บทที่ 15 ทั้งเสียดายและเสียใจ
บทที่ 15 ทั้งเสียดายและเสียใจ
แม้ว่าบุตรชายจะร้องไห้งอแงอย่างหนัก แต่หญิงสาวหน้ากลมก็ไม่มีความตั้งใจจะซื้อบะหมี่ต่อจากเพื่อนบ้านผู้นี้
เธอปลอบโยนลูกทั้งสองคน แล้วออกไปซื้อถุงผ้าขนาดใหญ่ที่ตลาด จากนั้นจึงรีบไปยังโรงแรมเซียนหยวน เพื่อจะไปซื้อบะหมี่จำนวนมากกลับมา
แต่ปรากฏว่าด้านหน้าโรงแรมเซียนหยวน เธอเห็นชายห้าคนกำลังขนของที่ซื้อมาจากตู้ขายสินค้าอัตโนมัติขึ้นเกวียน ซึ่งพวกเขาทำงานอย่างขะมักเขม้นจนเหงื่อท่วมตัว
เธอจำได้ว่า ชายที่คอยควบคุมงานอยู่คือเถ้าแก่โรงเตี๊ยมตระกูลหมิง
หญิงสาวหน้ากลมจึงหยุดยืนอยู่ห่าง ๆ ท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผา เธอรอคอยอย่างอดทน โดยไม่กล้าเข้าไปใกล้
อย่าได้คิดดูถูกเพียงเพราะเป็นโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ใครบ้างในเมืองแห่งนี้ที่ไม่รู้ว่าตระกูลเบื้องหลังโรงเตี๊ยมทรงอิทธิพลแค่ไหน?
นอกจากนี้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมหมิงยังมีฝีมือไม่ธรรมดา และมีลูกน้องที่เก่งกาจอีกหลายคน ว่ากันว่ามีคนมากมายแล้วที่เคยถูกสั่งสอนหลังจากไปก่อเรื่อง
สามีของเธอเป็นเพียงตำรวจธรรมดา ถึงแม้จะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ก็จัดการได้แค่เรื่องทั่วไปเท่านั้น ไม่สามารถไปรุกรานเหล่าจอมยุทธเช่นนี้ได้
โดยทั่วไปแล้ว คดีใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับยุทธภพ มักจะเป็นหน้าที่ของหน่วยสืบสวนลับที่จะเข้าไปจัดการ
สามีของเธออยากเข้าร่วมหน่วยสืบสวนลับมาโดยตลอด ทว่าเขาไม่เคยผ่านการทดสอบเลย
แต่ก็ดีแล้วล่ะ พวกคนในยุทธภพที่ชอบทะเลาะวิวาทจะควบคุมได้ง่ายดายได้อย่างไร? ตราบใดที่เธอยังคงรักษาสภาพที่เป็นอยู่ อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องกังวลว่าวันหนึ่งจะกลายเป็นม่ายกะทันหัน
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมหมิงทานเยลลี่รวมมิตรหมดแล้ว จึงหยิบโยเกิร์ตลูกพีชเย็น ๆ มาทานต่อ
ถ้วยโยเกิร์ตในมือของเขาเย็นมาก ในฤดูร้อนที่อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้ มันให้ความรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที
เขาตักโยเกิร์ตผสมเนื้อผลไม้หนึ่งช้อนใส่เข้าปาก อันดับแรกที่ได้ลิ้มรสคือรสชาติของเนื้อลูกพีช เนื้อผลไม้ไม่กรอบเหมือนผลไม้สด แต่กลับนุ่มเมื่อเคี้ยว รสหวานหอมอบอวลอยู่ในปาก เมื่อทานคู่กับโยเกิร์ตหวานอมเปรี้ยวแล้ว ยิ่งทำให้อยากทานเพิ่มขึ้นไปอีก
ถ้วยโยเกิร์ตมีขนาดไม่ใหญ่นัก เขาตักทานไปเพียงไม่กี่ช้อนก็หมดถ้วยแล้ว จนรู้สึกว่ายังไม่หนำใจ
ถ้วยเล็กนิดเดียว ไม่พอทานเลย เขารู้สึกว่าสามารถทานได้อีกหลายถ้วย!
การมาครั้งนี้คุ้มค่ามาก โชคดีที่เขามาถึงก่อนที่สินค้าจะจำกัดการซื้อ และยังได้รับคำแนะนำจากเถ้าแก่ในนาทีสุดท้าย ทำให้สามารถซื้อสินค้าเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง
หลังจากทานโยเกิร์ตลูกพีชหมดถ้วย เขาเอื้อมไปหยิบโยเกิร์ตลูกพีชอีกถ้วยหนึ่งมาทานต่อทันที
หลังจากทานโยเกิร์ตเสร็จ เขาก็ทานล่าเถียวรสเผ็ด จากนั้นทานมันฝรั่งทอด และตามด้วยโค้กเย็น ๆ… เขากินและดื่มต่อไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด
ยิ่งลูกน้องห้าคนขนของนานเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งได้ทานของอร่อยได้นานขึ้นเท่านั้น
หญิงสาวหน้ากลมมองจากระยะไกลอย่างอิจฉา เมื่อเห็นเขาทานอย่างเอร็ดอร่อย หน้าตาเต็มไปด้วยความสุข เธออดไม่ได้ที่จะอยากลิ้มลองบ้าง
เธอรอคอยอย่างทรมานเป็นเวลานาน จนกระทั่งลูกน้องของอีกฝ่ายขนของเสร็จ
โดยไม่คาดคิด ขณะที่เถ้าแก่โรงเตี๊ยมหมิงกำลังดื่มโค้กเย็น ๆ พร้อมกับทานมันฝรั่งทอดกรอบ ๆ อย่างเพลิดเพลิน เขาพลันเงยหน้าขึ้นมาออกคำสั่งว่า “ขนเสร็จแล้วเหรอ? เช่นนั้นพวกเจ้าไปซื้อกันใหม่ทีละคน ซื้อทุกอย่างให้ครบจำนวนที่ซื้อได้”
หลังจากลูกน้องได้รับคำสั่ง พวกเขาจึงเดินไปที่ตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ แล้วเข้าแถวเพื่อซื้อของกันต่อ
หญิงสาวหน้ากลมรู้สึกท้อใจ
เธอจะต้องรออีกนานแค่ไหน?
แสงแดดอันร้อนแรงส่องลงมาบนใบหน้าของเธอ และเธอก็รู้สึกคันยิบ ๆ เหมือนมีแมลงคลานอยู่บนใบหน้า ทั้งเส้นผมและเสื้อผ้าตอนนี้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
หากไม่ใช่เพราะลูกชายเอาแต่ร้องไห้และยืนกรานที่จะกินบะหมี่ เธอคงล้มเลิกความคิดไปแล้ว
ลูกน้องคนแรกยังไม่ได้เริ่มซื้อของ ก็หันมาถามเถ้าแก่โรงเตี๊ยมว่า “เถ้าแก่ขอรับ บะหมี่สำเร็จรูป หม้อไฟสำเร็จรูป และมันฝรั่งทอด พวกมันซื้อได้อย่างละสามชิ้นเท่านั้น ท่านจะให้ซื้อแบบไหนบ้าง?”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมหมิงตกใจ “เจ้าเลือกเอาเลย”
หญิงสาวหน้ากลมก็ตกใจเช่นกัน ซื้อได้แค่สามชิ้น? หมายความว่ายังไง?
ชายคนแรกซื้อของเสร็จอย่างรวดเร็ว เขาขนของที่ซื้อกลับออกมา จากนั้นคนที่สองก็เริ่มทำการซื้อ
หญิงสาวหน้ากลมรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอจึงรอกระทั่งคนทั้งห้าซื้อของเสร็จและขับเกวียนออกไป แล้วรีบวิ่งเข้าไปในโรงแรม
เมื่อมาถึงตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ เธอก็ได้รับข้อมูลประกาศกฎใหม่ที่ว่า แต่ละคนสามารถซื้อสินค้าชนิดเดียวกันได้วันละไม่เกินสามชิ้น
หญิงสาวหน้ากลม “!!!”
เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เธอคงจะซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาด้วยตั้งแต่แรก
แต่พอคิดอีกที เธอก็เข้าใจเหตุผลของเถ้าแก่โรงแรม
เธอเดาว่า อาจเป็นเพราะมีคนคิดไม่ดีเหมือนหญิงสาวหน้ารูปไข่อยู่มากมาย เถ้าแก่จึงต้องจำกัดจำนวนการซื้อของแต่ละคน
เถ้าแก่โรงแรมคงไม่ชอบคนที่คิดจะหาผลประโยชน์แบบหญิงสาวหน้ารูปไข่แน่ ๆ
แม้จะตั้งราคาถูกขนาดนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้ใครมาซื้อไปขายต่อเพื่อหวังผลกำไรเสียหน่อย?
อย่างไรเสียบ้านเธอก็อยู่ใกล้ ๆ แค่นี้ วันหลังค่อยพาคนในบ้านมาซื้อก็ยังได้
นอกจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้ว เธอก็เลือกซื้ออย่างอื่นอีกสามชิ้น
หลังจากนำของที่ซื้อใส่ถุงและหันหลังกลับ เธอพลันเห็นชายสามคนเดินตรงมาจากระยะไกล ซึ่งนำมาโดยเด็กหนุ่มหน้าตาดี
นี่มัน… นี่มันบุตรชายคนเดียวของท่านหมอกัวจากหมู่บ้านการแพทย์ไม่ใช่หรือ? ดูเหมือนเขาจะมีนามว่ากัวอี้ถัง เขามักเดินเที่ยวเล่นในเมืองบ่อย ๆ ทำให้คนส่วนใหญ่ต่างก็รู้จักเขาเป็นอย่างดี
แต่หากเทียบกับท่านหมอกัวผู้มีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว กัวอี้ถังถือเป็นคนธรรมดาสามัญ เขาชอบพาลูกน้องสองคนออกมาเที่ยวเล่น โดยไม่ค่อยสนใจเรียนรู้วรยุทธ์หรือการแพทย์อย่างจริงจัง
โชคดีที่เขาไม่ได้มีนิสัยเสียอะไรมากนัก แค่ชอบกินชอบเที่ยวเป็นพิเศษ
หญิงสาวหน้ากลมตกใจเล็กน้อย เธอฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ จึงก้มหน้างุดพร้อมวิ่งออกจากโรงแรมไปทางประตูเมืองอย่างรวดเร็ว
เขาคงตั้งใจมาที่โรงแรมนี้เหมือนกัน ถ้ารู้ว่าโรงแรมจำกัดการซื้อ เขาจะมาแย่งซื้อของจากเธอด้วยหรือเปล่า?
เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกปล้น เธอจึงรีบวิ่งหนีไปก่อนที่เขาจะมาถึง
กัวอี้ถัง “…”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนอื่นหลบเลี่ยงเสมือนเจออสรพิษ นี่… ช่างน่างุนงงจริง ๆ
เหตุใดจึงต้องรีบวิ่งหนีไปเช่นนั้น?
เขาประพฤติตนดีมาโดยตลอด และไม่เคยไปล่วงเกินสตรีนางใดมาก่อน ถึงแม้จะอยากจะทำแบบนั้น เขาก็ไม่คิดทำกับหญิงสาวอายุมากกว่า สตรีผู้นั้นช่างไม่รู้จักประมาณตนเอาเสียเลย
กัวอี้ถังส่ายหัว แล้วเดินไปยังตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ
ความจริงเขาไม่ได้อยากกลับมาเร็วขนาดนี้ แต่มันเป็นความผิดของพ่อแม่ผู้ใจร้ายของเขาเอง ที่ตั้งใจกลั่นแกล้งมานั่งกินอาหารกลิ่นหอมเย้ายวนตรงหน้า โดยไม่แบ่งให้เขากินสักคำ!
ที่แย่ที่สุดคือ เช้าวันนี้ พ่อของเขาเพิ่งแสดงท่าทีดูถูกและบอกให้เขาล้มเลิกความคิดเรื่องอาหารอร่อยในโรงแรม แต่พอหันหลัง พ่อของเขากลับย่องไปกินที่โรงแรมเซียนหยวนคนเดียว ไม่ได้นึกถึงลูกชายตัวเองเลย
ส่งผลให้จนถึงขณะนี้ เขาก็ยังไม่เคยได้ลิ้มลองอาหารอร่อยที่ถูกกล่าวขานว่าดีที่สุดในโลก
เขาทั้งเสียใจ ทั้งโกรธ และอยากจะตบหน้าตัวเองซ้ำ ๆ
ก่อนหน้านี้เขามัวลังเลเรื่องอะไรอยู่? พ่อของเขาพูดถูกแล้ว เถ้าแก่มีวิชาเก่งกล้า แล้วจะมาทำร้ายคนธรรมดาอย่างเขาทำไมกัน?
กัวอี้ถังเดินเข้าไปใกล้ตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ แล้วก็ต้องชะงักไป
แต่ละคนซื้อสินค้าชนิดเดียวกันได้วันละแค่สามชิ้นเองเหรอ?
แต่เมื่อกี้ เขาเพิ่งเจอคนจากโรงเตี๊ยมตระกูลหมิงที่เห็นแก่ตัวขนของกลับไปหลายเกวียนเลยนะ
ตอนที่ชายผู้เห็นแก่ตัวคนนั้นเห็นเขา ยังพูดติดตลกว่า “อ้าว คุณชายกัว จะไปโรงแรมนั้นเหมือนกันหรือขอรับ? บังเอิญที่ร้านข้าเพิ่งมีสินค้าเข้าใหม่มากมาย เชิญแวะมาที่ร้านได้นะขอรับ”
ตอนนั้นเขาตอบกลับไปด้วยความดูถูกว่า “ไร้สาระ คิดว่าข้าโง่เขลาหรือ? จะปล่อยให้เจ้ามาคดโกงได้อย่างไร?”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด ชายผู้เห็นแก่ตัวไม่ได้ปฏิเสธ แต่เพียงยิ้มอย่างลึกลับโดยไม่พูดอะไรสักคำ
แต่ตอนนี้ กัวอี้ถังเข้าใจความหมายในรอยยิ้มนั้นแล้ว
เกรงว่า พ่อค้าไร้ยางอายคนนั้นคงจะรู้เรื่องที่โรงแรมจำกัดการซื้อของก่อนแล้ว และเป็นสาเหตุที่พูดคำดังกล่าวออกมา
กัวอี้ถังแทบอยากกระอักเลือดออกมาเสียเดี๋ยวนี้
เขาอยากจะย้อนเวลากลับไปตบหน้าตัวเองตอนนั้นเสียจริง ๆ
หรือนี่จะเป็นกรรมตามสนอง?
แม้จะมีโอกาสเข้าห้องพักที่กล่าวกันว่ามีมนต์ขลังอย่างยิ่ง แต่เขากลับพลาดโอกาสนั้นไปเพราะความลังเลใจ
และทั้ง ๆ ที่มีโอกาสจะซื้ออาหารอร่อยจำนวนมากในคราวเดียว แต่สุดท้ายก็พลาดโอกาสเพราะความลังเลใจ
เขาต้องพลาดโอกาสดี ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บนโลกนี้จะมีใครโง่เขลาไปกว่าเขาอีกไหมนะ?
ด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย เขาซื้ออาหารอันโอชะอย่างละสามชิ้นที่สามารถซื้อได้ และใส่พวกมันลงในถุงผ้าที่พกติดตัวมาโดยเฉพาะ
เขาไม่กล้ามีอคติกับอาหารมังสวิรัติอีกต่อไป ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ตอนนี้เขาจะซื้อมาให้หมดทุกอย่าง
หลังจากซื้อเสร็จ เขาก็ยัดถุงผ้าไปให้ผู้ติดตาม แล้วสั่งให้พวกเขาซื้อต่อ ขณะที่ตัวเองเดินเข้าไปในล็อบบี้ของโรงแรมเซียนหยวน
แต่ปรากฏว่าภายในล็อบบี้ของโรงแรมมีคนจำนวนมากมารวมตัวกัน เถ้าแก่โรงแรมและคนเหล่านั้นกำลังเดินไปที่ประตูบานหนึ่ง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับประตูทางเข้าโรงแรมพอดี
กัวอี้ถังรีบเดินเข้าไปหาแล้วร้องเรียก “เถ้าแก่ขอรับ!” แล้วหันไปมององค์ชายไป๋ฮ่าวเกอ หลังจากลังเลเล็กน้อย เขาก็พูดทักทายว่า “ท่านพี่ไป๋”
องค์ชายไป๋ฮ่าวเกอพยักหน้าเล็กน้อยแล้วตอบยิ้ม ๆ ว่า “เรากำลังจะไปเยี่ยมชมลานบ้านด้านหลัง เจ้าอยากมาด้วยกันหรือไม่?”
ในขณะนี้ ยกเว้นว่านเทียนซิงแขกที่พักห้อง 204 ซึ่งยังไม่กลับมาจากข้างนอก แขกทุกคนจากห้อง 202 และ 203 ต่างได้รับเชิญจากเฟิงหยวนหนิงให้ไปสัมผัสประสบการณ์ในลานบ้านของโรงแรมด้วยกัน
กัวอี้ถังตาเป็นประกาย “อยากขอรับ ไปแน่นอน”
ล็อบบี้ของโรงแรมยังหรูหราอลังการขนาดนี้ แล้วนับประสาอะไรกับลานบ้านด้านหลังสำหรับชมวิวทิวทัศน์? มันคงจะสวยงามดั่งแดนสวรรค์เลยใช่ไหม?
เฟิงหยวนหนิงเปิดหน้าจอแสดงผลเสมือนจริงของระบบขึ้นมาดู
เงื่อนไขการอัปเกรดโรงแรม: รับรองแขกทั้งหมด 30/50 คน และทำภารกิจให้สำเร็จ 3/3 ภารกิจ
โอ้ เหลืออีกแค่ 20 คนที่จะครบตามเงื่อนไขแล้ว
เธอรู้สึกดีใจมาก
หลังจากที่บังคับใช้มาตรการจำกัดการซื้อ จำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการก็เพิ่มขึ้นถึง 8 คนเลยทีเดียว ผลลัพธ์ออกมาดีเกินคาดจริง ๆ
แม้ว่าจะไม่ได้บังคับใช้มาตรการจำกัดการซื้อตั้งแต่แรก ทำให้เธอล่าช้าไปบ้างในการทำภารกิจที่สอง แต่เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อของปริมาณมาก ทำให้การเผยแพร่ข่าวสารก็เป็นไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ถ้ามีคนได้ลองใช้สินค้าของโรงแรมมากขึ้น และชื่อเสียงของโรงแรมค่อย ๆ แพร่กระจายออกไป ก็จะสามารถสร้างฐานลูกค้าที่ดีและแข็งแกร่งได้
เธอแค่รอให้ผลลัพธ์ค่อย ๆ ขยายออกไปเหมือนก้อนหิมะก็พอ
เฟิงหยวนหนิงปิดหน้าจอระบบ แล้วกระแอมไอเบา ๆ ก่อนจะบอกกับกัวอี้ถังว่า “ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ตามกฎของทางโรงแรม ลานบ้านด้านหลังเปิดให้บริการเฉพาะลูกค้าที่เข้าพักเท่านั้น และต้องใช้บัตรเข้าห้องพักของตัวเองในการเข้า”
ไม่ใช่ว่าเธอมีอคติกับกัวอี้ถัง แต่ประตูกระจกที่นำไปสู่ลานบ้านมีข้อจำกัดอยู่ก่อนแล้ว นั่นคือต้องใช้บัตรเข้าห้องพักในการเข้าเท่านั้น
ลานบ้านธีม “สวนน้ำพุ” เปิดให้บริการฟรีสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก ซึ่งถือว่าเป็นสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่เข้าพักโดยเฉพาะ
ในความจริง เพื่อที่จะปลดล็อกธีมใหม่ของลานบ้านได้เร็วขึ้น เธอต้องการให้คนภายนอกเข้ามาเที่ยวชมลานบ้านด้วยซ้ำ ทว่าด้วยข้อจำกัดในการเข้าพื้นที่ แล้วเธอจะทำอะไรได้?
“!!!” กัวอี้ถังรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดผ่ากลางศีรษะ
เขาทั้งเสียดายและเสียใจมาก จนอยากจะย้อนเวลาไปตบหน้าตัวเองในอดีต
ทั้ง ๆ ที่เขามีโอกาสจะเข้าพักในโรงแรมนี้ตั้งแต่แรก เหตุใดเล่าจึงไม่คว้าโอกาสนั้นไว้?
ซ่งอวี้หลวนมองกัวอี้ถังด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจำเจ้าได้ เจ้าเป็นคนแรกที่เข้าไปคุยกับเถ้าแก่ไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดตอนนั้นเจ้าถึงไม่เข้ามาพักล่ะ?”
เธอได้ยินแขกจากห้อง 202 เรียกเฟิงหยวนหนิงแบบนี้ จึงตัดสินใจจะเรียกแบบเดียวกัน เนื่องจากมันฟังดูเป็นเอกลักษณ์และให้เกียรติมากกว่า
**ตอนแรกซ่งอวี้หลวนเรียกเฟิงหยวนหนิงว่าเหลาป่าน(老板) ส่วนตอนนี้เรียกว่าเตี้ยนจู่(店主)ซึ่งแปลว่าเถ้าแก่หรือเจ้าของร้านได้เช่นกัน**
การเรียกว่านางว่าเถ้าแก่(เหลาป่าน)อาจดูไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่ เพราะจะไปเรียกคนสูงส่งเช่นนี้ด้วยคำเรียกทางโลกได้อย่างไร?
กัวอี้ถัง “…”
พี่สาว จะกระทำสิ่งใดก็ควรมีมนุษยธรรมบ้าง อย่าเที่ยวมาทำร้ายจิตใจคนอื่นขนาดนั้นสิ!