ตอนที่ 10 ศิษย์พี่ฉู่จะหนีรอดจากคนของนิกายเสิ้นกังหรือไม่
ตอนที่ 10 ศิษย์พี่ฉู่จะหนีรอดจากคนของนิกายเสิ้นกังหรือไม่
อีกด้านหนึ่ง
ที่ลานกว้างหน้าคฤหาสน์ตระกูลอู๋
ผู้บ่มเพาะร่างอ้วนท้วมกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ฝึกฝนเคล็ดลับวิชาอยู่เงียบๆ
มีบาดแผลลึกที่แขนข้างซ้ายของเขา เนื่องจากว่ายังมีพลังดาบหลงเหลืออยู่ เขาจึงรู้สึกเจ็บปวด และไม่สามารถกำจัดความเจ็บปวดนี้ไปได้
นอกจากนี้ สีหน้าของเขายังแสดงความเจ็บปวดออกมาเป็นครั้งคราว
เขาไม่ใช่ใครอื่น นอกจากศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพบุรุษลำดับที่สาม ผู้บ่มเพาะในช่วงสร้างรากฐานของนิกายอู๋จี๋...หลิวเจิ้งสง
ทว่าในตอนนั้น เขาก็ลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน ดวงตาของเขาดูเย็นชาขึ้นมาทันที
“คนจากนิกายเสินกังกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้อย่างนั้นหรือ?”
หลิวเจิ้งสงหยิบเหรียญออกมา ฉีดพลังจิตวิญญาณเข้าไปในนั้น และตะโกนเสียงต่ำทันที “สาวกของนิกานอู๋จี๋ มาหาข้าเร็วเข้า”
รหัสลับของนิกายอู๋จี๋ ไม่เพียงแต่มีแค่สัญลักษณ์เฉพาะเท่านั้น แต่ยังมีการสื่อสารทางจิตอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดในการสื่อสารเช่นนี้อยู่ นั่นก็คือหากผู้สื่อสารอยู่ห่างเกินหนึ่งพันลี้ จะไม่สามารถส่งสัญญาณได้
ไม่นาน เฉินเกอ เว่ยหัว และศิษย์คนอื่นๆ ก็รีบวิ่งเข้ามาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้
ในลานเล็กๆ มีผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณมากกว่าสิบคนมารวมตัวกัน
หลิวเจิ้งสงได้พูดออกมาเบาๆ “มีผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานสองคนจากนิกายเสินกังกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ คาดการณ์ว่าพวกมันอาจจะตั้งใจมาหาข้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็รู้สึกตกใจ
หลิวเจิ้งสงจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มลึก “สวีหมิง,ไป๋เฟิง ในบรรดาศิษย์ทั้งหมดที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณที่มีอยู่ตอนนี้ พวกเจ้าทั้งสองแข็งแกร่งที่สุด ข้าอยากให้พวกเจ้าสองคน แบ่งออกเป็นสองทีม และนำศิษย์ของเราที่เหลือหลบหนีแยกกันไป”
“ส่วนข้าจะอยู่ที่นี่ เพื่อถ่วงเวลาให้พวกเจ้าได้หลบหนีออกไปก่อน”
เหล่าสาวกก็รู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องยอมรับคำสั่งออกมา “ขอรับ!”
เฉินเกอและเว่ยหัวได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมทีมของสวีหมิง
ขณะที่คนสองสามคนกำลังเก็บของ เฉินเกอก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมา และหัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้น “ศิษย์พี่ฉู่ ได้มาขอซื้อมหาค่ายกลแปลงโลหิตและเพิ่งกลับออกไป เขาคงจะไม่ถูกผู้บ่มเพาะของนิกายเสินกังจับตัวไปหรอกใช่ไหม”
เว่ยหัวถอนหายใจเบาๆ เมื่อได้ยินเช่นนี้ “พูดยาก ข้าหวังว่าเขาจะโชคดีและสามารถหลีกเลี่ยงผู้บ่มเพาะของนิกายเสินกังได้”
ทว่าสวีหมิงกลับเยาะเย้ยออกมา “เพราะเขามัวกังวลว่ามีคนมากมาย และจะกลายเป็นเป้าหมายใหญ่จึงไม่เต็มใจที่จะติดตามอาจารย์อาหลิวไปเองไม่ใช่หรือ ? พวกเจ้าจะไปกังวลกับเขาทำไม?”
“ต่อให้เขาตายไป แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเรา?”
เว่ยหัวขมวดคิ้ว “สวีหมิง แม้ว่าเราจะเป็นผู้บำเพ็ญมาร แต่นิกายของเราก็ถูกทำลายไปแล้ว ทุกคนตอนนี้ก็เหมือนตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเดียวกัน พวกเราควรจะอยู่ในเรือลำเดียวกัน อคติของเจ้าที่มีต่อฉู่เสวียนมันใหญ่โตมาก เจ้ายังต้องการเหยียบย่ำเขาในเวลานี้อีกหรือ?”
สวีหมิงขมวดคิ้วอย่างเย็นชา “เรื่องของข้ากับเขา ไม่ใช่หน้าที่ที่เจ้าจะมาแทรกแซง”
“เจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าอาจารย์อาหลิวเพิ่งพูดอะไร? ข้าเป็นผู้นำของทีมนี้!”
เว่ยหัวกัดฟันและต้องหุบปากไปทันที
ตอนที่นิกายอู๋จี๋ยังไม่ถูกทำลายลง สวีหมิงมักจะแข่งขันกับฉู่เสวียนเพื่อชิงอันดับที่สิบของศิษย์ฝ่ายในของนิกายอู๋จี๋เสมอมา
เนื่องจากศิษย์ทั้ง 10 อันดับแรกของฝ่ายในนั้นมีสิทธิ์ได้รับความโปรดปรานจากผู้อาวุโส และอาจได้รับการยอมรับว่าเป็นสาวกโดยตรง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าระดับของสวีหมิงจะสูงกว่าฉู่เสวียนเล็กน้อย แต่ความแข็งแกร่งของเขากลับสู้ฉู่เสวียนไม่ได้
เขาพ่ายแพ้ต่อฉู่เสวียนหลายครั้ง เขาจึงอยู่ในอันดับที่11 ของฝ่ายในนิกายอู๋จี๋ และเป็นรองฉู่เสวียนเสมอมา
เพราะเหตุนี้เองที่สวีหมิงถึงได้เกลียดชังฉู่เสวียนมาโดยตลอด
ดังนั้นเฉินเกอ เว่ยหัวและศิษย์คนอื่นๆ ก็รู้เรื่องนี้โดยธรรมชาติ
“ไป่เฟิง เจ้าพาพวกเขาออกประตูทางทิศตะวันออก และมุ่งหน้าไปยังภูเขาลั่วเฟิง”
“พวกเราจะเลี่ยงประตูฝั่งตะวันตก จากนั้นก็ข้ามทะเลสาบแดง และไปซ่อนตัวอยู่ที่ภูเขาไป๋หมาง”
สวีหมิงสั่งงการออกมาอย่างใจเย็น
ผู้บำเพ็ญสายมารที่สามารถมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ เชื่อว่าไม่มีใครโง่
ทันทีที่พวกเขามาถึงคฤหาสน์ตระกูลอู๋ เขาก็คาดเดาว่าไม่ช้าก็เร็ว ผู้บำเพ็ญสายธรรมเหล่านั้นจะต้องตามมาถึงประตูเป็นแน่
จึงได้เตรียมแผนการหลบหนีไว้ตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว
ภูเขาลั่วเฟิงและภูเขาไป๋หมางเป็นหนึ่งในภูเขาลึกและป่าเก่าแก่ที่สุดในเมืองชิงเหอ
แม้ว่าผู้บ่มเพาะของนิกายเสินกังจะใช้กำลังคนจำนวนมากในการค้นหาพวกเขา แต่การซ่อนตัวอยู่ในภูเขาทั้งสองแห่งนี้ก็ไม่สามารถพบพวกเขาได้ภายในสองถึงสามเดือน
แต่หากว่านิกายเสินกังให้ผู้บ่มเพาะช่วงแก่นปราณทองคำใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตามหาพวกเขา ก็จะสามารถมองเห็นสถานการณ์ทั้งหมดในเทือกเขานี้ได้
ไม่มีใครที่ซ่อนสามารถตัวจากสายตาของพวกเขาได้
ในกรณีนั้น พวกเขาก็ทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้บำเพ็ญช่วงแก่นปราณทองคำจะลงมือกับผู้เยาว์ที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณอย่างพวกเขาเป็นการส่วนตัว
ประการแรก คือ กลัวที่จะถูกดูหมิ่นว่ารังแกผู้น้อย
มหาอำนาจอย่างผู้บำเพ็ญช่วงแก่นปราณทองคำกลับเคลื่อนไหวต่อต้านผู้เยาว์ที่อยู่ในช่วยกลั่นลมปราณ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ประการที่สอง ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ เกิดขึ้น
แต่หากมีผู้บำเพ็ญสายมารช่วงแก่นปราณทองคำที่หลบหนีเข้าไปในภูเขาลึก ผู้บำเพ็ญสายธรรมช่วงแก่นปราณทองคำเหล่านั้นย่อมต้องออกค้นหาพวกเขาโดยเร็วที่สุด
“ไปกันเถอะ”
สวีหมิงโบกมือใหญ่ของเขา
เฉินเกอ เว่ยหัว และอีกสี่คนก็ได้ตามเขาออกมาทันที
พวกเขาเปลี่ยนการแต่งกายมาสวมเสื้อผ้าลำลองโดยตั้งใจ
ไม่นานหลังจากที่เดินออกจากคฤหาสน์ตระกูลอู๋มาแล้ว
ทั้งห้าก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ดังมาจากข้างหลังของพวกเขา
มีเสียงดังก้องอยู่ในท้องฟ้า
เห็นได้ชัดว่าหลิวเจิ้งสงและผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานสองคนของนิกายเสินกังกำลังเริ่มต่อสู้กันแล้ว
การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด
“รีบๆ ออกไปให้เร็วที่สุด อีกเดี๋ยวอาจารย์อาหลิวก็คงจะตามเรามา”
เว่ยหัวรีบกล่าวออกมา
สวีหมิงพยักหน้า
จากนั้นทั้งห้า ก็เริ่มวิ่งออกไปทันที
ทว่าเมื่อพวกเขาออกจากตระกูลอู๋ไปได้ประมาณเจ็ดถึงแปดลี้
สวีหมิงก็หยุดวิ่งกะทันหัน และในเวลาเดียวกันก็ยกมือขึ้นมาส่งสัญญาณให้คนทั้งสี่คนที่อยู่ข้างหลังเขาหยุดเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น?” เฉินเกอตกใจ
ตอนนี้พวกเขาไม่ต่างอะไรจากกระต่ายที่ตื่นตุมแล้ว
สวีหมิงพูดออกมาเบาๆว่า “ตั๊กแตนพิษของข้าเห็นว่ามีศิษย์ของนิกายเสินกังเฝ้าอยู่ที่สี่แยกข้างหน้าข้า ดังนั้นพวกเราจึงต้องเลี่ยงไปทางอื่น”
เขาเลี้ยงแมลงตัวหนึ่งไว้ และเรียกมันว่า ตั๊กแตนพิษ
เมื่อมองดูครั้งแรกก็ดูไม่ต่างจากตั๊กแตนธรรมดาเลย
อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่มีพวกมันนับพันตัว ก็สามารถสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับศัตรูได้
อย่างไรก็ตาม ตั๊กแตนพิษยังใช้เป็นหน่วยสอดแนมได้
ก่อนที่สวีหมิงจะออกเดินทาง เขาก็ได้ปล่อยตั๊กแตนพิษที่เขาเลี้ยงไว้ออกไปสอดแนมก่อน และสังเกตการเคลื่อนไหวทุกอย่างรอบตัวเขา
“ทางไหน” เว่ยหัวถาม
สวีหมิงกัดฟัน “ทางไปสู่ภูเขาไป๋หมางทิศตะวันตก มีศิษย์นิกายเสินกังสามคนเฝ้าอยู่ พวกเราจะต้องไปทางใต้เท่านั้น”
“ทิศใต้?” เฉินเกอและคนอื่นๆ ตกใจขึ้นมาทันใด “นั่นคือประตูหลักของคฤหาสน์ตระกูลอู๋ ซึ่งมันก็เป็นถนน!”
“คงจะมีสาวกของนิกายเสินกังเฝ้าอยู่ที่นั่นเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน!”
สวีหมิงกัดฟัน “ตอนนี้เราทำได้เพียงเดินไปทีละก้าวเท่านั้น ถ้าหากว่าพวกเขาไม่อยู่ที่นั่น เราก็สามารถผ่านที่นั่นไปได้”
“ข้าหวังว่าพวกเขาจะไม่รู้ก็แล้วกัน”
“ตามข้ามา”
สวีหมิงโบกมือและเดินนำออกไป
เฉินเกอ เว่ยหัว และคนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากัน และพวกเขาก็ทำได้เพียงเดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้
หากไม่มีความแข็งแกร่งและไม่มีผู้หนุนหลัง พวกเขาก็ไม่ต่างจากหนูข้ามถนนเท่านั้น
ในตอนนั้น ทั้งห้าคนก็เดินไปข้างหน้าอย่างความระมัดระวัง
ไม่นานก็เดินมาถึงถนนเรียบ
เฉินเกอได้กล่าวออกมาเบาๆว่า “ข้าคาดว่าศิษย์พี่ฉู่น่าจะเดินทางออกมาถึงถนนใหญ่แล้ว แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา”
เว่ยหัวครุ่นคิดสักครู่ “ฉู่เสวียนเชี่ยวชาญในเทคนิคการปลอมตัว เขาอาจถูกสาวกของนิกานเสินกังกักตัวไว้ในฐานะผู้บ่มเพาะธรรมดาก็เป็นได้”
เฉินเกอเองก็เป็นกังวลไม่น้อย “ถ้าเป็นเช่นนั้น เราควรทำอย่างไรดีขอรับ?”
สวีหมิงเยาะเย้ย “เจ้ายังต้องการเปิดเผยตัวตนของตนเองและช่วยชีวิตเขาอยู่อีกหรือ? คิดมากเกินไป! ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด แต่กลับต้องการช่วยหลือคนอื่นอยู่อีก?”
“หากเจ้าต้องการช่วยเหลือผู้อื่น เจ้าก็ต้องช่วยเหลือตนเองให้ได้เสียก่อน!”
“เจ้าคงไม่โง่พอที่จะไม่เข้าใจเรื่องนี้หรอกใช่ไหม?”
เฉินเกอ เว่ยหัวและศิษย์คนอื่นๆ ต่างเงียบไปทันที
"ในที่สุดก็มาถึงแล้ว" ในขณะนี้ เฉินเกอสังเกตเห็นว่าวิสัยทัศน์ข้างหน้าเปิดโล่ง ดังนั้นเขาจึงกระซิบบอกทุกคน
“หยุดพูดก่อน” สวีหมิงตะโกนเตือนขึ้นมา
“เดี๋ยวนะ...ข้าได้กลิ่นเลือด” เว่ยหัวกล่าวออกมาด้วยสีหน้าตกตะลึง
ทันใดนั้นทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปตามๆกัน
ทว่าในตอนนั้นเอง พวกเขาก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นศพสามศพนอนนิ่งอยู่บนพื้นตรงหน้าพวกเขา
เมื่อพิจารณาจากเสื้อผ้า ก็เห็นได้ชัดว่าทั้งสามศพเป็นศิษย์ของนิกายเสิ่นกัง
สองคนหัวขาดออกจากบ่า ตกอยู่คนละทิศละทาง
ดวงตาของเขาโปนออกมา ราวกับว่ารู้สึกประหลาดใจอะไรบางอย่าง