ตอนที่ 8 ผลไม้ของเจ้าสุกแล้วหรือยัง
ตอนที่ 8 ผลไม้ของเจ้าสุกแล้วหรือยัง
กูสดับในหูของฉู่เสวียนขยับ และเขามองไปที่โต๊ะและเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล
มีผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณสองคนนั่งตรงข้ามกัน
ผู้บ่มเพาะร่างผอมได้กล่าวถามออกมาว่า “… สหาย ตรอกไท่ผิงมีภารกิจล่ารางวัลบ้างหรือไม่ ช่วงนี้ข้าค่อนข้างจะว่างและข้าก็ขาดแคลนหินวิญญาณด้วย”
ผู้บ่มเพาะร่างใหญ่ตอบว่า “มีสิ ภารกิจคือการช่วยนิกายเสินกังตามล่าหาพวกเศษเดนของนิกายอู๋จี๋ หากว่าจับมาได้คนหนึ่ง ก็จะได้ค่าตอบแทนเป็นหินวิญญาณระดับต่ำสามร้อยก้อนทันที อย่างไรก็ตาม หลานชายของนิกายเสินกังยังกล่าวอีกว่า หากใครสามารถหาเบาะแสของฉู่เสวียนผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณของนิการอู๋จี๋คนนั้นได้ เขาจะให้รางวัลเป็นหินวิญญาณระดับต่ำสี่ร้อยก้อนเลยทีเดียว”
“ยังไม่เจออีกหรือ นี่ก็หกวันแล้วนะ”
“เศษเดนคนนั้นเหมือนกับปลาไหล หาได้ง่ายแต่จับตัวได้ยาก ขนาดผู้อาวุโสซุนพาศิษย์ของเขาไปล้อมไว้แล้ว ชายคนนั้นก็ยังสามารถหลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย”
“แต่ข้าได้ยินมาว่าชายคนนั้นอยู่ในช่วงกลั่นลมปราณแค่ขั้นที่สี่เท่านั้น ถ้าหากต่อสู้กับเขาเพียงลำพัง ข้าก็สามารถบดขยี้เขาได้อย่างง่ายดาย”
“อย่าดูถูกเขามากเกินไป ข้าได้ยินมาว่าแม้ฉู่เสวียนจะมีคุณสมบัติระดับปานกลาง แต่เขาก็เชี่ยวชาญในด้านเทคนิคพิษและแมลงกู่ ขนาดผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่ห้าของนิกายเสินกังสองคน ก็ยังเอาเขาไม่อยู่เลย”
“…… ถ้าอย่างนั้นข้าควรเปลี่ยนเป้าหมายจะดีกว่า ชายคนนี้หาตัวจับยากเกินไป”
“หืม ถ้าเจ้ากลัวตายก็พูดออกมาตรงๆเลยไม่ดีกว่าหรือ”
ผู้บ่มเพาะร่างผอมหน้าแดงขึ้นในทันใด และเส้นเอ็นสีเขียวบนหน้าผากของเขาก็เริ่มปูดนูนขึ้นมา พลางเถียงว่า “ไร้สาระ! เฉพาะผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นที่สามารถเหยียบย่างบนเส้นทางแห่งการฝึกฝนอมตะได้ เมื่อเข้าสู่เส้นทางนี้แล้ว ยังจะกลัวความตายอีกหรือ? ดั่งคำที่ว่า ‘บนเส้นทางของผู้ฝึกตน’ คือการแสวงหาความยิ่งใหญ่เพื่ออยู่เหนือความชั่วร้ายทั้งปวง”
คำกล่าวนี้ ทำให้ผู้บ่มเพาะร่างใหญ่หัวเราะออกมา
บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยบรรยากาศที่รื่นเริง
เมื่อฉู่เสวียนได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็ดูแปลกไป
หกวัน!
ตั้งแต่ที่เขาฆ่าเหอเลี่ยงและหลบหนีจากการล้อมโจมตีของผู้บำเพ็ญสายธรรมของนิกายเสินกังนั้น แท้จริงแล้วเกิดขึ้นเมื่อหกวันก่อนเองหรือ
หากคำนวณตามข้อมูลนี้ ก็แสดงว่าอัตราของการไหลของเวลาระหว่างสวรรค์และโลกของทวีปชางเสวียนและดาวเคราะห์โลกาวินาศนั้น จะอยู่ที่ประมาณหนึ่งต่อสิบ
ด้วยวิธีนี้ ในสายตาของผู้บ่มเพาะที่นี่ เขาใช้เวลาเพียงแค่หกวันเท่านั้นในการเลือนระดับจากผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่สี่มาเป็นขั้นที่หก?
เช่นนั้นเขาก็ไม่ต่างจากอัจฉริยะในการฝึกฝน!
แม้ว่าเขาจะแช่อยู่ในน้ำยาบ่มเพาพะทุกวัน เขาก็คงไม่สามารถบ่มเพาะได้เร็วขนาดนี้!
“กระจกโลหิต เจ้าช่างเป็นของวิเศษสำหรับข้าจริงๆ!”
ฉู่เสวียนจิบชาลงไปคำใหญ่แล้วยิ้มออกมา
ผ่านไปสองวัน
ฉู่เสวียนได้เดินดูสินค้าตามตรอกไท่ผิงต่อ
เขาเริ่มที่จะคุ้นหน้าคุ้นตาเจ้าของแผงขายของทุกคนหมดแล้ว
และในตอนนั้น เขาก็ได้เดินมาถึงร้านขายสมุนไพรร้านใหญ่แห่งหนึ่ง
ศาลาไป่เฉา....
สถานที่แห่งนี้ จำหน่ายเกี่ยวกับพืชแห่งจิตวิญญาณ
หลังจากที่ได้ลองดูสินค้า ฉู่เสวียนก็พบว่าของมากมายที่เขาต้องการ มีจำหน่ายอยู่ในนี้หมด
เขาใช้เวลาไม่นานในการเลือกซื่อ ก่อนจะเดินออกมาจากศาลาไป่เฉามาด้วยความพึงพอใจ
ซึ่งเขาก็ได้ซื้อเมล็ดพันธุ์วิญญาณทุกชนิดมาในจำนวนมาก
ในส่วนของวัตถุดิบในการกลั่นศพ ก็ได้ซื้อมาบางอย่างด้วย
เมื่อทางร้านเห็นว่าเขาซื้อของมาในจำนวนที่มาก ก็เลยให้ส่วนลดมาด้วย
ไม่รู้เลยว่า หากอีกฝ่ายรู้ว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญมาร จะให้ส่วนลดมาแบบนี้หรือไม่
หลังจากที่ซื้อของมาสารพัดแล้ว ฉู่เสวียนก็เดินมาถึงแผงขายของธรรมดาๆ แผ่งหนึ่ง
การตั้งแผงลอยขายของในเมืองเสี่ยวฟางแห่งนี้ ไม่มีอะไรยากเลย
ก็แค่ปูผ้าลงบนพื้น แล้วเอาสินค้ามาวางเรียงราย
บางคนก็จะเอาป้ายไม้สลักราคาไปติดไว้ข้างๆ สินค้านั้นด้วย
ซึ่งสินค้าที่วางขายในแผงนี้ ก็ไม่ได้เป็นสินค้าระดับสูงแต่อย่างใด มันเป็นแค่สินค้าริมถนนทั่วไปเท่านั้น
ไม่มีสินค้าอะไรที่สะดุดตาฉู่เสวียนได้เลย
สิ่งเดียวที่เขาสังเกตเห็นคือหญ้าวิญญาณสีขาวต้นหนึ่งที่ดูเหี่ยวเฉา
มันคือหญ้ากระดูกแห้ง
เพราะพืชวิญญาณชนิดนี้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในการปลูกที่เข้มงวดมาก
มีเพียงถ้ำกระดูกที่ฝังอยู่ในนิกายอู๋จี๋เท่านั้นที่สามารถปลูกหญ้ากระดูกแห้งให้เติบโตขึ้นมาได้จำนวนมาก
เมื่อย้ายไปปลูกที่อื่น มันก็จะเหี่ยวเฉาลงทันที
เมื่อนิกายอู๋จี๋ล่มสลาย และเหล่าศิษย์แยกย้ายกันไป ฉู่เสวียนก็ได้ตกลงเรื่องสัญลักษณ์และรหัสลับกับศิษย์ไม่กี่คนที่รู้จักกันในนิกาย
เพื่อที่จะได้สื่อสารกันในอนาคต
ซึ่งหญ้ากระดูกแห้งนี้ ก็เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ลับที่ได้ตกลงกันไว้
ฉู่เสวียนจึงเดินตรงไปหาเจ้าของแผงขายของคนนั้นทันที แล้วนั่งยองๆ
เขาหยิบอันนี้ที อันนั้นทีขึ้นมาดู
เจ้าของแผงขายของเป็นผู้บ่มเพาะคนหนึ่งซึ่งก็ดูชรามากแล้ว เมื่อเห็นเช่นนี้ เขาก็พูดอย่างใจร้อนว่า “ถ้าจะซื้อก็ซื้อ ถ้าไม่อยากซื้อก็ออกไป อย่าแตะต้องมัน”
ฉู่เสวียนหยิบผลไม้ขึ้นมาแล้วยิ้ม “สหายเต๋า แตงโมมังกรคู่ของเจ้าราคาเท่าไรหรือ?”
เจ้าของแผงขายของพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “หินวิญญาณระดับต่ำสองก้อน”
ฉู่เสวียนยิ้มเล็กน้อย “แพงขนาดนั้นเชียวหรือ เปลือกแตงโมและเนื้อแตงโมเป็นทองคำหรืออย่างไร ?”
เจ้าของแผงขายของตกตะลึงและส่ายหัว “เจ้าลองไปดูสิว่าตอนนี้มีแตงโมมังกรคู่ขายที่ไหนอีกบ้าง ทั้งหมดนี้เก็บมาจากซากปรักหักพังหลังจากที่นิกายอู๋จี๋ล่มสลายไปแล้ว เจ้าว่าแพง ข้าก็ว่าแพง”
ฉู่เสวียนยิ้มอย่างมีความสุขมากขึ้น “แตงโมนี้ สุกแล้วหรือยัง?”
ดวงตาของเจ้าของแผงลอยเป็นประกายขึ้นมาทันที “หากเจ้าเสนอราคาสูง ข้าก็มีของที่มีคุณภาพกว่าอยู่ที่โกดังข้างหลัง”
ฉู่เสวียนพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นช่วยพาข้าไปที่นั่นที”
เจ้าของแผง รีบเก็บแผงขายของลงในถุงเก็บของทันที แล้วเรียกให้ฉู่เสวียนตามเขาไป
แม้ว่าฉู่เสวียนจะเดินตามหลังคนผู้นี้ แต่เขาก็ยังคงสังเกตและฟังการสนทนาของผู้คนทุกทิศทาง โดยให้ความสนใจกับสิ่งรอบข้างอยู่เสมอ
ทั้งสองคนเดินออกมา และไม่นานก็ออกจากตรอกไท่ผิงมายังสถานที่ที่ไม่มีผู้คน
ในตอนนั้น เจ้าของแผงขายของก็ลดเสียงของเขาลง และถามออกมาว่า “ไม่ทราบว่าท่านคือศิษย์พี่ร่วมสำนักผู้ใด?”
ฉู่เซวียนกล่าวอย่างใจเย็น “เหอเลี่ยง”
ชายคนนั้นตกตะลึง “เหอเลี่ยงอย่างนั้นหรือ? เหอเลี่ยงผู้ทรยศนั่นมันตายไปนานแล้ว”
ฉู่เสวียนรู้สึกโล่งใจและพยักหน้า "ข้าฉู่เสวียน"
ชายคนนั้นกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น “ศิษย์พี่ฉู่! เป็นศิษย์พี่ฉู่จริงๆ หรือ?”
ฉู่เสวียนก้มศีรษะลงเล็กน้อย “แล้วเจ้าคือ?”
ชายคนนั้นสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วรีบพูดว่า "เฉินเกอ ข้าคือเฉินเกอ ที่เข้าสู่นิกายอู๋จี๋ชุดเดียวกันกับท่านยังไงล่ะ!"
“สัญลักษณ์และรหัสลับนี้ ศิษย์พี่ใหญ่เว่ยหัวเป็นคนสอนข้ามาอีกที”
ฉู่เสวียนพยักหน้า
เว่ยหัวคือศิษย์อันดับที่12 ฝ่ายในนิกายอู๋จี๋ ซึ่งก็มีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีกับเขา
“แล้วเว่ยหัวเป็นอย่างไรบ้าง” ฉู่เสวียนถามอย่างไม่เป็นทางการ
เฉินเกอรีบกระซิบออกมาเบาๆ “ศิษย์พี่เว่ยยังอยู่ในช่วงพักฟื้น ส่วนอาจารย์อาหลิวและศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ ตอนนี้กำลังซ่อนตัวอยู่ในเขตอำนาจของตระกูลอู๋”
ฉู่เสวียนยิ้มออกมาด้วยสีหน้าปรพะหลาดใจ
อาจารย์อาหลิวผู้นี้คือผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานของนิกายอู๋จี๋ มีแซ่ว่าหลิวหรือชื่อเต็มคือหลิวเจิ้งสง
การตัดสินใจของเขานั้นชาญฉลาดยิ่งนัก
เพราะคงไม่มีใครคาดคิดว่ากลุ่มผู้บำเพ็ญมารของนิกายอู๋จี๋กลุ่มนี้จะมาอาศัยอยู่ในเขตอำนาจการปกครองของตระกูลอู๋โดยตรง
ไม่แปลกใจเลยที่นิกายเสินกังจะหาเขาไม่เจอ
เพราะคงไม่มีใครคิดว่าศัตรูจะมาอยู่ภายใต้จมูกของพวกเขาโดยตรงแบบนี้ และที่นี่จะกลายเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการบ่มเพราะวิชามาร!
เฉินเกอพูดออกมาอย่างจริงจัง “ศิษย์พี่ฉู่ ท่านมาอยู่กับพวกเราเถิดขอรับ ตอนนี้พวกเราผู้บำเพ็ญแห่งนิกายอู๋จี๋จะต้องอยู่ร่วมกัน เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เราถึงจะอยู่รอดต่อไปได้”
ฉู่เสวียนส่ายหัว "เมื่อมีคนเยอะ เป้าหมายก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ"
“ไม่ล่ะ ครั้งนี้ข้าแค่มาซื้อของบางอย่างเท่านั้น”
เฉินเกอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่ยังคงพยักหน้า “ศิษย์พี่ฉู่ แล้วท่านต้องการซื้ออะไรล่ะ”
“ข้าต้องการ..มหาค่ายกลแปลงโลหิต”
เฉินเกอรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก “มหาค่ายกลแปลงโลหิต ท่านต้องการเอามันไปทำอะไรหรือ ? ทุกวันนี้ 5 นิกายสายธรรมกำลังตรวจสอบพลังมารอย่างเข้มงวด ข้าเกรงว่าทันทีที่ท่านเปิดใช้งานมหาค่ายกลแปลงโลหิต ผู้บำเพ็ญสายธรรมก็จะมาหาท่านถึงหน้าประตูเลยน่ะสิ”
ฉู่เสวียนเพียงแค่ยิ้ม “เจ้าเพียงบอกข้ามาว่ามีหรือไม่มี?”
เฉินเกอพยักหน้า “ข้าจำได้ว่าศิษย์พี่เว่ยมี ราคาของมันคงจะใช้หินวิณญาณเพียงก้อนเดียวเท่านั้น ถ้าอย่างนั้น ศิษย์พี่ฉู่ ท่านต้องไปรอนอกคฤหาสน์ตระกูลอู๋ แล้วข้าจะเข้าไปเอาของมาให้ท่านเอง”
ฉู่เสวียนก้มหัวเล็กน้อย
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกไปทันที และในไม่ช้าก็มาถึงประตูคฤหาสน์ตระกูลอู๋
คฤหาสน์ตระกูลอู๋ถูกสร้างขึ้นในหุบเขาที่อุดมไปด้วยพลังงานจิตวิญญาณ อาคารแห่งนี้มีทั้งหมดสิบชั้น ซึ่งสามารถเรียกที่นี่ว่าเป็นอาณาจักรเล็กๆได้เลย
ฉู่เสวียนไม่ได้เข้าใกล้คฤหาสน์ของตระกูลอู๋ แต่หยุดอยู่ไม่ไกล ก่อนจะหยิบถุงเก็บของระดับต่ำออกมาแล้วโยนให้เฉินเกอเอาไป
“ในนี้มีหินวิญญาณ และมีลูกปัดโลหิตอยู่ประมาณ 30 เม็ด หวังว่าคงจะใช้แลกเปลี่ยนกับมหาค่ายกลแปลงโลหิตได้นะ”
เฉินเกอรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง "ตอนนี้พวกเราก็ขาดแคนลูกปัดโลหิตเหมือนกัน !"
เขายอมรับมันทันที “ศิษย์พี่ฉู่ โปรดรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะรีบไปรีบกลับมาให้เร็ว”
หลังจากที่พูดจบ เขาก็รีบวิ่งเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลอู๋ทันที