ตอนที่แล้วตอนที่ 8 ผลไม้ของเจ้าสุกแล้วหรือยัง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 10 ศิษย์พี่ฉู่จะหนีรอดจากคนของนิกายเสิ้นกังหรือไม่

ตอนที่ 9 ฆ่าผู้บ่าเพาะทั้งสามเร็วปานสายฟ้า  


ตอนที่ 9 ฆ่าผู้บ่าเพาะทั้งสามเร็วปานสายฟ้า

 

ฉู่เสวียนไม่ได้นิ่งอยู่กับที่ เขารีบออกจากที่นั่นไปทันที แล้วปีนขึ้นไปบนเนินใกล้ๆ ซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหิน

ในเวลาเช่นนี้   เขาไม่สามารถไว้ใจใครได้เลย คนที่สามารถไว้วางใจได้ก็คือตัวเขาเองเท่านั้น

และเขาก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นาน

หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง  เฉินเกอก็เดินออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลอู๋อย่างรวดเร็ว  และมุ่งหน้ากลับมาที่เดิม

อย่างไรก็ตาม มันกลับไม่มีแม้แต่เงาของฉู่เสวียนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้เลย   เขาจึงอดไม่ได้ที่จะมองซ้ายทีขวาทีด้วยความสงสัย

ฉู่เสวียนไม่ได้ปรากฏตัวออกมาทันที แต่สังเกตสถานการณ์รอบตัวเขาอย่างระมัดระวังและฟังเสียงต่างๆไปด้วย เฉินเกอรู้สึกวิตกกังวลเล็กน้อย และเรียกออกมาเบาๆ “ศิษย์พี่ฉู่ ท่านอยู่ที่ไหน”

ฉู่เสวียนรออยู่สักพักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวออกมาให้อีกฝ่ายเห็น

เฉินเกอจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ

ในไม่ช้าเขาก็เข้าใจว่าทำไมฉู่เสวียนถึงไม่อยู่รอเขาที่ตรงนี้

ผู้บำเพ็ญมารที่สามารถหนีรอดจากน้ำมือของห้านิกายสายธรรมมาได้จนถึงทุกวันนี้ คงจะไม่มีใครโง่และไว้วางใจผู้อื่นง่ายดายขนาดนั้น

เฉินเกอไม่ได้พูดอะไรมาก เขาหยิบค่ากลออกมาจากถุงเก็บของโดยตรงและมอบให้ฉู่เสวียนทันที

ฉู่เสวียนหยิบมันขึ้นมาดูแล้วพยักหน้าเล็กน้อย นี่คือมหาค่ายกลแปลงโลหิตของจริง

มหาค่ายกลแปลงโลหิตขั้นพื้นฐานที่สุดเป็นเพียงอาวุธเวทย์มนตร์ระดับกลางเท่านั้น แม้แต่ผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณก็สามารถควบคุมมันได้

แต่หากมีการซ้อนทับของค่ายกลรูปแบบใหม่ไว้ด้านบน ก่อตัวเป็นมหาค่ายกลแปลงโลหิต และสกัดโลหิต ซึ่งมันจะทะยานขึ้นสู่อาวุธเวทย์มนตร์ระดับสูง   และมีเพียงผู้บำเพ็ญแก่นปราณทองคำเท่านั้น ที่จะสามารถควบคุมมันได้

ทั้งความยากของการจัดวางและวัสดุที่ต้องใช้ จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่า

“ศิษย์พี่ฉู่ ท่านจะไม่อยู่กับเราจริงๆ หรือขอรับ?” เฉินเกออดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง

“อาจารย์อาหลิวดีกับพวกเรามาก ครั้งสุดท้ายที่เขามาอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลอู๋ เขาก็ได้พาพวกเรามาอยู่ในฐานที่ลับด้วย”

ฉู่เสวียนส่ายหัว “ไม่ล่ะ”

เมื่อกล่าวออกมาเช่นนี้ เขาก็หันหลังแล้วออกไป เพราะเขาเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นาน

ผู้บำเพ็ญมารที่เหลือของนิกายอู๋จี๋ในตอนนี้ไม่ต่างจากเป็นหนามยอกอกในสายตาของห้านิกายสายธรรม แน่นอนว่าอีกฝ่ายคงต้องการจะกำจัดพวกเขาออกไปโดยเร็วที่สุด

ใครก็ตามที่ติดตามหลิวเจิ้งสง ผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานคนนั้น แม้ดูเหมือนว่าเขาจะมีผู้สนับสนุน แต่จริงๆ แล้ว พวกเขากลับตกเป็นเป้าหมายใหญ่ของศัตรูต่างหาก

เมื่อถึงเวลานั้นหลิวเจิ้งสงอาจจะหนีเอาตัวรอดไปได้  แต่ผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณเหล่านี้ จะสามารถหนีตามไปได้อย่างไร

เขาไม่อาจฝากชีวิตของเขาไว้ในมือของคนอื่นได้

หลังจากที่ได้รับมหาค่ายกลแปลงโลหิตมาแล้ว  ฉู่เสวียนก็อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก

สิ่งต่อไปที่เขาต้องทำคือหาสถานที่ปลอดภัยและเติมพลังให้กระจกโลหิตโดยเร็วที่สุด

เมื่อเขากลับไปยังดาวเคราะห์โลกาวินาศ เขาก็ต้องเริ่มเปิดใช้งานมหาค่ายกลแปลงโลหิตขึ้นมา  เพื่อจะได้เลื่อนเขตแดนโดยเร็วที่สุด  !

เพียงแต่ทันทีที่เขาเดินทางออกจากคฤหาสน์ตระกูลอู๋ไปได้แค่ 20 ลี้  ฉู่เสวียนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ข้างหน้าเหมือนว่าจะมีคนกำลังเข้ามา

แน่นอนว่าในตอนนั้น ก็มีผู้บ่มเพาะหลายรายปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน

ในชั่วพริบตา พวกเขาก็ได้เข้ามาปิดกั้นทางหนีทั้งซ้ายและขวาของฉู่เสวียน

ทั้งสามปิดเผยตัวตนต่อหน้าเขา โดยสวมชุดคลุมเต๋าสีขาวราวกับหิมะ พร้อมลวดลายรูปดาบสีทองปักที่ปกเสื้อและแขนเสื้อ

ฉู่เสวียนรู้สึกประทับใจมากกับเครื่องแต่งกายนี้ มันคือเครื่องแต่งกายของผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณของนิกายเสินกังอย่างแน่นอน

“สามสหายเต๋า นี่คือ…” ฉู่เสวียนแสร้งทำเป็นสับสน

ทั้งสามมองไปที่ฉู่เสวียนสองสามครั้ง

ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนที่เป็นผู้นำกล่าวอย่างใจเย็น “ตามคำสั่งของอาจารย์อาซุน ตระกูลอู๋อาจซ่อนเศษเดนของนิกายอู๋จี๋ไว้ ดังนั้นพื้นที่โดยรอบห้าสิบลี้นี้จึงไม่สามารถเข้าออกได้”

ฉู่เสวียนแสร้งทำเป็นตกตะลึงและอุทานออกมาว่า “เศษเดนของนิกายอู๋จี๋? แต่ข้าเป็นเพียงผู้บ่มเพาะสายธรรมทั่วไปนะขอรับ!”

ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนกล่าวอย่างใจร้อน “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นผู้บ่มเพาะทั่วไปหรือผู้บ่มเพาะสายมาร แต่วันนี้ไม่มีใครสามารถผ่านทางแยกนี้ไปได้ใน”

“หากเจ้าไม่อยากตาย ก็เชื่อฟังเข้าไว้”

“เมื่ออาจารย์อาซุนสืบข่าวของตระกูลอู๋เสร็จแล้ว หากเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิกายอู๋จี๋ เจ้าก็จะปลอดภัยเป็นธรรมดา”

ฉู่เสวียนยิ้มและพยักหน้าซ้ำๆ “ตกลง  ข้าเต็มใจที่จะร่วมมือ”

เมื่อเห็นท่าทางต่ำต้อยของเขา ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนจึงยิ้มออกมาอย่างเย่อหยิง "ดีแล้ว พวกเจ้าซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะทั่วไปควรจะเชื่อฟัง"

ฉู่เสวียนยิ้มอย่างเก้ๆ กังๆ

ในเวลานี้ ทันใดนั้นก็มีแสงสองดวงพุ่งผ่านขึ้นไปบนท้องฟ้า เร็วจนน่าตกใจ

ฉู่เสวียนยกคิ้วขึ้น “นั่นคืออาจารย์ซุนซือ ผู้อาวุโสในนิกายของท่านหรือเปล่า?”

นักบำเพ็ญวัยกลางคนยิ้ม “ใช่แล้ว! เมื่ออาจารอาซุนซือ ผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานขั้นที่สองของเราออกมาตรวจสอบเรื่องนี้ ก็เพียงพอที่จะสืบสวนตระกูลอู๋แล้ว”

ฉู่เสวียนพยักหน้า

ซุนซือคือคนที่นำผู้บำเพ็ญของนิกายเสินกังไปปิดล้อมเขาในเมืองชิงเหอ

เขายังจำมันได้ดี

ถ้าเขาไม่ระมัดระวังตัวและสวมหน้ากากหนังมนุษย์ของเหอเลี่ยงหลบหนีออกมา  เกรงว่าเขาคงจะกลายเป็นศพไปแล้ว

จู่ๆ ฉู่เสวียนก็พูดขึ้น “เขาส่งพวกท่านมาเพียงสามคนเท่านั้นหรือ ? หากว่าในคฤหาสน์ของตระกูลอู๋ มีเศษเดนของนิกายอู๋จี๋อยู่จริงๆ พวกท่านทั้งสามคน  จะจัดการพวกเขาได้อย่างนั้นหรือ?”

ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนยิ้มอย่างดูถูก “เศษเดนของนิกายอู๋จี๋เป็นเพียงเศษซากของแม่ทัพที่พ่ายแพ้ แต่พวกเราทั้งสามคน อย่างนั้นก็เป็นผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่5 แค่นี้ก็เกินพอที่จะปิดกั้นและปราบผู้บำเพ็ญสายมารช่วงกลั่นลมปราณได้แล้ว”

“สำหรับผู้บำเพ็ญสายมารช่วงสร้างรากฐานนั้น อาจารย์อาซุนจะมาจัดการพวกมันด้วยตนเอง”

ฉู่เสวียนพยักหน้า

ชั่วพริบตาต่อมา เขาก็ชี้ไปที่ด้านหลังของผู้บ่มเพาะวัยกลางคนและพูดด้วยท่าทางหวาดกลัว “ระวัง!”

ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนตกตะลึง พลางคิดว่าผู้บำเพ็ญมารของนิกายอู๋จี๋กำลังแอบเข้ามาทำร้ายพวกเขาจากทางด้านหลัง จึงหันกลับไปอย่างรวดเร็วและหยิบอาวุธวิเศษออกมาต่อต้าน

ผู้บ่มเพาะอีกสองคนก็ทำเช่นเดียวกัน พวกเขารีบหันหลังกลับมาทันที

อย่างไรก็ตาม กลับไม่มีอะไรอยู่ข้างหลังของพวกเขาเลย และไม่มีผู้บำเพ็ญมารของนิกายอู๋จี๋ด้วย

อ๊ากก!

ทันใดนั้นเสียงร้องโอดครวญอันน่าเกลียดก็ดังขึ้น

ศิษย์คนหนึ่งของนิกายเสินกังก้มหัวลงด้วยความยากลำบาก และรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าที่หน้าอกของเขาถูกฉีกจนเปิดออกโดยกรงเล็บขนาดใหญ่สีดำ

หัวใจของเขาถูกควักออกมาโดยตรง

ศิษย์อีกคนหนึ่งของนิกายเสินกังตอบโต้ทันควัน เขารีบแยกตัวออกมาอย่างรวดเร็ว และเปิดใช้งานดาบเทียนกังให้แทงไปที่ฉู่เสวียนทันที

เนื่องจากสาวกของนิกายเสินกังที่เข้าสู่ช่วงกลั่นลมปราณนั้นจะได้รับดาบเทียนกังทุกคน

นี่จึงเป็นอาวุธพื้นฐานสำหรับสาวกนิกายเสินกัง

อย่างไรก็ตาม ทักษะการควบคุมดาบของศิษย์ผู้นี้เห็นได้ชัดว่าได้รับการฝึกฝนมาไม่ค่อยดีนัก

ดาบเทียนกังที่เขาส่งออกมานั้นคดเคี้ยวและเคลื่อนตัวช้าราวกับหญิงชรา

ฉู่เสวียนยังไม่ทันได้แตะต้องด้วยซ้ำ  เสี่ยวหู่ก็พุ่งเข้ามาราวกับลูกศร และฟาดดาบเทียนกังออกไปเสียงดังโครมคราม

กรงเล็บของพลทหารศพนั้นรวดเร็วปานสายฟ้า ฟันเข้าที่คอของผู้บ่มเพาะคนนั้นจนสิ้นลมไปทันที

ทันใดนั้น เลือดก็พุ่งกระจายออกมา

หัวที่ขาดออกจากบ่าก็ได้ปลิวขึ้นไปในอากาศ

ดวงตาที่โปนออกมาของเขายังคงเต็มไปด้วยความสับสน

ผู้บ่มพาะวัยกลางคนตอบสนองเร็วขึ้นเล็กน้อย เขาได้ใช้โล่ขนาดเล็กออกมาต้านทานทันที

อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเส้นลวดโลหิตก็ได้ออกมาจากฝ่ามือของฉู่เสวียนแล้ว

ผู้บ่มเพาะวัยกลางรู้สึกได้ถึงรางร้ายก็รีบหลีกเลี่ยงอย่างรวดเร็ว

แต่ความเร็วของเขายังช้ากว่าเส้นลวดโลหิตมาก

เพียงเสี้ยววินาที ก็เกิดเสียงแคร็ก

แขนขวาของผู้บ่มเพาะวัยกลางคนได้ขาดออกจากกันทันที

โล่เล็กที่เขาถืออยู่ก็ตกลงพื้นเช่นกัน

เลือดของเขาพุ่งออกมากระจัดกระจาย!

ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนกรีดร้องออกมาอย่างน่าสมเพช และถอยหนีด้วยความหวาดกลัว

แต่ฉู่เสวียนไม่ให้โอกาสเขาแม้แต่น้อย

เขาได้สั่งให้เส้นลวดโลหิตจับเขาขึ้นมาอีกครั้ง

เสี่ยวหู่ก็ยังพุ่งชนผู้บ่มเพาะวัยกลางคนจากทางด้านหลังด้วย

ภายใต้การโจมตีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนผู้นี้ก็ไม่มีโอกาสที่จะหลบหนีไปไหนได้เลย

ตรงหน้าอกของเขาเป็นรุ หัวใจถูกเสี่ยวหู่ควักออกมา ที่คอก็ถูกเส้นลวดโลหิตเฉือนจนขาด

เขาเสียชีวิตลงตรงนั้น

ฉากนี้อาจบรรยายได้ช้าไป แต่ความจริงมันเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น

ภายในระยะเวลาสิบอึดใจ ผู้บ่มเพาะทั้งสามคนที่อยู่ช่วงกลั่นลมปราณก็ถูกฉู่เสวียนฆ่าลงอย่างง่ายดาย

“หืม…”

ฉู่เสวียนถอนหายใจออกเบาๆ รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก

เขาไม่ได้คาดหวังว่าความแข็งแกร่งของตนเองจะพัฒนาขึ้นมากขนาดนี้

อีกฝ่ายคือผู้บ่มเพาะสามคนที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณ

และทั้งหมดก็อยู่อย่างน้อยขั้นที่ 5

ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้า อยู่ในชั้นที่เจ็ดของช่วงกลั่นลมปราณ ซึ่งสูงกว่าตัวเขาเองด้วยซ้ำ

ทว่าตอนนี้ เขากลับรับมือได้ง่ายๆด้วยตนเอง

“อยู่นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

ฉู่เสวียนรีบเก็บถุงเก็บของและอาวุธวิเศษของทั้งสามคนมา และหายตัวไปในป่าอันกว้างใหญ่

เขาไม่ได้เปิดใช้งานอาวุธวิเศษบินได้ เนื่องจากกลัวว่าจะเป็นเป้าหมาย จึงเลือกที่จะเดินเท้าแทน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด