ตอนที่ 21 ข้าเจ็ด เจ้าสาม
ตอนที่ 21 ข้าเจ็ด เจ้าสาม
เมื่อเวิ่นหยุนซีตื่นขึ้นมา เธอพบว่าตัวเองอยู่ในลานบ้านของตระกูลถง เมื่อได้ยินว่าหัวหน้าตระกูลถงเป็นลมหมดสติไป เธอไม่รอให้ถงอวิ๋นร้องขอ แล้วรีบใช้เข็มเงินช่วยรักษาทันที
เวิ่นหยุนซีตรวจชีพจรอย่างละเอียดและจ่ายยาตามอาการ
“เขาแค่เป็นโรคข้ออักเสบจากความชื้น แต่เพราะได้รับยาหงซ่านลู่ซึ่งเป็นยารุนแรง ทำให้พิษตกค้างในตับและปอด จนทำให้เขาไอเป็นเลือดและอ่อนเพลีย การรักษาช้าไปหน่อย ต้องดื่มยาอีกหนึ่งเดือนเพื่อค่อย ๆ ฟื้นฟู”
หงซ่านลู่เป็นสมุนไพรจริง แต่ไม่ควรใช้แบบนี้ หมอเถื่อนทำให้คนเดือดร้อน
โรคอะไรก็รักษาด้วยวิธีใช้พิษสู้พิษแบบนี้ ถ้าไม่โง่ ก็ชั่ว!
ไม่แปลกใจเลยที่ตอนบอกว่าตัวเองเป็นหมอพเนจร ถงอวิ๋นถึงได้มีปฏิกิริยาต่อต้านรุนแรงขนาดนั้น ถ้าเป็นเธอเองก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน
ตอนที่ฉินอวี้มาถึง เวิ่นหยุนซีก็ตรวจคนไข้เสร็จแล้ว และกำลังนั่งอยู่ในลานบ้าน มองดูน้องสาวของถงอวิ๋นฝึกวิชา
เด็กสาวอายุประมาณ 4 - 5 ขวบ ทรงผมไม่เหมือนเด็กคนอื่นที่ชอบมัดผมจุก ผมดำเงาของเธอมัดเป็นหางม้าสูง ท่าทางทุกการเคลื่อนไหวคล่องแคล่วและปราดเปรียว
เหล่าผู้คนจากเผ่าสุ่ยอีที่รอรับการรักษายืนอยู่หน้าประตู จ้องมองเวิ่นหยุนซีด้วยความคาดหวัง แต่ไม่มีใครกล้าเร่งรัดแม้แต่น้อย
เวิ่นหยุนซีตั้งใจว่าจะออกตรวจคนไข้ฟรีอีกวัน แต่เมื่อรักษาหัวหน้าตระกูลถงไปแล้ว เธอคิดว่าควรจะใช้โอกาสนี้ เจรจาธุรกิจสำคัญเสียก่อน
“อาจารย์ เมื่อไหร่เราจะเริ่มออกตรวจคนไข้?”
ฉินอวี้ที่ได้ฝึกฝนจริงจังเมื่อวานนี้ เริ่มอดใจรอไม่ไหว ตอนที่เวิ่นหยุนซีสอนเขา เขาทำได้แค่จินตนาการ แต่พอได้มาลองรักษาคนไข้จริง มันเข้าใจได้ง่ายมากขึ้น
เวิ่นหยุนซีหันมายิ้มให้ฉินอวี้ และคิดว่า นี่แหละคือวิธีที่ดีที่สุด
“วันนี้ให้เจ้าออกตรวจเอง ถ้าเจออาการที่ไม่แน่ใจ ให้จดไว้ พรุ่งนี้ข้าจะช่วยเจ้า”
ฉินอวี้ได้ยินก็ยิ้มกว้าง พยักหน้ารับอย่างดีใจ การฝึกหนักตั้งแต่เด็กทำให้เขารู้ว่า นี่คือวิธีที่ทำให้พัฒนาตัวเองได้เร็วที่สุด
เมื่อผู้คนรู้ว่าเวิ่นหยุนซีไม่ออกตรวจ พวกเขาก็ผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยังเดินตามหยานซาน ไปยังคลินิกอาสาตรวจโรคฟรี
หนึ่งชั่วยามต่อมา ภายในห้องประชุมของเผ่าสุ่ยอี
หัวหน้าตระกูลถง นั่งพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางอ่อนแรง ส่วนห้าผู้อาวุโสของเผ่าสุ่ยอีนั่งเรียงตามลำดับ เวิ่นหยุนซีนั่งตรงข้ามกับถงจา ซึ่งเป็นที่สำหรับแขกผู้มีเกียรติของเผ่า
เธอหันไปมองถงอวิ๋นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างแปลกใจ โดยปกติการประชุมเผ่าจะไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าร่วม แต่ถงอวิ๋นกลับนั่งตรงนั้นอย่างไม่แยแสต่อสายตาของพ่อที่มองอย่างตำหนิและความสงสัยจากคนรอบข้าง
เวิ่นหยุนซีกวาดตามองผู้อาวุโสทั้งห้า และต้องแปลกใจเมื่อพบว่ามีสตรีสองคนนั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า
ไม่แบ่งแยกเพศ ใครมีความสามารถก็อยู่ในตำแหน่งสำคัญได้ เธออดไม่ได้ที่จะประทับใจในเผ่าสุ่ยอีมากขึ้นไปอีก
เวิ่นหยุนซีไม่พูดมาก เธอหยิบใบไม้ที่ห่ออะไรบางอย่างออกมาจากตะกร้า แล้วยื่นให้ถงอวิ๋นลองชิม
ถงอวิ๋นหยิบขึ้นมาชิมอย่างไม่ลังเล ทันทีที่เข้าปาก ดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง “นี่คือหินน้ำผึ้งใช่ไหม?!”
ก่อนหน้านี้เคยมีคนมาขายหินน้ำผึ้งในเมืองเผ่าสุ่ยอี ถงอวิ๋นเคยใช้เงินไม่น้อยเพื่อซื้อ ได้มาแค่สองก้อนเท่านั้น
เวิ่นหยุนซีเพียงยิ้มและพยักหน้า เธอมองถงอวิ๋นที่ส่งหินน้ำผึ้งให้ผู้อาวุโสหนวดสั้นคนหนึ่ง
เขาดูเหมือนจะรู้จัก แต่ไม่ค่อยชอบนัก แค่ดมแล้วก็ส่งต่อไปยังคนถัดไป เมื่อใบไม้ที่ห่อหินน้ำผึ้งถูกส่งกลับมาที่โต๊ะของเวิ่นหยุนซี มีคนกินไปเพียงสามก้อน ดูเหมือนว่าชาวเผ่าสุ่ยอีจะไม่ค่อยชอบรสชาติของหินน้ำผึ้งเท่าไหร่
ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ ในแคว้นหลานโจวมีผลไม้มากมาย หากอยากกินของหวานก็เพียงแค่เด็ดจากต้นมากิน ไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อหินน้ำผึ้ง ชาวเผ่าสุ่ยอีแค่ลองชิมเพราะความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น
ถงจาที่รู้สึกติดหนี้บุญคุณที่เวิ่นหยุนซีช่วยชีวิต จึงเรียกผู้อาวุโสมาปรึกษากันสักครู่
“ท่านหมอเวิ่น หากท่านต้องการขายหินน้ำผึ้งในเผ่า เราอาจจะช่วยซื้อได้เพียงเล็กน้อย”
เผ่าสุ่ยอีไม่ได้ร่ำรวย และรสชาติของหินน้ำผึ้งก็ไม่ได้ดีกว่าผลไม้ ดังนั้นจะให้พวกเขาเสียเงินมากมายก็คงไม่ไหว
เวิ่นหยุนซีพยักหน้า ก่อนหยิบอ้อยที่เปลือกสีม่วงออกมาจากตะกร้า
"อ๊ะ นี่มันต้นม่วงนี่นา! เจ้าชอบกินหรือ ข้างหลังบ้านข้ามีเต็มเลย" ถงอวิ๋นพูดอย่างไม่คิดมาก
"ที่บ้านข้าเรียกมันว่า อ้อย สามารถใช้ทำหินน้ำผึ้งได้"
แต่คนในห้องประชุมดูเหมือนไม่สนใจนัก บางคนถึงกับเงยหน้ามองดูแสงแดดนอกหน้าต่าง ทำท่าทางเหมือนอยากจะออกไปจากห้อง เวิ่นหยุนซีจึงกระพริบตา งงเล็กน้อย ทำไมไม่มีใครได้กลิ่นเงินเลยหรือ?
เธอเคลียร์ลำคอก่อนพูดต่อ "คนในแคว้นจงหยวนชอบของหวาน พ่อค้าร่ำรวยหลายคนจึงมาสร้างสวนอ้อยในแคว้นหลานโจวข้างๆ เพื่อผลิตน้ำตาล หรือที่พวกเจ้าเรียกมันว่า หินน้ำผึ้ง แล้วส่งขายไปยังแคว้นจงหยวน ร่ำรวยกันไปเป็นเท่าตัว"
หญิงที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดกลืนหินน้ำผึ้งในปากก่อนจะถามว่า “ท่านหมอเวิ่น อยากให้พวกเราช่วยทำหินน้ำผึ้งหรือ?”
เวิ่นหยุนซีพยักหน้าแล้วพูดตรงประเด็น "ข้าจะสอนวิธีการทำและวิธีการขาย พวกเจ้ารับหน้าที่ปลูกอ้อยและผลิตหินน้ำผึ้ง แล้วกำไรแบ่งกันเจ็ดต่อสาม"
เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสเริ่มคุยกันเบาๆ เวิ่นหยุนซีก็ไม่สนใจที่จะฟัง แต่หันไปคุยกับถงอวิ๋นแทน
"พวกเจ้ามักจะค้าขายอะไรเป็นหลัก?"
"ทุกวันที่ 15 จะไปตลาดใหม่ ขายธนู ขวาน มีด เอาเงินไปแลกเปลี่ยนสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน"
ส่วนใหญ่จะเป็นพวกของใช้ในชีวิตประจำวัน แคว้นหลานโจวเมื่อก่อนยังไม่มีเงินตราใช้ ต่อมาเมื่อรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโย่วเชา จึงเริ่มมีการใช้เงินมากขึ้น แต่ในตลาดตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยมีการใช้เงินเท่าไหร่ อาวุธและหนังสัตว์ยังคงเป็นสินค้าที่มีค่าที่สุดในแคว้นหลานโจว
เวิ่นหยุนซีถามต่อ "แล้วในเผ่าของเจ้า มีตลาดหรือไม่?"
ถงอวิ๋นส่ายหน้า "ชาวเผ่ามักจะให้กันฟรีๆ"
เวิ่นหยุนซี “…”
เวิ่นหยุนซีคิดว่าชาวเผ่าสุ่ยอีคงเป็นแค่มือใหม่ในเรื่องการค้า แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขายังไม่ก้าวเข้าโรงเรียนอนุบาลด้วยซ้ำ ขณะที่เธอกำลังปรับแผนการในใจ ผู้อาวุโสที่พูดก่อนหน้านี้ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ความจริงเราสามารถร่วมมือกันได้ แต่ท่านหมอเวิ่นมีบุญคุณกับเผ่าสุ่ยอีของเรา การแบ่งให้ท่านสามส่วนดูจะน้อยเกินไป เราอาจจะยอมให้เพิ่มอีกหนึ่งส่วน”
เวิ่นหยุนซีส่ายหน้า ก่อนชี้ไปที่ตัวเอง “ข้าขอเจ็ดส่วน” แล้วชี้ไปที่พวกเขา “พวกเจ้าสามส่วน”
“เป็นไปไม่ได้ น้อยเกินไป!” ผู้อาวุโสหนวดดำเข้มลุกขึ้นปฏิเสธเสียงดัง
หินน้ำผึ้งในแคว้นหลานโจวแทบไม่มีคนซื้อ หากต้องขายไปยังแคว้นจงหยวน ก็ยังต้องผ่านการปิดกั้นของเผ่าจันหยูซู ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่เคยติดต่อกับคนนอกแคว้นหลานโจว การเปิดเส้นทางการขายจะทำได้อย่างไร?
แม้จะเปิดเส้นทางได้ แต่ราคาของหินน้ำผึ้งก็ไม่สูง กำไรไม่มากนัก เผ่าสุ่ยอีต้องปลูกอ้อยและผลิตน้ำตาล แต่กลับได้เพียงสามส่วน ยังไงก็ไม่คุ้ม
“ผู้อาวุโสอย่าเพิ่งด่วนสรุป ข้ามีอีกสิ่งหนึ่งให้ดู พวกเจ้าจะได้รู้ว่าตำรับของข้านั้นมีค่าพอหรือไม่”
เวิ่นหยุนซีหยิบห่อใบไม้อีกอันออกมาจากตะกร้า เปิดออกต่อหน้าทุกคน ข้างในมีโถดินเล็กๆ หลายโถ ปิดปากด้วยใบไผ่และโคลน ดูเหมือนของข้างในจะมีค่ามาก
เวิ่นหยุนซีแจกจ่ายโถให้ทุกคน จากนั้นก็นั่งรออย่างใจเย็น
ถงอวิ๋นเคาะโคลนปิดปากโถออกอย่างระมัดระวัง ข้างในเป็นผงเม็ดละเอียดที่มีกลิ่นหอมหวานคล้ายหินน้ำผึ้ง
ถงอวิ๋นหยิบผงขึ้นมาดูใกล้ๆ เม็ดของมันแข็ง สีใสราวกับอัญมณี แสงสะท้อนวิบวับ รสชาติหวานคล้ายกับหินน้ำผึ้ง
เมื่อเห็นถงอวิ๋นชอบ เวิ่นหยุนซีก็ให้เพิ่มอีกสองโถ เธอไม่ได้ลำเอียง ยังแบ่งโถที่เหลืออีกสี่โถให้กับผู้อาวุโสหญิงทั้งสองคนที่นั่งอยู่
“นี่เรียกว่าน้ำตาลหิมะ ซึ่งทำมาจากอ้อย หรือที่พวกเจ้าเรียกมันว่าต้นม่วงเช่นกัน แต่ตำรับนี้ยากที่จะลอกเลียนแบบ พวกเจ้าไปเอากลับไปหารือกันต่อเถิด”
ไม่นานการเจรจาก็สำเร็จ เผ่าสุ่ยอีแม้จะไม่ค่อยชำนาญด้านการค้า แต่ผู้อาวุโสด้านการค้า อย่างหัวหน้าผู้อาวุโสฮัว กลับมีความรู้ดีพอ
เธอรู้ว่าน้ำตาลหิมะมีมูลค่าและทำกำไรได้มาก เวิ่นหยุนซีจะไปทำธุรกิจกับใครก็คงได้ส่วนแบ่งใหญ่ การที่เผ่าสุ่ยอีได้ส่วนแบ่งสามส่วนก็ถือว่าได้กำไรอย่างมากแล้ว
เมื่อการเจรจาจบลง เวิ่นหยุนซีเปิดระบบเทพปรุงยาขึ้นมาเช็ค เธอคิดว่าตาฝาดหรือเปล่า? ทำไมแต้มที่เหลือถึงเหลือแค่ 267.5 แต้ม?
…โปรดติดตามตอนต่อไป…
หากพบคำที่พิมพ์ผิด แจ้งได้เลยนะ