาที่เปื้อนไปด้วยน้ำตา และใบหน้ากลมมนก็แสดงออกถึงความโศกเศร้า
“ฮึก ฮือออ”
“เขาทำร้ายไป๋ไป่ แล้วยังกล้าว่าท่านแม่ของไป๋ไป่ด้วย เขาถึงขั้นไล่ให้ไป๋ไป่กลับไปกินนมแม่นอนด้วย” เสียงของมู่ไป๋ไป่แสดงออกว่าเธอเสียใจมาก
หลังจากระบายความในใจออกมา เธอก็ก้มศีรษะลงแล้วกำมือตัวเองแน่น
มู่เทียนฉงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “หืม?”
ขุนนางขั้น 3 กล้าทำร้ายองค์หญิงและต่อว่าพระสนมเช่นนั้นหรือ?
มู่ไป๋ไป่รู้สึกเสียใจและไม่อยากพูดต่อไปอีก ตอนนี้เหลือเพียงเสียงสะอึกสะอื้นเบา ๆ ในลำคอราวกับว่าเธอถูกรังแกจนพูดไม่ออก
พออันกงกงเห็นว่าเด็กหญิงมีท่าทีเช่นนี้ เขาก็รู้สึกไม่ยินยอม นอกจากนี้เขาเองยังรับสร้อยข้อมือของหว่านผินมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงออกหน้าพูดแทนนาง
“ฝ่าบาท กระหม่อมได้เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตาตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”
อันกงกงชี้ไปยังคนที่นอนอยู่กับพื้นท้องพระโรง “ทั้ง ๆ ที่เขาก็เห็นว่าองค์หญิงหกได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็ยังกล้าปัดมือขององค์หญิงเต็มแรง หว่านผินจึงเข้ามาปกป้ององค์หญิงหก แต่คนผู้นี้ยังกล้าพูดจาดูถูกหว่านผิน องค์หญิงหกจึงอดไม่ได้ที่จะตอบโต้กลับไป แต่เขาก็ยังไม่วายหันมาต่อว่าองค์หญิงหกอีกพ่ะย่ะค่ะ”
เขารู้สึกแย่มากในตอนที่พูดว่า “เขาช่างหยิ่งผยองยิ่งนัก หว่านผินกับองค์หญิงหกเป็นใครกัน เขากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?”
มู่เทียนฉงรู้สึกโมโหขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนี้
เมื่อฮ่องเต้หนุ่มหันไปจ้องมองบุคคลที่นอนอยู่บนเปลหาม ความโกรธของเขาก็ยิ่งลุกโชนขึ้น พร้อมกับไอสังหารที่ค่อย ๆ แผ่ออกมาจากร่างกาย
ขณะที่เขาจ้องชายคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา เขาก็ถามว่า “เขาพูดอะไรอีก?”
อันกงกงทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดลง
เป็นมู่ไป๋ไป่ที่ทนไม่ไหวโพล่งออกมา “เขาพูดว่าหม่อมฉันไม่มีใครสั่งสอน…”
นั่นยิ่งทำให้ดวงตาของมู่เทียนฉงเปิดกว้างขึ้น
แล้วความเย็นก็แผ่ปกคลุมไปทั่วท้องพระโรงทำให้ผู้คนที่อยู่ภายในรู้สึกหนาวสั่น
พ่อแม่ไม่สั่งสอนอย่างนั้นหรือ?
“หึ!”
ชายที่นั่งบนบัลลังก์สูงแค่นเสียงในลำคอ
ลูกสาวของเขากลายเป็นคนที่ไม่มีพ่อแม่สั่งสอนอย่างนั้นหรือ? อีกฝ่ายกล้ามาหยามเกียรติเขาแบบนี้ เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
ทางด้านอันกงกงเองยังตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
ท่าทางนี้…
คล้ายกับว่าท่านผู้นี้กำลังจะฆ่าคน!
ในไม่ช้าเสียงทรงพลังก็ดังก้องกังวานไปทั่วท้องพระโรง “ทหาร! มาเอาตัวมันไปลงโทษห้าม้าแยกร่าง แบ่งร่างของมันออกเป็น 5 ส่วน แล้วสมาชิกในครอบครัวที่เหลือของมันจะถูกตัดหัว”
เป็นขุนนางขั้น 3 ของกรมวังแล้วอย่างไร? คนผู้นี้บังอาจมาทำร้ายลูกสาวของเขา!
เหล่าองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าประตูได้ยินคำสั่งก็เดินเข้ามาและกำลังจะหามคนผู้นั้นไปลงโทษตามกระแสรับสั่งของฝ่าบาท ทันใดนั้นฮ่องเต้หนุ่มก็เอ่ยปากว่า
“ช้าก่อน ตัดศีรษะคนพวกนี้ไปแขวนที่ประตูเมืองเพื่อให้ทุกคนได้เห็นเป็นเวลา 7 วัน”
ในขณะนี้ดูเหมือนว่าบุรุษที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรจะกลายร่างเป็นปีศาจที่ขึ้นมาจากขุมนรกแล้ว
“พ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์ส่วนพระองค์ตอบรับเสียงหนักแน่น
จากนั้นพวกเขาก็ยกบุคคลที่นอนอยู่บนเปลไปยังลานประหารชีวิตโดยไม่ลังเล
มู่ไป๋ไป่ที่เฝ้าดูเหตุการณ์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ… พลางคิดว่าคนพวกนั้นจะถูกฆ่าทั้งหมดจริง ๆ หรือ?
หลังจากมู่เทียนฉงจัดการกับคนที่กล้ามาหยิ่งผยองกับคนในครอบครัวของตนแล้ว เขาก็กวักมือเรียกให้คนตัวเล็กที่ยืนอยู่ตรงบริเวณเชิงบันไดให้เข้ามาหาเขา
มู่ไป๋ไป่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เพราะนั่นคือบัลลังก์ของฮ่องเต้ บัลลังก์มังกรที่สง่างาม
ถ้าเธอเดินขึ้นไปมันคงไม่ผิดธรรมเนียมหรอกใช่หรือไม่?
มู่เทียนฉงเห็นเด็กน้อยมีท่าทีลังเล ในระหว่างที่เดินมาท่าทางของนางเต็มไปด้วยความสับสน นอกจากนี้แก้มกลมที่ดูไร้เดียงสาของเจ้าตัวก็แดงก่ำ
ยามนี้ผมเปียเล็ก ๆ สองข้างเหยียดตรงอยู่ที่ด้านหลัง และนางก็สวมเสื้อผ้าที่ช่วยขับให้ตัวนางดูน่ารักมากยิ่งขึ้น
เพียงแค่ได้มองเจ้าตัวเล็กคนนี้ก็สามารถทำให้เขาสบายใจได้โดยง่าย
นั่นส่งผลให้สีหน้าดุดันของผู้เป็นฮ่องเต้ค่อย ๆ จางหายไป ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยสายตาเรียบนิ่งซึ่งเจือไปด้วยความอ่อนโยนเล็กน้อย
“ขึ้นมาเถอะ ไม่ต้องกลัว”
เด็กคนนี้ถูกเลี้ยงมาอย่างไรกันแน่ ทำไมนางถึงขี้กลัวขนาดนี้?
แต่เขาก็ฉุกคิดกับตัวเองว่า ครั้งต่อไปยามที่อยู่ต่อหน้าเด็กเล็กเช่นนี้ เขาไม่ควรพูดถึงเรื่องที่โหดร้ายออกไป
ทางด้านมู่ไป๋ไป่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เพราะถึงอย่างไรนี่ก็คือพ่อของเธอ
แล้วเธอก็พยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนจะตัดสินใจยกชายกระโปรงก้าวขึ้นบันได
ชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรไม่ได้เร่งเร้าเด็กหญิง เขาทำเพียงแค่นั่งรออยู่เงียบ ๆ ให้คนตัวเล็กเดินมาหา
“ท่านพ่อ~”
มู่ไป๋ไป่ส่งเสียงเรียกอย่างไพเราะ ก่อนจะกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของผู้เป็นพ่อ
การกระทำที่เกิดขึ้นแบบกะทันหันทำให้มู่เทียนฉงสับสนเล็กน้อย แต่มือและเท้าก็ขยับไปรับเด็กน้อยมาตามสัญชาตญาณ แล้วรอยยิ้มที่ไม่อาจอดกลั้นเอาไว้ได้ก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา
“ท่านพ่อช่วยไป๋ไป่แก้แค้นแล้ว ท่านพ่อช่างเป็นผู้ที่มีอำนาจล้นพ้นยิ่งนัก”
มู่ไป๋ไป่เอนกายซบลงที่หน้าอกของอีกฝ่าย แล้วสูดกลิ่นหอมเย็น ๆ เข้าจมูกสูดใหญ่
มู่เทียนฉงขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าไม่กลัวเราหรือ?”
ฝ่ายที่ถูกถามตกตะลึง ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งออกคำสั่งประหารชีวิตคนโดยการฉีกร่างเป็นชิ้น ๆ พร้อมกับตัดหัวคนในครอบครัวไปแขวนไว้ที่ประตูเมืองเป็นเวลา 7 วันใช่หรือไม่?
หากเด็ก 4 ขวบจะไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวมันก็คงจะดูแปลกประหลาดไปหน่อย แต่วิญญาณที่อยู่ในร่างนี้เป็นวัยรุ่น มันจึงเป็นเรื่องปกติที่เธอไม่ได้รู้สึกกลัวขนาดนั้น
ในเมื่อการประหารมันไม่ได้เกิดขึ้นต่อหน้าเธอ ดังนั้นเธอจึงนึกถึงภาพเหตุการณ์ในหัวไม่ออกจริง ๆ
“หม่อมฉันไม่กลัว เขาเป็นคนที่รังแกคนอื่นก่อน เขาสมควรได้รับโทษนั้น” ใบหน้าเล็ก ๆ ก้มลงเล็กน้อยในขณะที่เธอคว้าแขนเสื้อของผู้เป็นพ่อเอาไว้
“หืม?” มู่เทียนฉงลังเลอยู่ชั่วอึดใจ
เด็กคนนี้ใจเย็นจริง ๆ
“เจ้ากล้าหาญดี แต่เจ้าไม่ควรเลียนแบบพี่สาวของเจ้าที่อายุเพียงไม่กี่ปีก็โหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้แล้ว การลงโทษนี้ชายคนนั้นสมควรได้รับก็จริงอยู่ แต่พ่อหวังว่าเจ้าจะพูดคุยกับคนอื่นด้วยเหตุผล การที่มีเรื่องเล็กน้อยก็จะเอาแต่ฆ่าคนทุกครั้งไปมันไม่ได้มีประโยชน์ขนาดนั้น มันจะส่งผลต่อร่างกายและจิตใจของเจ้า”
มู่ไป๋ไป่พยักหน้ารับอย่างแข็งขัน ดูเหมือนว่าท่านพ่อขี้โมโหของเธอจะเริ่มสั่งสอนเธอแล้ว
แต่เขาก็พูดถูก ยามที่ต้องลงโทษคนอื่น เราต้องลงโทษพวกเขาตามสมควร และจะต้องมีการพูดคุยเหตุผลกันก่อน หากมีเรื่องก็ไม่ควรทุบตีด่าทอกันทันที เพราะการกระทำเช่นนั้นจะเป็นการบ่มเพาะปีศาจในตัว
เธอยึดมั่นมาตั้งแต่เด็กว่าจะไม่หาเรื่องคนอื่นก่อน เว้นแต่ว่าพวกเขาจะมาหาเรื่องตน หากมีใครกล้ามาหาเรื่องเธอ เธอจะเอ่ยปากตักเตือนอีกฝ่ายก่อน ถ้าพวกเขาไม่ฟัง คราวนี้เธอก็จะเอาคืนคนพวกนั้นเป็น 10 เท่า
หากคิดดูให้ดี ๆ แล้ว ท่านพ่อคนนี้ก็ไม่ใช่คนหัวรุนแรงและโหดเหี้ยมไร้เหตุผลอย่างที่คนเขาเล่าลือกัน
อย่างน้อยหลังจากที่เขาพูดประโยคนี้กับเธอ มันก็ทำให้คะแนนประเมินของเขาพุ่งสูงขึ้น
“ถ้าในอนาคตไป๋ไป่ทำผิดพลาดไป ท่านพ่อจะลงโทษไป๋ไป่ด้วยหรือไม่เพคะ?”
“แน่นอน ถ้าเจ้าทำผิดเราก็จะตีก้นเจ้าจนกว่าจะหลาบจำ”
ตีก้นเนี่ยนะ?
มู่ไป๋ไป่กะพริบตาปริบ ๆ ในขณะที่เอียงหัวเล็ก ๆ
ฮ่า ๆ นี่เขาไม่กล้าลงโทษฉันเหรอเนี่ย?
มู่ไป๋ไป่คิดพลางปิดปากหัวเราะเบา ๆ
ในขณะที่เธอหัวเราะ เธอก็คว้าแขนเสื้อของมู่เทียนฉงแล้วค่อย ๆ ปีนขึ้นไปบนเอวของเขา
“ท่านพ่อ หม่อมฉันมีความลับจะบอกท่าน”
ผู้เป็นพ่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หืม?”
จากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็ยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูเขา พร้อมกับใช้มือเล็ก ๆ ป้องปาก “ไป๋ไป่รักท่านมาก ดังนั้นไป๋ไป่จะเชื่อฟังท่าน”
ดวงตาที่ล้ำลึกไร้ก้นบึ้งของชายผู้นั่งบนบัลลังก์มังกรทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวาบขึ้นมา
รัก?
เขาถูกลูกสาววัย 4 ขวบบอกรักอย่างนั้นหรือ?
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้
แล้วรอยยิ้มก็ค่อย ๆ ปรากฏบนใบหน้าที่เย็นชาและหล่อเหลาของเขา ทว่าภายในใจเขากลับตกอยู่ในภาวะสับสนวุ่นวาย
ถัดมา ฮ่องเต้หนุ่มใช้มือใหญ่เกลี่ยผมบนหน้าผากของลูกสาวออก ก่อนจะใช้ฝ่ามือนั้นลูบใบหน้าน่ารักของนาง แล้วผิวเรียบเนียนลื่นมือที่สัมผัสผ่านฝ่ามือทำให้เขามันเขี้ยวอยากจะหยิกแก้มป่องเบา ๆ