บทที่ 18: ไปดื่มนมนอนเถิด
“หว่านผิน บุตรของท่านเอ่ยวาจาเพ้อเจ้ออยู่ที่นี่ ท่านไม่คิดจะสนใจหน่อยหรือ?”
สิ้นเสียงคำพูดนั้นก็มีเสียงเยาะเย้ยทุกประเภทดังมาจากบริเวณโดยรอบ
เจ้ากรมวังเป็นคนที่หัวเราะดังที่สุด “นี่เจ้าตัวเล็ก อย่าได้ขัดขวางการทำงานของกระหม่อมเลย รีบกลับไปกินนมแม่นอนเถิด”
มู่ไป๋ไป่เหยียดยิ้มเย็นก่อนจะหันไปปะทะอารมณ์กับคนที่มียศใหญ่ที่สุด
“ข้าอายุ 4 ขวบแล้ว ใครเขาจะไปกินนมแม่นอนกันอีก ข้าคิดว่าเจ้าต่างหากที่ควรกลับไปกินนมแม่แล้วนอนซะ นางจะได้สอนเจ้าว่าระหว่างเชื้อพระวงศ์กับขุนนางมันแตกต่างกันอย่างไร?”
“...” ซูหว่านนิ่งอึ้งไป
เป็นเพราะลูกสาวของนางได้พูดในสิ่งที่นางไม่กล้าพูดออกไป
แล้วมุมปากของหญิงสาวก็เหยียดยิ้มเยาะเย้ยเล็กน้อย นางปล่อยให้มู่ไป๋ไป่พูดต่อไปโดยไม่มีทีท่าจะเข้าไปขัด
“...” นอกจากซูหว่านแล้ว เจ้ากรมวังก็ถึงกับพูดไม่ออกเช่นกัน
ใบหน้าเย่อหยิ่งเริ่มมีริ้วความโกรธเพิ่มมากขึ้น และเขาก็รู้สึกได้ว่าเลือดภายในร่างกายของเขากำลังเดือดพล่าน
เขากำลังโกรธมาก!
เมื่อเจ้ากรมวังมองดูเด็กหญิงตัวเล็กที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เขาก็คิดอยากจะคว้าตัวนางขึ้นมาฟาดสักที
แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็มีศักดิ์เป็นองค์หญิง เพียงแค่สถานะของนางมันก็เพียงพอที่จะเหยียบหัวเขาจนจมดินแล้ว
ถึงกระนั้นเขาก็ยังอดโมโหไม่ได้อยู่ดี เขาจึงทำได้เพียงสบถออกมาเพื่อระบายอารมณ์ “คนบางคนคลอดบุตรออกมาแต่ไม่มีปัญญาสั่งสอน”
แม้ว่าเสียงของเขาจะเบามากจนมีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน แต่มู่ไป๋ไป่ก็ยังสามารถอ่านปากของอีกฝ่ายได้อยู่ดี
“นี่เจ้าหาว่าข้าไม่มีใครสั่งสอนอย่างนั้นหรือ?”
ในขณะที่มู่ไป๋ไป่พูดออกไป เธอได้จงใจพูดเสียงดังกว่าปกติเพื่อให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นสามารถได้ยินคำพูดของเธออย่างชัดเจน
ก่อนหน้านี้หลายคนกำลังหัวเราะอย่างมีความสุข แต่ตอนนี้ดูเหมือนลมหายใจของพวกเขาจะหยุดนิ่งและดวงตาก็เบิกกว้าง
นี่เขากล้าพูดอุกอาจเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
ไม่ว่าอย่างไรเด็กคนนี้ก็ยังเป็นถึงองค์หญิงที่มีสายเลือดของฮ่องเต้!
ขณะเดียวกัน ใบหน้าของเจ้ากรมวังที่ก่อนหน้านี้ยังคงแดงเพราะความโกรธจู่ ๆ ก็ซีดลงกะทันหัน
“ที่เจ้าพูดว่าคนบางคนคลอดบุตรออกมาแต่ไม่มีปัญญาสั่งสอน เจ้าคงหมายความว่าข้าไม่มีพ่อแม่สั่งสอนใช่หรือไม่?”
คำพูดเหล่านี้ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
ภายในตำหนักปัจจุบันเงียบมากจนได้ยินเสียงลมหายใจ
“จากคำพูดของเจ้า มันหมายความว่าเจ้ากำลังสาปแช่งพ่อแม่ของข้า…”
คนตัวเล็กพูดพลางเหยียดยิ้มเย็นชา มันทำให้นางยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้น และเสียงที่เหมือนมีมนต์สะกดก็หลั่งไหลออกจากปากของเธอไม่หยุด
ทันทีที่เด็กหญิงกล่าวจบ หว่านผินก็รีบพุ่งออกไปปิดปากเล็ก ๆ ของลูกสาวเอาไว้ แล้วส่ายหัวเป็นการเตือนเจ้าตัวเล็ก
มู่ไป๋ไป่ที่ถูกปิดปากได้กลืนคำพูดทุกอย่างที่กำลังพรั่งพรูออกมาลงท้องไป
ในเวลาเดียวกัน คนอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างพากันตกใจเมื่อได้ยินดังนี้ ในฐานะขุนนาง เขาจะกล้าแช่งฮ่องเต้ให้ตายได้อย่างไร นี่เป็นความผิดร้ายแรงที่อาจทำให้พวกเขาถูกประหาร 9 ชั่วโคตรเลยด้วยซ้ำ!
ยิ่งไปกว่านั้น มู่เทียนฉงก็เป็นปีศาจที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา!
คราวนี้เจ้ากรมวังรู้สึกถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์จึงทำให้มีเหงื่อกาฬผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก ในขณะที่เขารีบร้อนทิ้งทุกอย่างในมือก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้น
แล้วเสียงถาดที่หล่นลงพื้นก็กลายเป็นเสียงที่ดังมากในตำหนักที่เงียบสงบแห่งนี้
ชายร่างสูงที่หมอบกราบอยู่แทบเท้าองค์หญิงอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช ส่วนคนที่เหลือก็ทำได้เพียงแค่มองเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ
พอมีเรื่องเข้าจริง ๆ ก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือไปช่วยเหลือเขา เพราะเกรงว่าตนจะเข้าไปติดร่างแหของการกระทำของคนหัวรั้นคนนี้และทำให้ตัวเองต้องอับอาย
ที่ทางเข้าตำหนัก เหล่านางกำนัลและขันทีของวังหลวงได้ยินเสียงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายใน พวกเขาไม่รู้ว่ามีคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใด
ทุกคนพยายามเบียดตัวเพื่อมองเข้าไปข้างในเพราะกลัวว่าจะพลาดเรื่องตื่นเต้นไป
เมื่อเหล่าคนรับใช้เห็นองค์หญิงน้อยในวัย 4 ขวบที่ทรงอำนาจและเอาแต่ใจกำลังจัดการเจ้ากรมวังที่เป็นถึงขุนนางขั้นที่ 3 ของกรมวังจนทำให้อยู่ในสภาพเช่นนี้ ทุกคนก็ต่างพากันตกใจก่อนจะอดชื่นชมนางในใจไม่ได้
บัดนี้คนที่นั่งหมอบอยู่ที่พื้นนั้นเหมือนเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณ โดยที่วิญญาณของเขาได้ลอยขึ้นสู่สรวงสวรรค์ไปแล้ว และมู่ไป๋ไป่ก็ไม่แม้แต่จะชายตามองเขา
เมื่อครู่ชายคนนี้พยายามใช้อำนาจอันน้อยนิดของตัวเองรังแกผู้อื่น แต่ตอนนี้กลับทำตัวขี้ขลาดเป็นเต่าหัวหดเสียอย่างนั้น
“เจ้าไปหาเสด็จพ่อและคุกเข่าอยู่ที่นั่น 3 วัน 3 คืน บางทีเสด็จพ่ออาจจะละเว้นโทษให้เจ้าก็ได้”
มู่ไป๋ไป่พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา
เมื่อซูหว่านเห็นว่าเจ้ากรมวังหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ นางก็ดึงลูกสาวมายืนอยู่ด้านข้างเพื่อให้อยู่ห่างจากชายคนที่หมอบอยู่กับพื้นคนนั้น
“เอาล่ะ พวกเจ้าไปบอกให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป”
นางกำนัลทั้ง 4 คนที่อยู่ข้าง ๆ รับคำสั่งแล้วเดินไปที่ทางเข้าของตำหนักเพื่อไล่กลุ่มคนที่มามุงดูออกไป
หลังจากคนพวกนั้นแยกย้ายกันไปแล้ว ซูหว่านก็ออกคำสั่งไปยังคนอื่น ๆ ที่มาจากกรมวัง
“ของพวกนี้สกปรกหมดแล้ว อีกครึ่งชั่วยามให้พวกเจ้านำมาส่งใหม่ที่ตำหนักอวี๋ชิง”
ทุกคนที่มาจากกรมวังต่างตัวสั่นอย่างอธิบายไม่ได้และรีบจ้ำอ้าวออกจากประตูไปราวกับกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่าง
เมื่ออันกงกงได้ชมการแสดงที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เขาก็เกือบลืมไปเลยว่าตนมาทำอะไรที่นี่
หลังจากอันกงกงตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง เขาก็เรียกองครักษ์ 2 คนเข้ามาจากด้านนอก “พวกเจ้าเอาตัวเขาไปที่ตำหนักเย่าเจิ้งเพื่อให้ฝ่าบาทตัดสินโทษ”
“ขอบคุณอันกงกง ข้าคงต้องไหว้วานท่านยามที่อยู่ต่อหน้าฝ่าบาทขอให้ท่านช่วยดูแลไป๋ไป่ด้วย…” ซูหว่านพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ถัดมา นางถอดสร้อยข้อมือออกแล้วยัดใส่มือของอีกฝ่าย
ทางด้านอันกงกงมีสีหน้าลำบากใจในขณะที่กล่าวว่า “หว่านผิน นี่เป็นสิ่งที่กระหม่อมควรทำ หลังจากนี้กระหม่อมจะคอยพูดแทนองค์หญิงหกมากกว่านี้ แต่กระหม่อมยรับสร้อยข้อมือเส้นนี้ไม่ได้จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ…”
ทว่าซูหว่านก็ยังบังคับให้เขารับสร้อยข้อมือไปอยู่ดี
อันกงกงผลักออกอยู่ 2-3 ครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะมอบให้เขาจริง ๆ ใบหน้าของเขาจึงแดงขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาก็รับของมาด้วยท่าทีเกรงใจ
“หว่านผินทรงมีเมตตา เช่นนั้นกระหม่อมจะรับความเมตตาของท่านเอาไว้”
หญิงสาวพยักหน้าและโบกมือให้เขารีบซ่อนมันเอาไว้
มู่ไป๋ไป่รู้ว่าการที่ซูหว่านได้อาศัยอยู่ในตำหนักอวี๋ชิงมาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมามันไม่ต่างจากการอาศัยอยู่ในตำหนักเย็น ดังนั้นสร้อยข้อมือนี้จึงเป็นหนึ่งในสิ่งของล้ำค่าไม่กี่อย่างในตำหนักอวี๋ชิง
แต่แม่ของเธอก็ยังเต็มใจที่จะมอบมันให้กับอันกงกง โดยเพียงหวังว่าเขาจะคอยพูดแทนองค์หญิงหกต่อหน้าฝ่าบาทมากขึ้น
“อ่า หว่านผิน กระหม่อมเกือบลืมไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทรับสั่งให้กระหม่อมมารับตัวองค์หญิงหกไปที่ตำหนักเย่าเจิ้ง ถ้าหากล่าช้าไปกว่านี้ ฝ่าบาทคงจะทรงกริ้ว”
“หา?” มู่ไป๋ไป่ส่งเสียงออกมาด้วยความรู้สึกสับสน
ท่านพ่อขี้โมโหของเธอคงจะไม่โกรธใช่หรือไม่ถ้าเธอปล่อยให้เขาต้องรอนานขนาดนี้?
แต่เธอรู้สึกว่าไปสายเล็กน้อยก็ดีกว่าไม่ได้ไปอีกตลอดชีวิต
คนตัวเล็กสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านก่อนที่จะหันมาพูดกับผู้เป็นแม่แล้วหมุนตัวเดินออกไปนอกตำหนัก “ท่านแม่ ข้าไปก่อนนะ”
ทางด้านซูหว่านก็ได้แต่พยักหน้ารับเบา ๆ
“หว่านผิน เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวลาไปก่อน แล้วกระหม่อมจะกลับมาส่งองค์หญิงหกด้วยตัวเองในภายหลังพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากอันกงกงกล่าวจบ เขาก็เดินตามมู่ไป๋ไป่ออกไป
ระหว่างนั้นซูหว่านมองดูร่างเล็กที่ถักผมเปียสองข้างด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
พอนางกำนัลหลายคนเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนี้แล้ว พวกนางจึงรีบเข้าไปทำความเคารพอีกฝ่าย
“หว่านผิน พวกหม่อมฉันไม่มีใครอยากจะเชื่อเลยว่าท่านจะเป็นผู้ให้กำเนิดองค์หญิงหก”
“...” หว่านผินยังคงนิ่งเงียบ
“ใช่ ๆ หม่อมฉันก็คิดอย่างนั้นเช่นกันเพคะ องค์หญิงหกจะใจกล้าเกินไปแล้ว!”
“ทั้งที่เมื่อก่อนพระนางถูกรังแกมาตลอด แต่ก็ไม่เคยโต้กลับเลยสักครั้ง”
“องค์หญิงหกเคยเหมือนหว่านผินมาก แต่ตอนนี้นิสัยของพระนางกลับเหมือนฝ่าบาทมากขึ้น… พระนางทั้งเด็ดขาดและโหดเหี้ยม…”
ซูหว่านพูดแทรกขึ้นมาว่า “เอาล่ะ เลิกพูดได้แล้ว นี่ข้าตามใจพวกเจ้ามากเกินไปสินะ พวกเจ้าแยกย้ายกันไปทำงานเสีย”
ขณะนั้นคน 2 คนที่กำลังยกกระถางต้นไม้ก็เงียบไปทันที พวกเขายืดตัวตรง แต่ทั้ง 2 ก็ยังคงโน้มศีรษะเข้าหากันและกระซิบพูดกันเบา ๆ
“หากองค์หญิงหกโตขึ้น ข้าจะถวายตัวให้นาง นางน่าทึ่งมาก~”
“เฮอะ น้ำหน้าอย่างเจ้าเนี่ยนะ ต้องถามองค์หญิงก่อนว่าชอบเจ้าหรือไม่?”
…
ณ ตำหนักเย่าเจิ้ง
พระจันทร์เสี้ยวพาดผ่านหอคอยสูงขณะที่ส่องแสงสลัวเข้ามาภายในอาคารที่งดงามหลังนี้ ทำให้ดูลึกลับและเงียบสงบ
มังกร 2 ตัวซึ่งมีเกล็ดสีทองเป็นดั่งชุดเกราะนั้นเปล่งประกายท่ามกลางแสงจันทร์คล้ายกับว่ามันจะบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
มู่ไป๋ไป่เดินตามอันกงกงเข้ามาในห้องโถงใหญ่
บัลลังก์มังกรเคลือบทองในห้องโถงมีมังกร 2 ตัวที่คาบลูกแก้วสีทองอยู่ในปาก และคนที่นั่งอยู่บนนั้นก็คือผู้มีตำแหน่งเหนือคนนับหมื่นนับแสนในแคว้นเป่ยหลง
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: นายคนนี้ชะตาขาดแน่ จุดจบของคนที่ทำอะไรไม่คิด