ตอนที่ 227 ไม่มีใครที่เขาไม่กล้าชวนดื่มชาหรอก!
“ถูกต้อง” เมื่อได้ยินคำของชิ่นอี ทุกคนต่างพยักหน้าและยิ้มอย่างเห็นด้วย สิ่งที่คนภายนอกคิดว่าไม่ปกติ แต่สำหรับพวกเขาถือเป็นเรื่องปกติ จะอย่างไรก็เถอะ ถ้าสืบทอดมาเป็นหมื่นปีแล้ว แต่กลับไม่สามารถหาระดับกึ่งจักรพรรดิออกมาได้ นั่นสิถึงจะไม่ปกติจริงๆ
ตี้เสินเจินเหรินพูดขึ้นว่า “แล้วพวกอิทธิพลต่างๆ ที่มาเยี่ยมเยียนเราล่ะ จะปล่อยให้พวกเขารออย่างนั้นหรือ?”
หลังจากที่เกาซานสร้างชื่อเสียงขึ้นมา ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา อิทธิพลต่างๆในเขตหวงโจว ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ต่างพากันมาเยือน พวกเขาพร้อมของขวัญมาเพื่อสานสัมพันธ์กับเกาซาน แต่ก็ไม่มีใครที่สามารถเข้าไปถึงประตูของสำนักได้ เพราะทั้งหมดถูกโกวหยวนเจินเหรินสกัดเอาไว้ ไม่มีใครได้พบเลย
“เจอ? ทำไมเราต้องเจอด้วย?”
“พวกคนที่ตามกระแสน้ำขึ้นน้ำลงแบบนั้น ตอนที่เราไม่ได้แสดงพลังของเกาซานออกมา พวกเขาไม่ได้มีท่าทีแบบนี้!”
โกวหยวนเฟิงกล่าวพร้อมหัวเราะเยาะ “ก็ปล่อยให้พวกเขารอไป ถ้าไม่อยากรอก็กลับไปซะเถอะ”
“บอกตรงๆ นะ มันก็เป็นธรรมดาที่เราจะต้องรักษามิตรภาพกับอิทธิพลอื่นๆ แต่มีบางอิทธิพลที่เราไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจด้วยซ้ำ”
“เพื่อนน่ะ อยู่ที่คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ!”โกวหยวนเจินเหรินพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม
ผู้นำหอหมื่นสมบัติกล่าวว่า “ท่านพูดถูก อิทธิพลเหล่านี้คงต้องปล่อยให้เจ้าสำนักกลับมาจัดการเองจะดีกว่า”
“พูดถึงเจ้าสำนักแล้ว เมื่อไหร่เขาจะกลับมากันนะ?”
หัวหน้าสวนสมุนไพรชิ่งอีกล่าวขณะวางถ้วยเปล่าลง ที่ตอนนี้แม้แต่ซุปในถ้วยก็หมดไปแล้ว เธอดื่มจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
“กลับมาเร็วๆ เถอะ ข้าอยากเจอหยุนเฟยแล้ว”
หัวหน้าหอคัมภีร์หัวเราะเบาๆ พร้อมพูดว่า “ข้าว่าท่านอยากเจอเนื้อหมานักบุญของเขามากกว่าละสิ? ข้าเห็นในถ้วยของเจ้าเมื่อครู่ มีเนื้อหมาเพียงชิ้นเดียว แสดงว่าของสำรองคงหมดแล้วสินะ?”
“ใช่เลย ช่วงนี้ข้ากินวันละห้าหกถ้วย แต่ละถ้วยเนื้อหมาเต็มไปหมด ตอนนี้ของสำรองกินหมดไปแล้ว”
ชิ่นอี แม้ว่าจะงดงามและมีร่างกายที่เย้ายวนใจ แม้เธอจะสวมเสื้อคลุมสีขาวประจำสวนสมุนไพรที่หลวม ก็ยังไม่สามารถปิดบังรูปร่างที่โค้งเว้าของเธอได้ ทำให้ใครเห็นก็ต้องหลงใหล
“เจ้ากินเยอะขนาดนั้น ไม่กลัวว่าร่างกายจะรับมากเกินไปหรือ?”
โกวหยวนเจินเหรินยิ้มและกล่าว “ระดับพลังของเจ้าเพียงแค่เทพทารกขั้นสมบูรณ์ อย่าทำเกินไป ระวังเจ้าสำนักจะชวนเจ้าดื่มชานะ”
“ข้ากับบรรพบุรุษเซวียนเหอเป็นรุ่นเดียวกัน เขาไม่กล้าหรอก”
ชิ่นอีกล่าวพร้อมหัวเราะ ตอนที่บรรพบุรุษเซวียนเหออยากชวนเธอดื่มชาก็ไม่สำเร็จ นับประสาอะไรกับเจ้าสำนักจางหยุนเทียนรุ่นน้องที่จะทำได้? จนถึงตอนนี้ ไม่มีใครในสำนักเกาซานรู้ถึงพลังที่แท้จริงของเธอเลย เธอเองก็ไม่ต้องต่อสู้แย่งชิงอยู่แล้ว ฐานะประจำสวนสมุนไพรก็เพียงพอที่จะไม่เปิดเผยพลังที่แท้จริงออกมา
“เขาไม่กล้า?”
หัวหน้าหอหลิงถังที่นั่งเงียบมาตลอด เริ่มหัวเราะขึ้นพร้อมกล่าวว่า “ชิ่นอี เจ้าอย่าประมาทเจ้าสำนักหยุนเทียนนะ ผลงานของเขาน่ะเหนือกว่าบรรพบุรุษเซวียนเหอมากนัก!”
“ไม่มีใครที่เขาไม่กล้าชวนดื่มชาหรอก!”
ตี้เสินเจินเหรินพยักหน้าและกล่าวว่า “ครั้งนี้เมื่อเจ้าสำนักกลับมา เขาต้องยกเอาความจริงที่ว่าเกาซานนั้นยิ่งใหญ่ขึ้นไปแล้วมาเป็นข้ออ้าง ทำให้เราทุกคนเพิ่มพลังขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับสถานะของสำนักในปัจจุบัน”
“ถึงตอนนั้น ใครถ้าหลงเชื่อจริงๆ เจ้าก็แค่ดูไปเถอะ วันรุ่งขึ้นรับรองว่าต้องล้มคว่ำแน่นอน!”
เมื่อได้ยิน ทุกคนต่างหัวเราะออกมา บุคคลที่นั่งอยู่ที่นี่ล้วนเป็นระดับสูงของสำนัก ไม่มีใครที่ไม่รู้ทันในตอนนั้นเองหัวหน้าหอคัมภีร์มองไปยังทางเข้าประตูสำนักของเกาซานแล้วกล่าวว่า “ดูเหมือนพวกเขาจะกลับมาแล้ว”
โกวหยวนเจินเหรินมองเขาและกล่าวว่า “การที่ท่านอาจารย์อาของข้าสามารถมีชีวิตรอดจากสามเจ้าสำนักได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!”
“ประตูมิติของสำนักเราซ่อนอยู่ลึกขนาดนี้ ข้าก็ยังไม่รู้สึกถึงมันเลย”
หัวหน้าหอคัมภีร์เป็นบุคคลที่อยู่ในยุคเดียวกับเซวียนอี้ อายุเกือบสองพันปีแล้ว การที่เขายังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของเขาอย่างแท้จริง!
“หากพลังไม่พอ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะตาย”
หัวหน้าหอคัมภีร์ยิ้มถ่อมตัวและโบกมือบอกว่าไม่ต้องใส่ใจ
จากนั้นเขาลุกขึ้นและกล่าวว่า “ไปกันเถอะ ไปต้อนรับวีรบุรุษของพวกเรา เฉลิมฉลองกันทั้งสำนัก!”
...
จากนั้นโกวหยวนเจินเหรินและคนอื่นๆ ก็เคลื่อนตัวไปยังประตูมิติ ก่อนหน้านั้น พวกเขาได้แจ้งไปทั่วทั้งสำนักแล้วว่าเจ้าสำนักจางหยุนเทียน และคนอื่นๆ กำลังจะกลับมาจากชัยชนะ!
แม้ว่าเกาซานจะไม่สนใจในชื่อเสียงมากนัก แต่การที่สำนักได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน เก้าสำนักเซียนในยุคทองนี้ ก็ทำให้ทุกคนยินดีกันถ้วนหน้า!
“ฮ่าๆ เจ้าลองพูดดู เมื่อวานข้าออกไปข้างนอก พอคนอื่นรู้ว่าข้าเป็นศิษย์ของเกาซาน พวกเขาแทบจะคุกเข่าลงกราบข้าเลยล่ะ!”
“ข้าก็เหมือนกัน พอพวกเขาเห็นป้ายประจำตัวที่เอวข้า ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ในอดีตไม่เคยเว่อร์ขนาดนี้”
“ฮ่าฮ่า ข้ารู้อยู่เสมอว่าสำนักของเรานั้นแข็งแกร่งมาก แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นนี้ ขนาด เทียนหมิง ยังถูกพวกเราล้มล้างได้!”
บรรดาศิษย์และผู้อาวุโสของสำนักต่างยืนอยู่หน้าประตูมิติ พูดคุยกันอย่างตื่นเต้น
“คนเยอะจัง!”
จินจินกระโดดออกมาจากประตูมิติก่อนคนอื่น พร้อมกับ อ้ายหยา ที่มีผมถักเปียชี้ขึ้นฟ้า นางยิ้มร่าเริง
เสียงพูดคุยยังไม่ทันสิ้นสุด บุคคลต่างๆ นำโดยเจ้าสำนักจางหยุนเทียนและ ฮั่วหยุนเฟย ก็ทยอยออกมาจากประตูมิติเป็นลำดับ
“ฮ่าฮ่า พวกเจ้ามาทำอะไรกัน?”
“แค่จัดการ เทียนหมิง และได้เป็นสำนักเซียนอันดับที่หก ไม่ต้องขนาดนี้หรอก ถึงกับมารอต้อนรับเชียว”
เทียนจีเจินเหรินพูดขึ้นพร้อมหัวเราะร่า ปากของเขาแทบจะฉีกไปถึงหูพร้อมกับโบกมือบอกให้ทุกคนใจเย็นๆ อย่าตื่นเต้นเกินไป
หารู้ไม่ว่าคนที่ตื่นเต้นที่สุดก็คือเขานั่นแหละ!
“เรื่องอวดเก่งนี่ยังไงก็ต้องยกให้เทียนจีเจินเหรินเลยนะ ช่างถ่อมตัวจริงๆ”
ทุกคนต่างหัวเราะออกมา คำพูดที่ว่า "ก็แค่จัดการ **เทียนหมิง" หากพูดออกไป คนอื่นคงคิดว่าสำนักเกาซานเริ่มหลงตัวเองแล้ว
“อาจารย์อาวุโส เจ้าสำนัก งานเลี้ยงเตรียมพร้อมแล้ว พวกเราไปนั่งคุยกันพลางกินข้าวไปด้วยเถอะ”
โกวหยวนเจินเหรินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
บนโต๊ะเลี้ยง
โกวหยวนเจินเหรินมองไปยังนอกสำนักเกาซาน ก่อนจะพูดกับเจ้าสำนักจางหยุนเทียน ว่า
"ศิษย์พี่ ยังมีคนพวกนั้นที่ท่านต้องไปจัดการ พวกเราปล่อยให้พวกเขารอหลายวันแล้ว"
"มีกี่คน?"
เจ้าสำนักจางหยุนเทียนเงยหน้าดื่มเหล้าหมดถ้วย และถามขึ้น สำหรับเขา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่แปลกใจเลย สำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงมักจะได้รับการต้อนรับแบบนี้เสมอ
บรรดาอิทธิพลที่อ่อนแอ มักจะเลือกสำนักใหญ่ๆ เพื่อเข้าเกาะพึ่งพิงและหาที่พักพิง ปัจจุบันในเขตหวงโจวมีสามสำนักเซียน ได้แก่สำนักเกาซาน เจ็ดวิหารเทพ และ นครดาบไร้ขอบเขต ซึ่งในตอนนี้ สำนักที่มีอันดับสูงสุดคืสำนักเกาซาน ที่อยู่ในอันดับที่หก ในสถานการณ์นี้ ย่อมมีอิทธิพลมากมายแห่กันมาเพื่อสร้างความสัมพันธ์
พวกอิทธิพลเล็กๆ ที่เคยอยู่ภายใต้การปกป้องของสำนักเกาซานก็ยิ่งต้องกระตือรือร้นมากขึ้น เพราะตอนนี้ที่พวกเขามีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งขึ้น พวกเขาก็ต้องรีบมาแสดงตัวตนเพื่อไม่ให้ถูกลืม
โกวหยวนเจินเหรินกล่าวต่อ "ยกเว้นพวกตระกูลโบราณหรือสำนักใหญ่ที่มีการสืบทอดมานานแล้ว อิทธิพลทั้งเล็กใหญ่ในเขตหวงโจวแทบทั้งหมดก็มากันหมดแล้ว"
เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าสำนักจางหยุนเทียน กล่าวว่า
"เรื่องพวกนี้ ปล่อยให้เหล่าอาวุโสไปจัดการก็พอแล้ว"
"ตอนนี้สำนักเกาซานไม่เหมือนเดิมแล้ว ถ้าข้าไป พวกเขาคงจะกลัวจนพูดอะไรไม่ถูกแน่ๆ"
"หาคนอาวุโสที่พวกเขาคุ้นเคยไปแทนดีกว่า พวกเขาจะรู้สึกผ่อนคลายมากกว่า"
"ได้"
โกวหยวนเจินเหริน พยักหน้า เห็นได้ชัดว่าความคิดของเจ้าสำนักจางหยุนเทียนรอบคอบมาก
ในขณะนั้น บรรยากาศในงานเลี้ยงก็คึกคักมาก เพราะเหล่าศิษย์และอาวุโสของสำนักเกาซานมีความสัมพันธ์ที่กลมเกลียวกัน ทำให้ทุกคนเป็นกันเอง ไม่มีข้อจำกัดอะไรเลย ศิษย์ทุกคนสามารถชวนใครก็ตามมาดื่มและพูดคุยได้ บรรยากาศจึงยิ่งครึกครื้นมากขึ้น!
ไม่นาน ที่บริเวณที่นั่งของยอดเขาเทียนจี เหล่าศิษย์ต่างดื่มจนเมามาย บางคนถึงขั้นเปิดปากร้องเพลงโชว์เสียงอันไพเราะของตนเอง และคนที่นำร้องก็คือเทียนจีเจินเหริน!
ที่ยอดเขาเต๋าหยวน
"ท่านอาจารย์ ข้าขอดื่มคารวะท่าน"
หวงเซวียนยกถ้วยเหล้าให้ ฮั่วหยุนเฟยพลางพูด
"ดี"
ฮั่วหยุนเฟยยกถ้วยขึ้นและยิ้มเล็กน้อย สองคนดื่มกันหมดถ้วย หลังจากดื่มเสร็จ หวงเซวียนก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนถามว่า
"ท่านอาจารย์ ผู้หญิงคนนั้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ใช่คนที่เคยเจอจักรพรรดิ์เสวียนหวง*หรือไม่?"
ช่วงหลายวันที่ผ่านมาหวงเซวียนรู้สึกตลอดว่าเจียงรั่วเหยามองเขาด้วยสายตาที่แปลกๆ และคำพูดของนางก็แฝงความหมายลึกซึ้ง หลังจากคิดทบทวน เขาก็คิดได้ว่ามีความเป็นไปได้ว่านางอาจจะไม่ใช่คนในยุคนี้ และเคยเจอ จักรพรรดิ์เสวียนหวง มาก่อน
เมื่อรู้ว่าชื่อของเขาใกล้เคียงกับ จักรพรรดิ์เสวียนหวงและเขายังครอบครองร่างอมตะเซวียนหวงอีกด้วย จึงทำให้นางพูดสิ่งเหล่านั้นออกมา
"ใช่"
ฮั่วหยุนเฟยไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังหวงเซวียน เขาไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาอีกต่อไป ตรงกันข้าม หวงเซวียนที่บางครั้งทำตัวไม่จริงจังนั้น แท้จริงแล้วเป็นคนที่มีวุฒิภาวะและสุขุมที่สุด มากกว่า เย่ปู้ฝานเสียอีก เพียงแต่หลายครั้ง เขามักจะเลี่ยงความทรงจำจากชาติที่แล้ว และเขาต้องการที่จะใช้ชีวิตใหม่ในชาตินี้และเข้ากับสำนักเกาซาน
"อย่างที่คิดเลย"
หวงเซวียน รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนถามต่อว่า
"แล้วนางรู้หรือไม่ว่า..."
...