ตอนที่ 22 รับเฉพาะศิษย์หญิง
ตอนที่ 22 รับเฉพาะศิษย์หญิง
"267.5 แต้ม?"
0.5 แต้มนี้มาจากไหน?
เวิ่นหยุนซีรีบเปิดบันทึกการคำนวณทันที และสิ่งที่เห็นคือรายการบันทึก 0.5 แต้มต่อกันยาวถึง 45 รายการ
ในขณะที่เธอกำลังคำนวนณรายการบันทึก จู่ๆ ก็มีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งรายการ
ทุกรายการแสดงให้เห็นว่ามาจากฉินอวี้
หรือว่า…
“รวยแล้ว รวยแน่ๆ!”
เวิ่นหยุนซีหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ลืมไปหมดว่าตอนนี้เธอกำลังเดินทางอยู่
"เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?" ถงอวิ๋นขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
นางคนนี้ เมื่อครู่ก็ดูเหมือนจะโบกมือมั่วไปมา ตอนนี้ก็ดันหัวเราะเหมือนเป็นคนบ้า ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
เวิ่นหยุนซีไม่ทันได้ตอบ เธอเร่งรีบพูดขึ้นว่า "ไปสิ รีบพาข้าไป"
ตอนนี้เธออยากได้คำยืนยันจนทนไม่ไหวแล้ว
ถงอวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งใจ อย่างน้อยก็ดูเหมือนจะไม่ได้ บ้า!
แต่ถึงอย่างนั้น นางคนนี้ก็ช่างยุ่งยากนัก
เมื่อกี้ยังเดินอย่างช้าๆ อยู่เลย แต่ตอนนี้กลับเร่งเร้าให้รีบไป
แม้จะคิดแบบนั้น แต่ถงอวิ๋นก็เร่งฝีเท้าขึ้น
เดินไปเดินมา ถงอวิ๋นก็สังเกตว่าไม่ว่าเธอจะเดินเร็วแค่ไหน เวิ่นหยุนซีก็สามารถตามเธอมาติดๆ ได้เสมอ
นางคนนี้...ไม่เหมือนกับที่เห็นภายนอกเลยจริงๆ ดูอ่อนแอ แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้น!
ถงอวิ๋นยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา แล้วจู่ๆ ก็พุ่งตัววิ่งไปข้างหน้า
ถ้ายังตามได้อีก ก็คงต้องยอมรับแล้วว่า นางเก่งจริงๆ
ผ่านไปสองเค่อ (ประมาณครึ่งชั่วโมง)
ถงอวิ๋นเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก มองเวิ่นหยุนซีที่หอบหายใจแรงและกำลังกุมเอวอยู่ข้างๆ อย่างหมดคำจะพูด
ก็ได้...ข้ายอมรับว่าเมื่อกี้ ข้าประเมินเวิ่นหยุนซีต่ำไปจริงๆ
ดูเหมือนนางจะเป็นคนผิวขาว หน้าตาสวยงาม และไม่มีแรง แต่ที่ไหนได้ วิ่งแข่งกับข้าแล้ว กลับสูสีแทบจะไม่ต่างกันเลย
ถ้าฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก บางทีเธออาจจะเป็นคู่ต่อสู้ที่หายากสำหรับถงอวิ๋นก็ได้
คลินิกอาสา รักษาโรคฟรี ถูกจัดขึ้นที่ริมทะเลสาบที่เต็มไปด้วยดอกไม้ป่า
ที่นั่นมีศาลาที่ถูกปกคลุมไปด้วยดอกไม้เลื้อยสีขาว และศาลานั้นยังเชื่อมต่อกับระเบียงยาวที่ปูด้วยใบตาล เป็นสถานที่ที่ชาวเผ่าสุ่ยอีชื่นชอบมานั่งพักผ่อน
การที่สองคนวิ่งมาถึงนั้นเสียงดังมาก จนคนที่ต่อแถวอยู่สังเกตเห็น
“ท่านหมอเวิ่นมาแล้ว!”
แถวที่มีคนมากกว่าสามร้อยคน รีบเปิดทางให้เวิ่นหยุนซีกับถงอวิ๋น
เมื่อเวิ่นหยุนซีเข้าไปในศาลา ฉินอวี้กำลังจับชีพจรให้คนไข้ สีหน้าเคร่งขรึม ขมวดคิ้วเข้าหากัน เหมือนกำลังเจอปัญหาอะไรบางอย่าง
สักพักหนึ่ง ฉินอวี้ก็หยิบแผ่นไม้ไผ่จากบนโต๊ะยื่นให้คนไข้ "เจ้าไปนั่งรอข้างๆ ก่อน อาจารย์ของข้าจะตรวจให้"
ก่อนที่จะเรียกคนไข้รายต่อไป ฉินอวี้ลุกขึ้นเตรียมจะลุกจากเก้าอี้ แต่เวิ่นหยุนซีกดเขาให้นั่งลงเหมือนเดิม
“เจ้าตรวจต่อไป ข้าจะดูอยู่ข้างๆ”
ฉินอวี้พยักหน้าอย่างสงบ แล้วนั่งลงไปใหม่ เรียกคนไข้คนต่อไป
แม้ว่าเวิ่นหยุนซีจะยืนมองอยู่ข้างๆ ฉินอวี้ก็ไม่แสดงอาการตื่นเต้นหรือกังวลเลย เธอตรวจคนไข้ด้วยความละเอียด โดยใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อ (ประมาณ 15 นาที) ก็สามารถตรวจไปแล้วถึง 3 คน
ไม่ใช่เพราะเธอเก่งกาจด้านการแพทย์ แต่เพราะเธอเลือกคนไข้
โรคหนักๆ ก็นัดหมายตรวจใหม่ ส่วนโรคยากๆ ก็ส่งให้เวิ่นหยุนซีไปดู เธอรับแต่โรคหวัดธรรมดาหรือการดูแลบาดแผลที่ไม่ซับซ้อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกที่ปวดท้อง ปวดกระเพาะ หรือนอนไม่หลับ เธอแค่ให้ยาสมุนไพรไปต้มกินเท่านั้นเอง ไม่เสียเวลามาก
เสียงระบบเทพปรุงยาในหัวของเวิ่นหยุนซีดังขึ้น ทำให้เธอยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
คะแนนเพิ่มขึ้นอีก 1.5 แต้ม
ที่แท้ ระบบเทพปรุงยาก็สามารถเพิ่มแต้มได้แบบนี้จริง ๆ
ครั้งนี้เธอคงจะรวยแน่ๆ!
เพียงแค่ฉินอวี้คนเดียวก็ช่วยให้เธอได้คะแนนมาหลายสิบแต้ม ถ้ามีศิษย์สิบคนล่ะ? ร้อยคนล่ะ?
โชคดีที่เธอได้ร่วมมือกับเผ่าสุ่ยอี ตั้งโรงงานทำน้ำตาลไว้แล้ว
หากทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น เธอจะใช้เงินส่วนนี้สร้างโรงเรียนแพทย์ แล้วสร้างโรงพยาบาลเพิ่มอีก
คิดดูว่าจะได้เงินเท่าไร? ได้คะแนนเพิ่มอีกแค่ไหน?
เวิ่นหยุนซีสูดน้ำลายเข้าไปแล้วรีบหยุดความคิด ก่อนที่เธอจะหัวเราะออกมาอีก
เมื่อสังเกตเห็นสายตาของถงอวิ๋นที่มองมา เวิ่นหยุนซีก็ยิ้มแล้วขยิบตาให้เธอ
"อาอวิ๋น เจ้าอยากเรียนหมอไหม? ข้าไม่เก็บค่าเล่าเรียน ขอแค่เรียกข้าว่า อาจารย์ ก็พอ"
ถงอวิ๋นหันหน้ากลับทันที ตอบอย่างแข็งกระด้างว่า "ข้าไม่เรียน" แล้วรีบวิ่งหนีไปไกล
ให้ข้าเรียกเวิ่นหยุนซีว่าอาจารย์? ไม่มีทาง!
เวิ่นหยุนซียิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เธอแค่หยอกถงอวิ๋นเล่นเท่านั้น
ถ้าจะรับศิษย์จริงๆ มีเด็กสาวน่ารักๆ มากมายให้เลือกอีกตั้งเยอะ จะไปเลือกคนดื้อรั้นแบบนี้มาทำไมให้ปวดหัวทุกวัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น สายตาของเวิ่นหยุนซีก็เริ่มมองไปรอบ ๆ เธอใช้เวลาสำรวจเด็กสาวในฝูงชนอยู่สักพัก
และพวกเขาดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ดีเลยทีเดียว
เย็นวันนั้น ข่าวลือก็แพร่กระจายไปในเมืองของเผ่าสุ่ยอี
จากคนหนึ่งสู่สิบ จากสิบสู่ร้อย ข่าวนั้นถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว โดยมีบ้านของถงอวิ๋นเป็นจุดเริ่มต้น
"ข่าวดี! ข่าวดีมาก ท่านหมอเวิ่นจะรับลูกศิษย์ในเผ่าสุ่ยอีแล้ว!"
"เป็นไปได้ยังไงล่ะ ไม่ใช่ว่าท่านหมอเวิ่นมีศิษย์อยู่แล้วหรอกเหรอ?"
"จริงแท้แน่นอน ท่านหมอเวิ่น เอ่ยออกเองกับปากเลย แล้วยังบอกว่าจะรับแต่เด็กผู้หญิงอายุ 13 ปีขึ้นไปเท่านั้นด้วย"
"โอย ลูกสาวข้าเพิ่งจะอายุ 13 พอดี ข้าต้องรีบพานางไปเดี๋ยวนี้เลย"
คนที่เล่าข่าวรีบห้ามเธอคนนั้น "อย่าเพิ่งรีบร้อนไป พรุ่งนี้ช่วงสายๆ ที่ลานประลองจึงจะเริ่มเปิดรับสมัคร ไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์"
"จะไม่รีบได้ยังไงล่ะ ข้ายอมไปนอนรอทั้งคืน ดีกว่าปล่อยให้ลูกสาวข้าไปรอสมัครอยู่ท้ายแถว จนเสียโอกาส"
เธอคนนั้นรีบวิ่งกลับบ้านไปทันที
และยังมีอีกหลายคนที่คิดเหมือนเธอ
ถ้าบ้านไหนที่มีลูกสาวที่อายุพอเหมาะ ต่างพากันยกครอบครัวไปยังลานประลอง เพราะกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมการคัดเลือก
เช้าวันรุ่งขึ้น
เวิ่นหยุนซีถูกเสียงดังในลานบ้านปลุกให้ตื่น เมื่อเธอออกมาพร้อมกับขยี้ตา ก็เห็นว่ามีคนสี่คนกำลังฝึกวรยุทธ์กันอยู่
พี่น้องบ้านถง ถือกระบองยาวที่หมุนไปมาอย่างคล่องแคล่วเหมือนมังกร
แม่ของถงอวิ๋น ใช้ดาบคู่ หมุนไปมาอย่างดุดัน
ฉินอวี้ก็ฝึกมวยด้วยหมัดอันทรงพลัง
เวิ่นหยุนซีตื่นเต็มตาทันที รู้สึกเหมือนกับโดนบีบคั้น จากการแข่งขันของยุคปัจจุบัน
เพื่อไม่ให้ดูแปลกแยกจนเกินไป เธอยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มขยับร่างกายบ้าง
ยกแขน เหยียดขา บิดเอว ส่ายสะโพก
เวิ่นหยุนซีหยิบความมั่นใจ ที่เคยเป็นผู้นำในการออกกำลังกายหน้าแถว ตอนสมัยที่เธออยู่ที่โรงเรียนออกมาใช้
เธอเริ่มทำท่าออกกำลังกายตามจังหวะ
"หนึ่งสองสามสี่ สองสองสามสี่ สามสองสามสี่..."
คนทั้งสี่ ในลานบ้านต่างเงียบกันไป
ในใจพวกเขาคิดว่า เวิ่นหยุนซีมีสติดีอยู่หรือเปล่า?
ถงอวิ๋นที่รู้สึกรำคาญ จึงหยุดการฝึกทันที แล้วดึงน้องสาวเดินเข้าไปในหลังบ้าน
แม่ของถงอวิ๋น ก็เอามือปิดปากกลั้นหัวเราะ กลัวว่าเสียงหัวเราะของเธอจะทำให้แขกไม่พอใจ จึงรีบเดินหนีเข้าครัวไป
ฉินอวี้แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น และฝึกมวยจนครบกระบวนท่า ก่อนจะวิ่งกลับเข้าห้องไปล้างหน้าแปรงฟัน เธอคิดในใจว่าอาจารย์ของเธอดีทุกอย่าง ยกเว้นมีปัญหาทางสมองบ้างเป็นบางครั้ง!!
หลังอาหารเช้า ทั้งสี่คนก็พากันเดินไปที่ลานประลอง
เพื่อแสดงความจริงใจ เวิ่นหยุนซีถึงกับมาเร็วก่อนกำหนดครึ่งชั่วโมง
เธอคิดว่าจะต้องรอ แต่กลับกลายเป็นว่า คนที่ทำให้ต้องรอ คือเธอเอง
เมื่อมองไปยังลานประลองที่กว้างใหญ่ ก็พบว่ามีคนยืนอยู่เป็นหมื่นคน บรรยากาศคึกคักมาก
เวิ่นหยุนซีรู้สึกใจหายวาบ
หรือว่าทั้งหมดนี้จะมาเข้าร่วมการคัดเลือก?
ถ้าคนเยอะขนาดนี้ เธอจะต้องทดสอบไปถึงเมื่อไร?
ถงอวิ๋นหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของเวิ่นหยุนซี
เธอหัวเราะออกมาอย่างดัง แล้วพูดว่า "กลัวอะไร อีกห้าวันก็ถึงเทศกาลหมู่เซี่ยที่จัดทุกสามปีแล้ว พวกเขามาฝึกวรยุทธ์กันต่างหาก"
เมื่อได้ยินดังนั้น เวิ่นหยุนซีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วมองไปรอบ ๆ อย่างละเอียด
จริง ๆ พวกเขามาฝึกกันทั้งนั้น
มีผู้สูงวัยที่ค่อยๆ ฝึกท่าทางช้าๆ
มีเด็กหนุ่มที่ถือกระบองยาวฝึกต่อสู้กัน
และก็มีเด็กเล็กที่เล่นมวยปล้ำในบ่อทราย
ส่วนผู้เข้าร่วมการคัดเลือกทั้งหมดก็มารวมตัวกันอยู่ที่ฝั่งขวาของลานประลอง กำลังต่อแถวกันอย่างเป็นระเบียบ
แม้ว่าจะมีผู้คนนับพัน แต่ดูเหมือนว่าหลายคนที่มานั้น จะเป็นผู้ปกครองที่พาลูกๆมารอสมัคร ร่วมการคัดเลือก
"หยุดก่อน!"
ขณะที่เวิ่นหยุนซีเตรียมจะเดินไปทางนั้น ก็มีคนกลุ่มหนึ่ง เข้ามาขวางเธอเอาไว้
…โปรดติดตามตอนต่อไป…
หากพบคำที่พิมพ์ผิด แจ้งได้เลยนะ