ตอนที่ 7 ตาดูแต่มือห้ามแตะ
ตอนที่ 7 ตาดูแต่มือห้ามแตะ
โรงแรมห่าวไท่อยู่ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้าเสี่ยวหรันฟามากนัก
มันห่างกันเพียงแค่สามกิโลเมตรเท่านั้น
เพียงแต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ ไม่ใช่สังคมสมัยใหม่ ที่จะมีการจราจรราบรื่นอีกต่อไป
มันเป็นเมืองโลกาวินาศที่เต็มไปด้วยซอมบี้อยู่ทุกหนทุกแห่ง
บนท้องถนนเกลื่อนไปด้วยซากรถและป้ายโฆษณาที่หักพังลงมา
สภาพถนนคงเรียกได้ว่าเรียบตลอดทางไม่ได้ อย่างน้อยก็มีอุปสรรคอยู่มากมาย
รถหวูหลิงจึงต้องใช้เวลาสองชั่วโมงเต็มกว่าที่จะมาถึงห้างสรรพสินค้าเสี่ยวหรันฟา
แอ็ดด..
ประตูถูกเปิดออก จ้าวหงได้กระโดดลงมาจากรถ
เขาโดดลงมาพร้อมกับหมาป่าข้างกายอีกสามตัว
พวกมันนั้นตัวใหญ่ มีทั้งสีดำ สีเทา และสีแดง
มันเป็นหมาป่าวิญญาณที่ทรงพลัง ฉลาด และดุร้ายที่สุดสามตัวภายใต้การบังคับบัญชาของเขา
จ้าวหงมองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัยเล็กน้อย
สายตาและการได้ยินของเขาเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป ดังนั้นเขาจึงสังเกตเห็นได้อย่างง่ายดายว่ามีบางอย่างผิดปกติในบริเวณรอบๆห้างสรรพสินค้าเสี่ยวหรันฟาแห่งนี้
เพราะว่ามันเงียบมาก ไม่มีเสียงของการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังไม่มีเสียงคำรามต่ำๆ ของซอมบี้เลย มากที่สุดก็ได้ยินเพียงเสียงของหนูวิ่งไปมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยไปยังดินแดนของซอมบี้ระดับสูงมาก่อน เพียงแต่ที่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นดินแดนที่รกร้างว่างเปล่าของจริงเช่นนี้
“พวกแกเข้าไปดูสิ” จ้าวหงสั่งสุนัขทั้งสามและชี้ไปที่ห้างสรรพสินค้าเสี่ยวหรันฟา
จากนั้นหมาป่าทั้งสามตัวก็ส่งเสียงคำรามออกมา และเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าอย่างว่าง่าย
ครู่ต่อมา ก็มีเสียงคำรามสามครั้งดังมาจากภายในห้างสรรพสินค้า
ซึ่งทำให้จ้าวหงขมวดคิ้ว
ก่อนที่ซอมบี้จะระบาด เขาได้เลี้ยงสุนัขเพื่อฆ่าคน เขาจึงเข้าใจความหมายของเสียงเห่าโทนต่างๆ ดี
และการที่สุนัขเห่าแบบนี้แสดงว่าไม่มีอันตรายใดๆ
“ทิ้งคนไว้ในรถหนึ่งคน แล้วนายขึ้นไปดูกับฉันสิ”
จ้าวหงกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
"ครับ" ชายร่างใหญ่คนหนึ่งลงจากรถและเดินตามจ้าวหงเข้าไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ
ในไม่ช้า ทั้งสองก็มาถึงชั้น 5 ของห้างสรรพสินค้าอย่างราบรื่น เนื่องจากไม่มีซ้อมบี้อยู่ในนี้แม้แต่ตัวเดียว
เมื่อเห็นฉากเช่นนี้ หัวใจของเขาก็เต้นรัวอีกครั้ง ไม่อาจจะยับยั้งความตื่นตระหนกที่มีได้อีกต่อไป
นี่ก็ผ่านมาห้าปีแล้วนับตั้งแต่ที่เกิดการระบาดของซอมบี้
เขาคุ้นเคยกับโศกนาฏกรรมทุกประเภท จนหัวใจของเขาชินชาไปหมดแล้ว
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นฉากอันเงียบสงบเช่นนี้
ทั่วทั้งห้างตั้งแต่ชั้น 1 ไปจนถึงชั้น 5 มีเพียงเศษเนื้อของซอมบี้กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกแห่ง
ซึ่งตอนนี้ก็เป็นฤดูร้อนพอดี จึงมีแมลงวันอยู่ชุกชุมไปหมด
ทว่ากลับไม่มีแมลงวันเเม้แต่ครึ่งตัวกล้าโผล่หัวเข้ามาในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เลย
ฉากบนชั้นห้านั้น ยิ่งน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
เพราะบนนี้มีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่อยู่ที่นี่หลายใบ
ในอ่างมีเลือดแห้งทั้งสีดำและสีแดงอยู่ข้างใน ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก
ในมุมห้องที่อยู่ไม่ไกลนัก ก็ได้มีซอมบี้ผอมแห้งสองตัวนอนอยู่
ซอมบี้สองตัวนี้มีเลือดออกมาทั่วร่างกาย และยังมีวัชพืชสีแดงงอกขึ้นมาจากร่างกายของซอมบี้ทั้งสอง
เพียงแต่ว่าต้นไม้เหล่านี้ก็ได้ตายไปแล้ว
ฉากตรงหน้านี้…ทำให้พวกเขารู้สึกว่าวัชพืชสีแดงกำลังดูดสารอาหารทั้งหมดไปจากซอมบี้ จนมันแห้งตายไป จ้าวหงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า
“ลูกพี่… แล้วเราจะเอายังไงต่อดีครับ” ชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้างๆเขามีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“นายรู้สึกหนาวไหม” จู่ๆ จ้าวหงก็ได้ถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ในตอนนั้นชายร่างใหญ่ก็สั่นหนาวขึ้นมาทันที “หนาวครับ หนาวมาก อุณหภูมิที่นี่ต่ำมาก”
จ้าวหงลุกขึ้นด้วยท่าทางตื่นตระหนกอย่างไม่สามารถอธิบายได้
เนื่องจากว่าตอนนี้ อุณหภูมิภายนอกนั้นสูงอย่างน้อยสามสิบองศาเซลเซียส
แต่เมื่อเขาเข้ามาในห้างสรรพสินค้าเสี่ยวหรันฟาแห่งนี้ เขากลับรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก
นี่มันผิดปกติจริงๆ
จ้าวหงรู้ว่าสถานที่นี้ดูผิดปกติ และไม่ควรอยู่ที่นี่นาน!
"ไปกันเถอะ"
เขาไม่กล้าอยู่ต่ออีกต่อไปจึงหันหลัง แล้วจากไป
เมื่อกลับมาที่รถ เขาก็สงบสติอารมณ์ลงอย่างช้าๆ
“นายได้เอาน้ำมันมาไหม?”
จ้าวหงหยิบบุหรี่ออกมาจุด พ่นควันออกมาสองสามวง จากนั้นเขาก็ถามออกมาทันที
“ครับลูกพี่ มีอะไรก็สั่งการมาได้เลยครับ” ชายร่างใหญ่สองคนพยักหน้า
“จุดไฟเผาที่นี่ให้วอดวายไปซะ มันมีแต่พลังงานชั่วร้ายเต็มไปหมด” จ้าวหงพูดอย่างใจเย็น
"ได้ครับ!"
ชั่วครู่ต่อมา ควันสีดำสนิทก็ลุกไหม้เหนือห้างสรรพสินค้าเสี่ยวหรันฟาอย่างรวดเร็ว
ความหนาวเย็นที่กัดกินดูเหมือนจะจางหายไปพร้อมกับการเผาไหม้นี้
ความหวาดกลัวในหัวใจของเขาพลันหายไปอีกครั้ง
“กลับไปกันเถอะ”
เขาโยนบุหรี่ที่ยังไม่หมดออกไปนอกหน้าต่างรถอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะยกขาขึ้นรถไป
รถหวูหลิงสตาร์ทและขับหายไปบนถนนในไม่ช้า
-
ณ ทวีปชางเสวียน อาณาจักรหยู นอกเมืองชิงเหอ
ท่ามกลางป่าอันอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง ที่มีต้นไม้และสัตว์นานาชนิด
ในตอนนั้น อากาศก็ได้บิดเบี้ยวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ในชั่วพริบตา ก็มีร่างร่างหนึ่งปรากฏออกมาจากอากาศบางๆ
นกที่อยู่บนยอดไม้ถึงกับตกใจ ส่วนกระรอกที่อยู่ตามกิ่งไม้ก็ได้วิ่งหนีออกไปทันที
“ข้ากลับมาแล้ว”
ฉู่เสวียนมองไปรอบๆ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และยิ้มออกมา
อากาศที่นี่เต็มไปด้วยพลังธรรมชาติซึ่งดีกว่าอากาศบนดาวเคราะห์โลกาวินาศแห่งนั้นเป็นไหนๆ
“อย่างแรกที่ข้าต้องทำก็คือค้นหาว่าอัตราการไหลของเวลาทั้งสองด้านสม่ำเสมอกันหรือไม่”
“อย่างที่สอง ข้าต้องการซื้อวัสดุในการกลั่นศพหยินและเมล็ดพันธุ์วิญญาณเพิ่มจำนวนมาก”
“อย่างที่สาม ข้าอยากค้นหาป้อมปราการที่ผู้บำเพ็ญสายมาร เช่น นิกายอู๋จี๋และนิกายหุ่นเชิดศพทำการค้าลับๆ และซื้อมหาค่ายกลแปลงโลหิต”
หลังจากวางแผนแล้ว ฉู่เสวียนก็รีบหยิบหน้ากากหนังมนุษย์ออกมาแล้วสวมมันเข้าไป
ด้วยการสวมหน้ากากหนังมนุษย์นี้เข้าไป เขาก็ได้เปลี่ยนจากชายหนุ่มหน้าตาเย็นชาเป็นชายหัวล้านที่มีรูปลักษณ์ดุร้าย
แม้ว่าจะมีผู้คนมากมายรู้ถึงเทคนิคหน้ากากหนังมนุษย์ของเขา แต่ฉู่เสวียนก็ใช้มันเพื่อหลบหนีมาแล้วหลายครั้ง และยังถือว่าเป็นเทคนิคที่ง่ายอีกด้วย
“ข้าเหมือนจำได้ว่าทางตอนใต้ของเมืองชิงเหอ ห่างออกไปประมาณสามร้อยลี้ มีหุบเขาอันอุดมไปด้วยพลังจิตวิญญาณ และยังมีเมืองอยู่เมืองหนึ่งอีกด้วย”
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉู่เสวียนก็ได้หยิบดาบบังเหินออกมาและบินไปทางทิศใต้ของเมืองชิงเหอทันที
ดาบบังเหินนี้เป็นเพียงอาวุธเวทย์มนตร์ระดับต่ำ และมีความเร็วในการบินสามร้อยลี้ต่อชั่วโมง
ภายในระยะทางพันลี้ มันจะกลืนกินหินวิญญาณระดับต่ำเพียงก้อนเดียวเท่านั้น
นี่เป็นอาวุธมือสอง ที่ฉู่เสวียนซื้อต่อมาจากนิกายอู๋จี๋อีกที
ซึ่งทั้งความเร็วและอัตราสิ้นเปลือง ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม
ในอนาคต หากเขามีหินวิญญาณมากขึ้น เขาจะต้องซื้ออาวุธบินได้ ที่มีประสิทธิภาพดีกว่านี้อย่างแน่นอน
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ฉู่เสวียนก็ได้มาถึงเมืองเล็กๆแห่งนี้
“ตรอกไท่ผิง”
ฉู่เสวียนก้าวเข้าไปยังตรอกแห่งหนึ่งในเมือง
ห่างจากตรอกไท่ผิงประมาณหนึ่งพันลี้ จะเป็นประตูภูเขาของนิกายเสินกัง ซึ่งเป็นหนึ่งในนิกายฝ่ายธรรมทั้งห้าของอาณาจักรหยู
แน่นอนว่าเมืองเสี่ยวฟางแห่งนี้ไม่ได้ถูกควบคุมโดยนิกายเสินกังโดยตรง
แต่มันถูกควบคุมอยู่ภายใต้ตระกูลหนึ่ง ที่ฝึกฝนอยู่ภายในนิกายเสินกัง
ตระกูลนี้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐาน ที่ไม่มีความหวังว่าจะทะลวงผ่านการฝึกฝนในนิกายเสินกังได้
เมื่อทายาทของตระกูลมีรากฐานทางจิตวิญญาณแล้ว พวกเขาจะถูกส่งไปยังนิกายเสินกังทันทีเพื่อฝึกฝน
จึงทำให้ตระกูลนี้เป็นใหญ่เป็นโตมากขึ้นเรื่อยๆ จากรุ่นสู่รุ่น
ตรอกไท่ผิงจึงถูกควบคุมโดยตระกูลอู๋โดยสิ้นเชิง
บรรพบุรุษของตระกูลอู๋เป็นผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานซึ่งมีอายุเกือบสองร้อยปี
ดังนั้น ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ที่มาขายและแลกเปลี่ยนสินค้าที่ตรอกไท่ผิงแห่งนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้บำเพ็ญระยะเริ่มต้นและกลางของช่วงกลั่นลมปราณทั้งสิ้น
แต่ผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณระยะกลางจะมีน้อยมาก
ข้อมูลนี้ฉู่เสวียนรู้มานาน ก่อนที่เขาจะมาที่นี่แล้ว
ในฐานะผู้บำเพ็ญสายมารที่ทุกฝ่ายต่างก็ตราหน้า หากเขาไม่รวบรวมข้อมูลดังกล่าวตั้งแต่เนิ่นๆ เขาคงจะไม่สามารถเข้าสู่สถานที่ที่ไม่รู้จักเช่นนี้อย่างง่ายดายไม่ได้
และเกรงว่าคงจะมีตอนจบที่น่าอนาถไม่น้อย
เมื่อฉู่เสวียนมาถึงตรอกไท่ผิงในตอนแรก เขาก็ไม่ได้ซื้อสิ่งที่เขาต้องการในทันที
เมื่อมีคนหน้าใหม่อย่างเขาปรากฏตัวครั้งแรก อีกฝ่ายก็จะขึ้นราคาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เขาจึงจำเป็นจะต้องอยู่ต่อที่นี่อีกสักสองสามวัน
สิ่งสำคัญคือแค่เดินดูไปก่อนคร่าวๆ แต่ยังไม่ซื้อ
โดยธรรมชาติแล้ว ผู้บ่มเพาะนั้นมักจะไม่พูดอะไรพล่อยๆ ออกมาเหมือนคนทั่วไป
บางคนถึงกับตื่นตัวมาก และแอบใช้พลังจิตฟังคนอื่นคุยกัน
ดังนั้น ในฐานะผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณเช่นเขา จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะได้ยินบทสนทนาของคนอื่นๆ
แต่ฉู่เสวียนนั้นมีกู่สดับอยู่ในหูทั้งสองข้าง ซึ่งสามารถขยายการได้ยินและการรับรู้ของเขาได้