บทที่ 4 เขตห้องวิญญาณพืช 丁
บทที่ 4 เขตห้องวิญญาณพืช 丁(คำว่า "丁" ถูกแปลเป็น "ติ้ง" ซึ่งเป็นหนึ่งในระดับของแปลงวิญญาณที่ใช้ในการเพาะปลูกภายในสำนักชิงซี)
เหอชางโหยวพูดไปพลางหยิบหยก ที่อาวุโสเฉินส่งให้มาก่อนหน้านี้ขึ้นมา
“ไป่เสี่ยวเทียน ห้องเตาไฟ!”
“ชิวอวี้ ห้องวิญญาณอสูร”
“เฉินเต้า ห้องวิญญาณพืช”
……
เหอชางโหยวอ่านชื่อไปทีละคน และทุกครั้งก่อนจะเรียกชื่อก็จะกวาดตามองหยกในมือ ฉู่หนิงเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะดูข้อมูลเกี่ยวกับรากวิญญาณ
จากนั้นแบ่งห้องต่างๆ ตามคุณสมบัติที่ต่างกัน เพราะอีกฝ่ายเคยกล่าวถึงวิชาและเวทมนตร์ที่ใช้ฝึกฝนไม่เหมือนกัน
“ฉู่หนิง ห้องวิญญาณพืช”
ทันใดนั้น ฉู่หนิงได้ยินชื่อของตนเองที่อีกฝ่ายเรียกออกมา
เมื่อได้ยินว่าเป็นห้องวิญญาณพืชจริงๆ ฉู่หนิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ
หลังจากที่เหอชางโหยวแบ่งคนทั้งหมดเสร็จ ฉู่หนิงก็คำนวณคร่าวๆ ในใจ พบว่ามีคนไปห้องวิญญาณพืชมากที่สุด เกือบสามสิบคน รองลงมาคือห้องวิญญาณอสูร
ดูท่าว่าการเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์ยังคงเป็นอุตสาหกรรมหลักของสำนักชิงซี
ขณะนั้นมีคนเดินออกมาจากบ้านหลายคน พาไปยังสถานที่ต่างๆ กันเป็นกลุ่ม
และคนที่พาฉู่หนิงและคนอื่นๆ ไปคือเหอชางโหยวเอง
“คนห้องวิญญาณพืชตามข้ามา” เหอชางโหยวพูดพลางก้าวเดินลงไปยังเชิงเขา
เมื่อเห็นเช่นนี้ ศิษย์ใหม่หลายคนที่เต็มไปด้วยความคาดหวังก็แสดงความผิดหวังออกมา เพราะสำนักตั้งอยู่บนภูเขา การเดินลงไปข้างล่างชัดเจนว่าเป็นการห่างไกลจากแกนกลางของสำนัก
แต่ฉู่หนิงกลับไม่แปลกใจ การทำนาก็ต้องทำที่เชิงเขา เพียงแต่ไม่รู้ว่าการทำนาของเหล่าเซียนนั้นจะแตกต่างจากการทำนาบนโลกอย่างไร
เขาเกิดและเติบโตในชนบท ตอนเด็กเคยดำนา เกี่ยวข้าวอยู่ไม่น้อย เพียงแต่หลังจากที่กลายเป็นพนักงานออฟฟิศแล้วก็ไม่ได้กลับไปทำงานที่บ้านเกิดอีกเลย
เมื่อเดินมาได้สักพัก พวกเขาก็มองเห็นท้องนาอันกว้างใหญ่อยู่ไกลๆ และตรงบริเวณที่ท้องนาติดกับภูเขาก็มีบ้านเล็กๆ ตั้งกระจัดกระจายอยู่บ้าง
“แปลงวิญญาณของสำนักชิงซีเรามีการแบ่งเป็นสี่ระดับคือ甲( เจี่ย), 乙 (อวี่), 丙 (ปิ่ง), 丁 (ติ้ง) ยิ่งมีระดับการฝึกฝนสูงก็จะสามารถเพาะปลูกในแปลงวิญญาณระดับที่สูงกว่าได้ และเพาะปลูกวิญญาณพืชที่ดีกว่า
แปลงวิญญาณระดับเจี่ย (甲) และอวี่ (乙) จะถูกควบคุมโดยศิษย์นอก สำนักใน และแม้แต่ผู้คุมและอาวุโส ส่วนหอศิลป์หลากวิชาของเราจะดูแลแปลงระดับปิ่ง (丙 )และติ้ง(丁) พวกเจ้าเป็นศิษย์ใหม่ ต้องไปช่วยงานที่แปลง ติ้ง (丁) ก่อน”
เหอชางโหยวพูดพลางพาทุกคนเดินต่อไปยังพื้นที่รอบนอกสุดของแปลงวิญญาณ
ที่นั่นมีคนมารวมตัวกันมากมาย ในกลุ่มนี้มีคนหนุ่มน้อย ส่วนใหญ่เป็นชายวัยกลางคน เมื่อเห็นเหอชางโหยวมาถึง ทุกคนก็ทักทายกัน
“ท่านผู้คุมเหอ”
ถ้อยคำที่พูดนั้นเต็มไปด้วยความเคารพ
เหอชางโหยวเพียงพยักหน้าเล็กน้อย นั่นถือเป็นการตอบรับแล้ว
เมื่อฉู่หนิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็คิดขึ้นมา
“ดูท่าว่าโลกแห่งการฝึกตนนี้จะมีการแบ่งชั้นที่ชัดเจนจริงๆ เหอชางโหยวทำตัวเคารพนอบน้อมต่อหน้าอาวุโสเฉิน แต่กลับมีฐานะสูงในกลุ่มศิษย์รับใช้”
พร้อมกันนั้น เขาก็เตือนตัวเองในใจว่า ก่อนที่ตนเองจะมีความแข็งแกร่งมากพอ ควรใช้ชีวิตอย่างถ่อมตัวและระมัดระวังไปก่อน
“นี่คือศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในปีนี้” เสียงของเหอชางโหยวดังขึ้นในตอนนี้
“ตามกฎเก่า ทุกคนเลือกไปคนหนึ่งกลับไปดูแลสอน”
เหอชางโหยวพูดพลางหันกลับไปทางฉู่หนิงและคนอื่นๆ กล่าวว่า:
“ช่วงบ่ายข้าจะจัดให้มีการส่งวิชาฝึกฝนและของใช้มาให้พวกเจ้า
นี่คือศิษย์พี่ของพวกเจ้า พวกเขาจะสอนพวกเจ้าเกี่ยวกับวิชาการเพาะปลูกวิญญาณพืชและเวทมนตร์พื้นฐานที่จำเป็นในเขต ติ้ง (丁)
ทุกครึ่งเดือนจะมีการรวมตัวไปยังห้องสอนถ่ายทอดวิชา เพื่อให้ศิษย์ผู้สอนมาตอบคำถามและข้อสงสัยในการฝึกฝน
สามเดือนต่อจากนี้ พวกเจ้าจะต้องฝึกฝนและเรียนรู้วิชาการเพาะปลูกวิญญาณ หลังจากสามเดือนผ่านไป ผู้ที่ผ่านการทดสอบจะสามารถเพาะปลูกแปลงวิญญาณได้ด้วยตนเอง”
พูดจบ เหอชางโหยวก็เริ่มแบ่งคน และไม่นานก็ถึงคิวของฉู่หนิง
“ฉู่หนิง เจ้าไปกับเฉาตงซิน”
ทันทีที่เหอชางโหยวพูดจบ ชายวัยกลางคนผิวคล้ำ รูปร่างกลางๆ ตัวโค้งเล็กน้อยก็เดินออกมาจากฝูงชน
มองจากภายนอก อายุของเฉาตงซินน่าจะเกือบห้าสิบปี แม้ในกลุ่มศิษย์รับใช้ที่อายุมากกว่าเขาก็ยังถือว่าอายุมาก
ฉู่หนิงเดินไปข้างๆ เขา เรียกด้วยความสุภาพว่า “ศิษย์พี่เฉา”
เฉาตงซินไม่ได้ตอบรับ เพียงแค่มองฉู่หนิงทีหนึ่งนับเป็นการตอบกลับ
ฉู่หนิงคิดว่าอีกฝ่ายไม่ชอบพูด จึงไม่ได้พูดอะไรอีก
หลังจากที่เหอชางโหยวแบ่งคนเสร็จก็ไม่รั้งรอเดินจากไป ในเวลานี้เหล่าศิษย์รับใช้อาวุโสก็พาศิษย์ใหม่แยกย้ายกันไป
เฉาตงซินยังคงไม่พูดอะไร แม้แต่ไม่แสดงท่าทีใดๆ ให้กับฉู่หนิง เพียงแต่หันหลังแล้วเดินจากไป
“ศิษย์พี่คนนี้หรือจะเป็นใบ้?” ฉู่หนิงเดินตามอีกฝ่ายพลางคิดอยู่ในใจ
แต่ไม่นานเขาก็ถูกเสียงพูดคุยของคนอื่นๆ ดึงความสนใจไป
“พวกเราเขตติ้ง (丁) มีคนเป็นร้อยคน พวกเจ้าเป็นศิษย์ใหม่ไม่มาก จึงให้พวกเรามารับหน้าที่นี้”
“คนเขตติ้ง ( 丁 )ส่วนใหญ่จะอยู่ช่วงฝึกตนขั้นแรกหรือขั้นกลาง สูงสุดคือขั้นที่ห้า
ผู้ที่สูงกว่าขั้นที่หกและมีหวังเข้าสู่ขั้นหลังจะถูกส่งไปเพาะปลูกในแปลงระดับสูงกว่า
พูดตรงๆ พวกเราคือกลุ่มคนที่พรสวรรค์แย่ที่สุด รอวันตายที่นี่แหละ”
“ทุกๆ สามปีจะมีศิษย์ใหม่มา ได้ช่วยเราทำงานเป็นเวลาสามเดือน ถือเป็นสวัสดิการของคนแก่พวกเรา”
……
ศิษย์พี่คนข้างๆ มีน้ำเสียงที่แฝงความเยาะเย้ยตนเอง แต่เป็นคนร่าเริงและพูดเก่ง ทำให้ศิษย์ใหม่ได้รู้เรื่องราวมากมาย
ฉู่หนิงเพิ่งเข้าใจว่า ทำไมศิษย์พี่เหล่านี้จึงไม่มีความคมในตัว
การได้เห็นคนที่มีพรสวรรค์ดีกว่าตนเองฝึกฝนไปถึงขั้นที่สูงกว่าและไปเพาะปลูกในแปลงระดับสูง ส่วนตนเองต้องถูกทิ้งไว้ที่นี่ เมื่อเกิดขึ้นหลายๆ ครั้ง ความคมในตัวคนก็ย่อมหมดไป
เดินมาอีกสักพัก เฉาตงซินก็นำพวกเขาเข้าสู่ลานเล็กๆ ฉู่หนิงตามเข้าไป
ตอนนี้เขาสังเกตเห็นว่า ศิษย์พี่คนที่พูดเก่งเพิ่งเข้าลานข้างๆ
เขาจำชื่อของอีกฝ่ายได้ว่า ชื่อซ่างเจ้าเซียง คิดในใจว่า หากมีโอกาสจะลองฟังเขาพูดเพื่อสืบข่าวของสำนักชิงซีเพิ่มเติม
เมื่อเข้ามาในลาน เฉาตงซินตรงไปยังห้องกลาง ฉู่หนิงจึงทนไม่ไหวเอ่ยปากถามว่า:
“ศิษย์พี่เฉา ข้าอยู่ห้องไหนหรือ?”
เฉาตงซินยังคงเดินต่อไป ชี้ไปยังห้องทางทิศตะวันออกโดยไม่ได้หันกลับมา
ฉู่หนิงจึงถามอีกครั้งว่า “ศิษย์พี่ยังมีอะไรจะสั่งอีกไหม?”
เฉาตงซินหยุดเดินเล็กน้อย ไม่ได้หันมา แต่ในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้น
“พรุ่งนี้เช้าไปทำงานในทุ่งพร้อมข้า”
พูดจบ เขาก็เดินตรงเข้าไปในห้อง
ฉู่หนิงเห็นดังนั้น ในใจก็ครุ่นคิดว่า “ที่แท้เขาไม่ใช่คนใบ้ เพียงแต่นิสัยนั้นดูจะโดดเดี่ยวไปหน่อย”
แม้จะคิดแบบนี้ในใจ แต่ฉู่หนิงก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจใดๆ ออกมา ใบหน้านิ่งเฉยแล้วเดินไปยังห้องทางทิศตะวันออก
ศิษย์พี่เฉาคนนี้ชัดเจนว่าไม่ใช่คนที่เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย ฉู่หนิงไม่อยากแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาให้เขาไม่พอใจ
ฉู่หนิงระมัดระวังตัว แต่ไม่ได้สังเกตว่าเฉาตงซินในตอนที่กำลังปิดประตูห้อง เหลือบมองท่าทีของฉู่หนิง
เมื่อเห็นฉู่หนิงเดินไปยังห้องด้วยท่าทางสงบนิ่ง เฉาตงซินจึงหันกลับและเดินเข้าไปในห้องโดยไร้สีหน้าใดๆ
ฉู่หนิงเข้าห้องด้านทิศตะวันออก พบว่าภายในห้องค่อนข้างสะอาด เพียงแต่เรียบง่ายไปบ้าง เขาไม่ได้ใส่ใจนัก เก็บของที่นำติดตัวมา แล้วทำความสะอาดเล็กน้อย
เวลาผ่านไปสักครู่ มีเสียงเรียกที่หน้าลาน
“ฉู่หนิง ออกมาเอาของ”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ฉู่หนิงรู้ว่าเป็นสิ่งของที่เหอชางโหยวพูดถึงเมื่อครู่ ทั้งวิชาฝึกฝนและของใช้จึงรีบเดินออกจากห้อง
วิชาฝึกฝนที่มอบให้ที่นี่คงเป็นวิชาการฝึกตนที่แท้จริง นี่แหละคือเหตุผลที่หลายคนต้องการเข้าร่วมสำนักชิงซี