บทที่ 16 จินตนาการของคุณเธอช่างบรรเจิดจริง ๆ
บทที่ 16 จินตนาการของคุณเธอช่างบรรเจิดจริง ๆ
ท้ายที่สุดกัวอี้ถังจึงต้องจากไปด้วยความเสียใจ
เฟิงหยวนหนิงพาแขกโรงแรมหลายคนเข้าไปยังลานบ้านโดยใช้บัตรเข้าห้องพัก สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาคือต้นไม้ดอกไม้หลากสีสันสวยงามเรียงรายเป็นแถว ซึ่งถูกตัดแต่งอย่างสวยงาม
บางต้นเหมือนอมยิ้มแท่ง บ้างก็เหมือนเสาที่พันด้วยเถาวัลย์ พุ่มไม้ข้างทางก็เรียงเป็นเส้นตรง สีสันสดใส มีมิติ สวยงาม และเป็นระเบียบเรียบร้อย
เฟิงหยวนหนิงมองแล้วรู้สึกเฉย ๆ แถมยังรู้สึกไม่ชอบเล็กน้อย เพราะเธอเคยเห็นวิวแบบนี้มาแล้วบ่อยครั้ง จึงรู้สึกว่าธรรมดามาก ความจริงเธอชื่นชอบธรรมชาติที่เป็นไปตามสภาพแวดล้อม ไม่ได้ถูกมนุษย์เข้าไปจัดการมากนัก
อย่างไรก็ตาม แขกหลายคนกลับตื่นเต้นและประหลาดใจกับวิวทิวทัศน์ตรงหน้า
ซ่งอวี้หลวนถึงกับอ้าปากค้างและกล่าวว่า “ช่างเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมราวกับสวรรค์สรรค์สร้าง หากให้คนธรรมดาสร้างทิวทัศน์เช่นนี้ ไม่รู้ว่าต้องใช้กำลังคนและเงินทองมากมายเพียงใด”
ไป๋ฮ่าวเกอมีสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน “จริงดังที่ว่า แม้ว่าจะดูเหมือนประดิดประดอยไปบ้าง แต่หากมองดูอย่างละเอียด จะเห็นว่ามันงดงามและประณีตยิ่งนัก”
ขันทีหลูเสียนพยักหน้าเห็นด้วย “หากได้มองลงมาจากที่สูง มันคงจะงดงามยิ่งกว่านี้อย่างแน่นอน”
เฟิงหยวนหนิง “…”
ถึงแม้ระบบนี้จะถูกสร้างโดยเทพเซียน แต่เธอก็อยากจะบอกออกไปตรง ๆ ว่า แท้จริงแล้วทิวทัศน์แบบนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาสร้างขึ้นมาได้
แต่พอคิดอีกที แม้แต่ในโลกที่เธอเคยอยู่ การจะสร้างสรรค์ทิวทัศน์แบบนี้ขึ้นมาด้วยแรงงานคนเพียงอย่างเดียวก็ดูจะยากเกินไป ความจริงแล้วส่วนใหญ่จะต้องอาศัยเครื่องจักรมากกว่า
และสำหรับคนต่างโลกแล้ว พลังของเครื่องจักรจะต่างอะไรไปจากเวทมนตร์?
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่พูดออกไปคงจะดีกว่า เพราะจะอธิบายให้เข้าใจก็ยาก เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเครื่องจักรสร้างขึ้นมาได้อย่างไร
ทุกคนเดินตามทางเล็ก ๆ ที่มีพุ่มไม้กั้น ไม่นานก็มาถึงบริเวณตรงกลาง และเมื่อมองออกไปก็พบว่าทัศนียภาพกว้างใหญ่ขึ้นมาก
บนพื้นซีเมนต์ที่เรียบเสมอกัน ตรงกลางมีสระน้ำพุขนาดใหญ่ น้ำพุพ่นขึ้นมาเป็นรูปดอกไม้ โดยมีละอองน้ำตรงกลางเป็นเกสร และมีกลีบดอกบานออกไปรอบ ๆ
บริเวณขอบสระน้ำมีแปลงดอกไม้เรียงราย พุ่มดอกไม้สีแดงส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกมา
ขณะเดียวกันยังมีแปลงดอกไม้เรียงรายเป็นระเบียบอยู่รอบ ๆ สระน้ำพุ หนึ่งในนั้นมีดอกไม้สีม่วงที่ส่งกลิ่นหอมสดชื่นไปทั่วบริเวณ
นอกจากแปลงดอกไม้แล้ว ยังมีม้านั่งไม้ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ รวมไปถึงโต๊ะและเก้าอี้หินอ่อนหลายชุด โดยแต่ละชุดจะมีร่มผ้าใบบังแดดขนาดใหญ่กางอยู่
ซ่งอวี้หลวนเป็นคนแรกที่ร้องอุทานออกมา “งดงามนัก!”
เธอเคยคิดว่า คนธรรมดาสามารถสร้างสวนแบบนี้ได้เช่นกัน ตราบใดที่พวกเขาใช้กำลังคนมากขึ้น
แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนความคิดแล้ว เพราะแค่สระน้ำพุที่พ่นน้ำออกมาเองได้แบบนี้ คนธรรมดาจะสร้างขึ้นมาได้อย่างไร?
หรือว่าเถ้าแก่จะร่ายเวทมนตร์ให้สระน้ำพุนี้กันนะ?
หลิงจิ่งพูดขึ้น “ที่สุดยอดยิ่งกว่าคือไม่มีแมลงเลย”
สถานที่ที่มีดอกไม้และพืชพรรณมักดึงดูดแมลงเข้ามา ทว่าที่นี่กลับไม่เห็นแมลงใด ๆ เลย ยอดเยี่ยมนัก
ไป๋ฮ่าวเกอกล่าว “ทิวทัศน์ที่สวยงามราวกับสวรรค์สร้างแบบนี้ มันถูกประดิดประดอยมาอย่างดีที่สุดแล้ว”
เฟิงหยวนหนิงทำหน้าเรียบเฉย ทำไมเธอรู้สึกว่าคนเหล่านี้กำลังแสดงละครฉาก “ยายหลิวไปเยี่ยมชมสวนต้ากวน(1)”?
มันช่างน่าอายเหลือเกิน
เธอรู้สึกเขินอาย จึงกระแอมเบา ๆ และพูดว่า “ไปสำรวจบริเวณอื่นกันดีกว่า”
เฟิงหยวนหนิงหันหลังกลับและเดินไปในทิศทางอื่น ยกเว้นพื้นที่ตรงกลาง บริเวณรอบนอกอื่น ๆ ล้วนมีอุปกรณ์ออกกำลังกายกระจัดกระจายอยู่
และหลังจากอ่านคำแนะนำในส่วนการจัดการลานบ้านแล้ว เธอจึงได้รู้ว่าอุปกรณ์ออกกำลังกายเหล่านี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจอยู่บ้าง
ทุกคนรีบเดินตามเธอไป ไม่นานพวกเขาก็เดินผ่านพุ่มไม้และมาถึงสนามหญ้า
ปรากฏว่ารอบ ๆ ทุ่งหญ้ามีพื้นซีเมนต์ และบนพื้นซีเมนต์ก็มีม้านั่งตั้งอยู่
เฟิงหยวนหนิงเลือกม้านั่งใต้ร่มไม้แล้วนั่งลง
ถึงแม้จะมีพลังอำนาจที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้ แต่เธอก็ยังมีร่างกายเหมือนคนทั่วไป ดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้พักก็จะรีบพัก
สายลมเย็นพัดมาปะทะใบหน้า เมื่อเทียบกับล็อบบี้ของโรงแรมแล้ว ลานบ้านที่เต็มไปด้วยพืชพรรณนั้นรู้สึกเย็นสบายกว่ามาก
เฟิงหยวนหนิงชี้ไปทางเสาดอกเหมยมากมายบนพื้นหญ้าและพูดว่า “พวกท่านคนไหนอยากลองขึ้นไปบ้าง?”
ไป๋ฮ่าวเกอหันไปมองขันทีหลูเสียนทันที “หลูเสียน เจ้าไปสิ”
และเกือบจะในเวลาเดียวกัน ซ่งอวี้หลวนหันไปมองศิษย์พี่ชายหลิงจิ่งพร้อมพูดว่า “ศิษย์พี่ เหตุใดยังไม่รีบไปอีก?”
ทั้งสองคนหันมามองหน้ากันทันที โดยมีประกายไฟลุกโชนพุ่งออกมาจากดวงตา
เมื่อหลูเสียนและหลิงจิ่งได้ยินดังนั้น พวกเขาพลันกระโดดขึ้นไปบนเสาดอกเหมยพร้อมกัน
อย่างไรก็ตาม หลูเสียนนั้นเร็วกว่าหลิงจิ่ง และสามารถกระโดดขึ้นไปอยู่บนเสาดอกเหมยได้ก่อน จากนั้นเขาเริ่มเคลื่อนไหวไปมาบนเสาไม้ต้นอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว จนแทบไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ชัดเจน
ขณะที่หลูเสียนเคลื่อนตัวห่างออกไปหลายเสา หลิงจิ่งเพิ่งจะกระโดดขึ้นไปยังเสาไม้ต้นแรก
ไป๋ฮ่าวเกอเหลือบมองสถานการณ์บนเสาดอกเหมยด้วยหางตา ก่อนจะหันกลับมามองเฟิงหยวนหนิงด้วยสีหน้าพอใจ “เถ้าแก่ขอรับ ขออภัยที่ต้องให้เห็นเรื่องน่าขัน เขามีพลังเพียงแค่ขั้นสวรรค์ประทานชั้นเจ็ดเท่านั้น ไม่ทราบว่าจะผ่านเกณฑ์ที่ท่านต้องการหรือไม่?”
ซ่งอวี้หลวน “…” เอาล่ะ จะยอมรับความพ่ายแพ้ก็แล้วกัน
เฟิงหยวนหนิงตอบกลับไปว่า “ระดับพลังหาใช่สิ่งสำคัญไม่ พวกท่านรอดูต่อไปก็จะรู้เอง”
ไป๋ฮ่าวเกอรีบหันกลับไปมองเสาดอกเหมย “เถ้าแก่พูดถูกขอรับ”
บางที เมื่ออยู่ต่อหน้าเถ้าแก่ จอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุทธภพก็อาจจะเป็นเพียงเด็กน้อยไร้เดียงสาก็เป็นได้?
ในระยะไกล เสาดอกเหมยที่อยู่รอบ ๆ หลูเสียนเริ่มเคลื่อนไหวรวดเร็วขึ้น จนกลายเป็นภาพติดตาเหมือนกับตัวหลูเสียนเอง
หลูเสียนตกใจเล็กน้อย ก่อนจะตอบสนองได้ทันที
ในตอนแรกเขาแค่กระโดดสบาย ๆ และความเร็วของเขายังไม่ถึงขีดจำกัด สถานการณ์แบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากเข็ญสำหรับเขา
เขากระโดดไปยังเสาดอกเหมยที่กำลังเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นคงและแม่นยำ
แต่เมื่อเขากระโดดไปถึง เสาไม้กลับเคลื่อนที่รวดเร็วขึ้นและไร้แบบแผน
หลูเสียนจำเป็นต้องตั้งสมาธิอย่างมาก บางครั้งก็เร่งความเร็ว บางครั้งก็ชะลอความเร็ว เขาต้องใช้ไหวพริบเพื่อรับมือกับเสาไม้เคลื่อนที่เหล่านี้
เสาไม้เคลื่อนที่เร็วขึ้นเรื่อย ๆ ทีละน้อย จนเกือบจะหายไปในอากาศ เห็นเพียงเงาพร่ามัวเป็นครั้งคราว
เฟิงหยวนหนิงจ้องมองเสาดอกเหมยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกอึดอัดใจที่มันเคลื่อนไหวเร็วมากจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น อะไรกันเนี่ย?
ดูแล้วไม่บันเทิงใจเอาเสียเลย
ไม่เพียงแค่หลูเสียนที่เคลื่อนที่ได้รวดเร็ว ขนาดหลิงจิ่งที่เคลื่อนไหวช้ากว่า แต่ก็ยังรวดเร็วเกินกว่าที่เฟิงหยวนหนิงจะมองเห็นได้ชัดเจน
เธอยกมือขึ้นกุมหน้าผากและก้มหน้าลง ไม่อยากมองต่ออีกแล้ว
ทันใดนั้น หลูเสียนก็พลาดท่า จนล้มลงกระแทกพื้น
ครู่ต่อมา หลิงจิ่งเองก็พลาดท่าและล้มลงไปเช่นกัน
เสาไม้ทั้งหมดพลันหยุดนิ่งทันที
ซ่งอวี้หลวนมองด้วยความชื่นชม “เถ้าแก่ สายตาท่านช่างเฉียบคมนัก ท่านคาดการณ์ไว้แล้วว่าพวกเขาจะล้มลงตอนนี้ใช่หรือไม่?” เพราะคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว เถ้าแก่จึงละสายตาไปอีกทาง ไม่ได้ดูพวกเขากระโดดข้ามเสาไม้ต่อ
ไป๋ฮ่าวเกอพูด “ไยต้องถามคำนั้นอีก? ด้วยความแข็งแกร่งของเถ้าแก่ แน่นอนว่าท่านต้องมองเห็นทุกสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่ง และยังให้การชี้แนะแบบเป็นกันเองอีกด้วย”
เฟิงหยวนหนิงลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วปฏิเสธโดยตรง “พวกท่านคิดไปไกลแล้ว ข้าไม่สามารถให้คำแนะนำใด ๆ เพราะข้ามองไม่เห็นอะไรเลยต่างหาก”
ซ่งอวี้หลวนพูด “เถ้าแก่ หากไม่อยากให้คำแนะนำ ก็เพียงปฏิเสธออกไป ไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างใด ๆ นอกจากนี้ ท่านก็ไม่ต้องเกรงใจพวกเขามากเกินไปหรอกนะเจ้าคะ ต่อหน้าท่านแล้ว เสียหน้าเล็กน้อยจะสำคัญอะไร?”
“…” เฟิงหยวนหนิงยิ้มบาง ๆ แล้วพูดว่า “ความจริงข้าเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง จุดประสงค์ของการมาที่นี่คือการเปิดโรงแรม พวกท่านก็ควรปฏิบัติต่อข้าเหมือนคนปกติเถิด”
เหตุใดถึงยอมรับว่าเป็นคนธรรมดา? แน่นอนว่าเพื่อทดสอบดู
เธอรู้ดีอยู่แก่ใจ เธอมีทุกอย่างเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป เช่น เหงื่อออก กินข้าว อาบน้ำ พวกเขาน่าจะมองเห็นจุดบกพร่องเหล่านี้ได้ แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่รู้ว่าเธอเป็นคนธรรมดา?
เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สังเกตเห็น พวกเขาต้องสงสัยเรื่องนี้อยู่บ้าง
ดังนั้น เธอจึงยอมรับความจริงโดยตรง แล้วค่อยดูว่าพวกเขาจะตอบสนองอย่างไร
อย่างไรก็ตาม เธอยังมีบาเรียอยู่ยงคงกระพันคอยคุ้มกันอยู่ ไม่มีใครทำร้ายเธอได้อยู่แล้ว งั้นทดสอบดูสักหน่อยจะเป็นอะไรไป?
ซ่งอวี้หลวนตอบกลับ “เข้าใจแล้ว เถ้าแก่โปรดวางใจ พวกเราจะปฏิบัติตามนั้น”
เถ้าแก่สามารถสร้างโรงแรมแบบนี้ได้ภายในคืนเดียว เธอจะเป็นคนธรรมดาไปได้ยังไง?
เธอพูดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา อาจจะเป็นแค่การพูดเพื่อความสุภาพ ไม่ต้องการให้คนมารบกวนบ่อย ๆ เท่านั้นเอง
ไป๋ฮ่าวเกอกล่าว “เถ้าแก่ เป็นข้าที่พูดจาไม่รอบคอบเอง ครั้งหน้าจะระวังให้มากขึ้นขอรับ”
“…” เฟิงหยวนหนิงยังคงพูดต่อ “พวกท่านมองไม่เห็นหรือ? ข้าไม่เคยร่ำเรียนวรยุทธ์เลยด้วยซ้ำ”
ในแง่ของสภาพร่างกาย ผู้ฝึกยุทธและคนทั่วไปย่อมมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่เชื่อว่าพวกเขาจะมองไม่ออก
ซ่งอวี้หลวนกล่าว “เถ้าแก่ ข้าสังเกตเห็นว่าย่างก้าวของท่านหนักและเชื่องช้า ซึ่งดูเหมือนคนทั่วไปที่ไม่เคยเรียนวรยุทธ์มาก่อน”
แต่ด้วยพลังวิเศษที่เถ้าแก่แสดงให้เห็น แม้แต่ยอดฝีมือขั้นบรรลุปริวรรตในตำนานก็ยังทำไม่ได้
จากสิ่งที่เห็นจึงสรุปได้ว่า เหตุผลที่เถ้าแก่ดูเหมือนคนธรรมดา อาจเป็นเพราะนางฝึกวิชาขั้นสูงที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป จึงอยู่นอกเหนือความเข้าใจของพวกเขา
ไม่สิ หรือว่าที่จริงแล้ว เถ้าแก่กำลังฝึกฝนตัวเองโดยแสร้งทำเป็นคนธรรมดา แม้กระทั่งทำให้เหงื่อออกเหมือนคนธรรมดาอีกด้วย?
เธอเคยได้ยินมาว่า เพื่อที่จะฝึกฝนจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่แท้จริง ยอดฝีมือบางคนจะซ่อนตัวอยู่ในหมู่ชนชั้นล่าง สัมผัสชีวิตความยากลำบากของคนจน พวกเขาจะยอมให้คนอื่นรังแก ดูถูก ด่าทอ และเหยียบย่ำ แต่จะไม่ตอบโต้กลับด้วยอุบายใด ๆ เลย
เถ้าแก่เดิน นั่ง นอนเหมือนคนปกติ นี่คงเป็นวิธีการฝึกฝนร่างกายโดยเฉพาะของเธอเอง เพียงแต่ว่าเธอแตกต่างจากคนทั่วไป ดังนั้นประสบการณ์จึงแตกต่างกันเล็กน้อย และเธอยังคงสามารถทำให้คนธรรมดาตกตะลึงได้ด้วยพลังเพียงน้อยนิด
เฟิงหยวนหนิง “…” อย่างที่คิด พวกเขาสังเกตเห็นมานานแล้ว แค่ไม่พูดออกมาเท่านั้นเอง
ซ่งอวี้หลวนพูดต่อ “เถ้าแก่ ท่านคงแสร้งทำเป็นคนธรรมดามาเปิดร้านที่นี่ เพื่อจะฝึกฝนตนเองใช่หรือไม่? ท่านแสร้งทำเป็นคนธรรมดาได้อย่างแนบเนียน ช่างน่าชื่นชมยิ่งนัก”
เฟิงหยวนหนิง “…”
จินตนาการของคุณเธอช่างบรรเจิดจริง ๆ แต่ก็ดีแล้วที่ปัญหาได้รับการแก้ไข ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาไม่สงสัย
ในเวลานี้ ขันทีหลูเสียนที่กลับเข้ามาพูดขึ้นว่า “เถ้าแก่ ในเมื่อท่านอ้างตัวว่าเป็นคนธรรมดา เช่นนั้นกล้ารับการโจมตีของข้าหรือไม่?”
ไป๋ฮ่าวเกอกระแอมเบา ๆ แล้วจ้องไปที่หลูเสียนเป็นเชิงสั่งให้ถอยออกไป
หลูเสียนกลับเพิกเฉย และยังคงจ้องมองเฟิงหยวนหนิงต่อ
ในฐานะผู้ฝึกยุทธขั้นสวรรค์ประทานชั้นเจ็ด หลูเสียนย่อมมีอำนาจตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ไป๋ฮ่าวเกอไม่สามารถควบคุมเขาได้เต็มที่ ไม่ว่าเขาจะยอมให้เกียรติหรือต้องการเผชิญหน้ากับไป๋ฮ่าวเกอ มันก็ขึ้นอยู่กับตัวหลูเสียนเอง
ในช่วงเวลาปกติ แน่นอนว่าหลูเสียนยินดีที่จะดูแลไป๋ฮ่าวเกอที่กำลังป่วย เพื่อให้เขาได้พักผ่อนอย่างสบายใจ แต่เรื่องในตอนนี้สำคัญมาก การทดสอบจึงเป็นสิ่งจำเป็น
เฟิงหยวนหนิงยิ้มบาง “ได้สิ โปรดชี้แนะ”
ดีแล้ว การทดสอบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นก็มาถึงแล้ว คราวนี้เธอจะได้ข่มขู่พวกเขาเสียหน่อย
เธอไม่กลัวที่จะต้องรับมือกับการโจมตีของเขา เพราะเหตุใดเธอต้องกลัว? เธอมีบาเรียอยู่ยงคงกระพัน ไม่มีใครสามารถทำร้ายเธอได้
“เถ้าแก่ ขออภัยด้วยนะขอรับ” ร่างของขันทีหลูเสียนพุ่งตรงเข้าไปหาเฟิงหยวนหนิงในชั่วพริบตา พร้อมกับฟาดฝ่ามือใส่เต็มแรง
เฟิงหยวนหนิงเพียงนั่งอยู่ที่เดิมด้วยความลังเล หรือเธอควรยืนขึ้นเพื่อแสดงความเคารพดีไหม?
แต่ก่อนที่เธอจะตัดสินใจได้ หลูเสียนก็ได้ฟาดฝ่ามือลงมาอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น ขณะที่ฝ่ามือกำลังจะโดนตัวเธอ ร่างของเขาพลันบินถอยหลังไปกระแทกเสาดอกเหมย
เฟิงหยวนหนิง “…”
บาเรียอยู่ยงคงกระพันสามารถตอบโต้กลับไปได้ด้วยเหรอ? ดูเหมือนจะทรงพลังกว่าที่คิดไว้มาก
ผลลัพธ์นั้นเกินความคาดหมายของเธออย่างสิ้นเชิง
ขันทีหลูเสียนรีบลุกขึ้นยืนทันใด ก่อนจะเดินเข้ามาคุกเข่าลงและพูดด้วยความเคารพว่า “ขอบคุณเถ้าแก่ที่เมตตาขอรับ หวังว่าท่านจะให้อภัยต่อความผิดพลาดของข้าในครั้งนี้”
ไป๋ฮ่าวเกอจ้องมองหลูเสียน แล้วเดินเข้าไปก้มศีรษะให้ “เถ้าแก่ ขออภัยด้วยขอรับ เขามีสถานะเป็นบ่าวของข้า แต่บางครั้งข้าก็ควบคุมเขาไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ความผิดทั้งหมดเป็นของข้าเอง”
“โอ้ ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องขอโทษ ลุกขึ้นมาเถิด” เฟิงหยวนหนิงโบกมือเบา ๆ ด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ ขณะคิดในใจว่า นี่แหละที่ต้องการ มันเหมือนกับการตกปลา เมื่อปลาติดเบ็ดแล้ว จะไปโทษปลาได้อย่างไร?
เธอเปลี่ยนเรื่องและพูดว่า “พวกท่านคงจะสังเกตเห็นบ้างแล้วใช่ไหม? เสาดอกเหมยเหล่านี้จะช่วยให้พวกท่านสามารถกำหนดจุดอ่อนของตัวเอง หากหมั่นฝึกฝนจะทำให้ทักษะการเดินและการเคลื่อนไหวของพวกท่านดีขึ้น”
ขันทีหลูเสียนลุกขึ้นยืนแล้วตอบด้วยความเคารพว่า “ขอบคุณเถ้าแก่ที่เมตตาขอรับ ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว ขอบคุณสำหรับการชี้แนะ”
หลิงจิ่งถูกซ่งอวี้หลวนผลักเบา ๆ แล้วรีบเดินตามเข้ามา “ขอบคุณเถ้าแก่ที่ชี้แนะขอรับ”
เฟิงหยวนหนิงอธิบายต่อว่า “เช่นเดียวกัน การฝึกซ้อมกับกระสอบทรายจะช่วยให้ท่าทางการต่อสู้ของพวกท่านสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เครื่องวิ่งที่อยู่โน่นจะช่วยฝึกความแข็งแกร่งของขา ดัมเบลและบาร์เบลจะช่วยฝึกความแข็งแกร่งของแขน หากพวกท่านมีเวลาเว้นว่าง ก็สามารถมาฝึกฝนที่นี่ได้ตลอดเวลา”
ขันทีหลูเสียนรีบตอบรับด้วยความเคารพ “ขอบคุณเถ้าแก่เป็นอย่างยิ่งที่นึกถึงพวกข้าเหล่าจอมยุทธ์ หากเถ้าแก่ต้องการความช่วยเหลือใด ๆ ข้าจะยอมลุยน้ำลุยไฟเพื่อท่านโดยไม่ลังเล”
……….……….……….……….
• ยายหลิวไปเยี่ยมชมสวนต้ากวน (刘姥姥进大观园) จากนวนิยาย ‘ความฝันในหอแดง’ เป็นคำอุปมาที่นำมาใช้ในภาษาจีนสมัยใหม่ เพื่ออธิบายถึงใครบางคนที่พบเจอประสบการณ์ใหม่ ๆ ตื่นตาตื่นใจไปกับสภาพแวดล้อมที่หรูหรา