บทที่ 13 ลงโทษลูกชายผู้ขี้ขลาด
บทที่ 13 ลงโทษลูกชายผู้ขี้ขลาด
กัวอวี่ฉือกล่าวคำอำลาต่อองค์ชายไป๋ฮ่าวเกอ แล้วเดินลงบันไดไปที่ล็อบบี้ของโรงแรม แต่กลับไม่เห็นเถ้าแก่อยู่หลังเคาน์เตอร์
เขาเงยหน้ามองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าเถ้าแก่กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟาตัวหนึ่งที่อยู่มุมตรงข้าม
เขาจึงเดินออกจากโรงแรมไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่กล้ารบกวนเวลานอนของเถ้าแก่
หลังเดินออกจากโรงแรม เขาเดินไปยังตู้ขายสินค้าอัตโนมัติหน้าประตู แล้วซื้อหม้อไฟสำเร็จรูปมา 5 กล่อง
เขาไม่ได้ตั้งใจจะซื้ออย่างอื่น เพราะหากซื้อเยอะเกินไปจะแบกกลับไปไม่ไหว จึงตัดสินใจจะส่งคนมาซื้อในภายหลัง
หุบเขาการแพทย์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอำเภอเมืองฉ่างหลิง เขาเดินออกจากถนนหลวง และเดินไปข้างหน้าเป็นระยะทางหนึ่งก่อนจะถึงป่าบนภูเขา
ภายในป่าเต็มไปด้วยไอน้ำ คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของต้นไม้ ใบหญ้า สายลมที่เย็นสบาย ทว่าก็มีแมลงบินว่อนเต็มไปหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ารำคาญใจยิ่ง
กัวอวี่ฉือใช้มือซ้ายประคองกล่องหม้อไฟสำเร็จรูป 5 กล่อง มือขวาถือหีบยาของตัวเอง ขณะเดินไปตามทางใต้ร่มเงาต้นไม้ มุ่งหน้าไปยังหุบเขาการแพทย์
เมื่อใกล้จะถึงทางเข้าหุบเขาการแพทย์ กัวอวี่ฉือก็เหลือบมองไปทางซ้ายมือ
ห่างจากทางเข้าหุบเขาไปประมาณ 20 จั้ง(1) มีป่าไม้ถูกตัดทิ้งเป็นแนวราบ และมีโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นมาแทนที่
ณ ขณะนี้ ภายในโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยผู้คน ดูคึกคักเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนที่เดินทางมายังหุบเขาการแพทย์เพื่อรักษาโรคมักจะมาพักผ่อน กินข้าว และพักค้างคืนที่นี่
อย่างไรก็ตาม โรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่ได้เป็นของหุบเขาการแพทย์ หุบเขาการแพทย์นั้นยึดมั่นในการรักษาผู้ป่วยมาโดยตลอด ไม่มีความคิดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจประเภทนี้ และไม่ต้องการให้ชื่อเสียงของตนเองเสียหาย
ดังนั้น โรงเตี๊ยมดังกล่าวจึงเป็นเพียงหนึ่งในธุรกิจมากมายของตระกูลหมิงแห่งป้อมปราการลั่วอิง
ตระกูลหมิงเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในยุคปัจจุบัน มีอำนาจทั้งในราชสำนักและนอกราชสำนัก และยังมีปรมาจารย์ขั้นปราชญ์ลึกล้ำคอยปกป้องคุ้มครอง ซึ่งพลังอำนาจก็ไม่น้อยไปกว่าหุบเขาการแพทย์เลย
ด้วยการสนับสนุนจากตระกูลหมิง ทำให้ไม่มีใครกล้ามาสร้างความวุ่นวายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้
และเนื่องจากโรงเตี๊ยมตั้งอยู่ใกล้กับหุบเขาการแพทย์มาก แม้ว่าการบริการจะแย่ และราคาแพง แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากจำใจต้องมาพักผ่อน กินข้าว และพักค้างคืนที่นี่
บ่อยครั้งที่มีผู้คนไปร้องเรียนที่หุบเขาการแพทย์เกี่ยวกับโรงเตี๊ยมแห่งนี้ แต่เจ้าสำนักหุบเขาการแพทย์ก็ไม่เคยสนใจ และไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของตระกูลหมิง
ความจริงแล้ว หุบเขาการแพทย์กับตระกูลหมิงมีความสัมพันธ์ที่ดีทีเดียว และหุบเขาการแพทย์ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มอำนาจส่วนใหญ่ด้วย
กัวอวี่ฉือเหลือบมองโรงเตี๊ยมแล้วรู้สึกเสียดายอยู่ในใจ หากโรงแรมเซียนหยวนตั้งอยู่ใกล้กับหุบเขาการแพทย์ก็คงจะดีไม่น้อย
หากเป็นเช่นนั้น เขาจะได้เดินออกมาใช้บริการโรงแรมเซียนหยวนได้สะดวก และโรงเตี๊ยมของตระกูลหมิงแห่งนี้ก็คงจะต้องถูกบีบให้ปิดตัวลงไป
ตระกูลหมิงทำเกินไปจริง ๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความสามารถในการเปิดโรงเตี๊ยมที่ดีกว่านี้ แต่กลับเอาเปรียบลูกค้าด้วยการให้บริการที่แย่ ทำให้เขาไม่ได้กินอาหารอร่อย ๆ ใกล้บ้าน
เมื่อเข้าใกล้หุบเขาการแพทย์ ยุงและแมลงต่าง ๆ ในป่าบริเวณนี้ก็หายไปเกือบหมด กัวอวี่ฉือเกิดความสงสัยขึ้นในใจ จึงหันไปทางโรงเตี๊ยมตระกูลหมิง
เขาเลือกโต๊ะใต้ผ้าใบด้านหน้าโรงเตี๊ยมแล้วนั่งลง
ต้องบอกเลยว่า โต๊ะและเก้าอี้สกปรกมาก มีคราบสกปรกเก่า ๆ ฝังแน่นเต็มไปหมด หลังจากเพิ่งออกมาจากโรงแรมหรู เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดกับสถานที่แบบนี้ และถึงขั้นอยากอาเจียน
ในไม่ช้าเสี่ยวเอ้อก็จำเขาได้ จึงรีบวิ่งมาหาอย่างกระตือรือร้น ถามไถ่เรื่องสุขภาพและความต้องการของเขา
ขณะเดียวกัน เสี่ยวเอ้อก็ระวังเป็นพิเศษ ไม่เปิดเผยตัวตนของกัวอวี่ฉือ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยที่อยู่ใกล้ ๆ มาขอให้กัวอวี่ฉือรักษา
กัวอวี่ฉือวางหีบยาและหม้อไฟสำเร็จรูป 5 กล่องลงบนโต๊ะ ก่อนพูดว่า “น้ำเปล่าสองถ้วยใหญ่ และชาร้อนหนึ่งแก้ว”
“ขอรับ ได้เลย โปรดรอสักครู่นะขอรับ” แม้ว่าเขาจะสั่งแค่น้ำชา แต่เสี่ยวเอ้อก็ยังคงยิ้มให้และรีบเดินไปอย่างรวดเร็ว
คนเก่งย่อมเป็นที่ต้องการ แม้แต่ในหุบเขาการแพทย์ หมอรักษาฝีมือระดับกัวอวี่ฉือนั้นมีจำนวนเพียงน้อยนิด พวกเขาทุกคนมีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่เคารพนับถือ ผู้คนทั่วไปต่างพากันเอาอกเอาใจ แล้วใครเล่าจะกล้าทำให้เขาขุ่นเคือง?
ไม่นาน เสี่ยวเอ้อก็ยกน้ำชาที่กัวอวี่ฉือสั่งมาให้ และยืนรออยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
กัวอวี่ฉือฉีกบรรจุภัณฑ์หม้อไฟสำเร็จรูปออก แล้วเริ่มใส่ส่วนผสมตามลำดับ เทน้ำลงในกล่องด้านนอกและด้านใน จากนั้นปิดฝาและรอให้หม้อไฟสุกได้ที่
กัวอวี่ฉือสังเกตเห็นว่า เสี่ยวเอ้อไม่ได้แสดงอาการผิดปกติใด ๆ เพียงแต่จ้องมองหม้อไฟสำเร็จรูปด้วยความสงสัย
ถึงแม้ว่าเสี่ยวเอ้อจะยืนอยู่ไม่ไกล แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับหม้อไฟสำเร็จรูปเลย กัวอวี่ฉือจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า อาจจะต้องอยู่ในโรงแรมเท่านั้น ถึงจะรู้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งของต่าง ๆ ภายในโรงแรมหรือเปล่า?
ไม่นานกลิ่นหอมแรงและฉุนของอาหารก็ลอยออกมาจากรูระบายอากาศ มันเป็นกลิ่นหอมที่ชวนให้อยากอาหารเป็นอย่างยิ่ง
ผู้คนรอบข้างต่างหันมามอง ทั้งลูกค้าคนอื่น ๆ เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อ และแม้แต่คนที่กำลังต่อแถวอยู่หน้าประตูหุบเขาการแพทย์ก็ล้วนหันมามองเป็นตาเดียว
ลูกค้าคนหนึ่งบ่นออกมาว่า “นี่เถ้าแก่ ท่านไม่ได้บอกเองเหรอว่า ห้ามนำอาหารข้างนอกเข้ามาในโรงเตี๊ยม? เจ้ากล่องนั่นเป็นของขายในร้านหรือเปล่า?”
เถ้าแก่เหล่ไปที่ชายคนนั้นอย่างเย็นชา “แน่นอนว่าไม่ใช่ แต่บางคนก็สามารถละเมิดกฎของร้านได้ หากเจ้ามีอำนาจมากพอ ต่อให้มากินอาหารโดยไม่จ่ายเงิน ทางเราก็จะไม่เอาเรื่อง”
ลูกค้าคนอื่น ๆ ต่างเงียบกันหมด ไม่มีใครกล้าที่จะโต้แย้งกฎของโรงเตี๊ยมอีก ไม่ใช่เพราะกลัวแค่พลังของโรงเตี๊ยม แต่ส่วนใหญ่กลัวอำนาจตระกูลหมิงที่อยู่เบื้องหลังโรงเตี๊ยมมากกว่า
กัวอวี่ฉือ “…”
ในฐานะผู้ได้รับประโยชน์ เขาไม่มีอะไรจะพูด
ไม่นานนัก ลูกค้าหนุ่มคนหนึ่งเดินมาถามกัวอวี่ฉือว่า “ท่านผู้อาวุโส สิ่งที่ท่านเรียกว่าหม้อไฟสำเร็จรูปนี่ ซื้อมาจากที่ไหนหรือขอรับ?”
กัวอวี่ฉือตอบทันทีว่า “โรงแรมเซียนหยวน อยู่ทางทิศใต้ของเมืองน่ะ”
“โรงแรมเซียนหยวนหรือขอรับ?” อีกคนหนึ่งร้องออกมาด้วยความตกใจ “เมื่อเช้าข้าเดินผ่านที่นั่นมา ทว่าโรงแรมแห่งนั้นมัน…” ชายคนนั้นพูดติด ๆ ขัด ๆ
กัวอวี่ฉือจึงพูดต่อ “โรงแรมแห่งนั้นค่อนข้างประหลาด แต่ข้าได้ลองไปใช้บริการมาแล้ว ตอนนี้ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลยนี่? ทุกอย่างในโรงแรมเป็นของที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่แค่โรงเตี๊ยมตระกูลหมิงเทียบไม่ติด แม้แต่ภัตตาคารในเมืองก็ยังเทียบเทียมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ข้าว่านะ เถ้าแก่ของโรงแรมอาจเป็นเทพเซียนที่ลงมาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์ก็เป็นได้?”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมตระกูลหมิงได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำสลับซีดเซียว จนเกือบจะสบถออกมา
เขาให้เกียรติกัวอวี่ฉืออย่างมาก แต่กัวอวี่ฉือกลับไม่ให้เกียรติเขาเลย พูดชมโรงแรมอื่นก็ว่ามากเกินไปแล้ว นี่ยังมาดูถูกโรงเตี๊ยมตระกูลหมิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ที่น่าโมโหที่สุดคือ เขาถึงกับเอาภัตตาคารในเมืองมาเปรียบเทียบกับที่นี่
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมตระกูลหมิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ มุมปากปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ย “เซียนเหรอ? หากพูดกันว่ามันแปลกประหลาดอย่างนั้น แล้วใครจะรับประกันได้ว่าเถ้าแก่ไม่ใช่ยักษ์หรือผีสาง? ที่ยักษ์หรือผีสางยังไม่ทำอันตรายใคร อาจเป็นเพราะกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ก็ได้ ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?”
กัวอวี่ฉือไม่เห็นด้วยนัก “เถ้าแก่คนนั้นมีวิชาแก่กล้า หากอยากจะทำร้ายใครสักคน แค่ยกมือขึ้นก็ฆ่าได้หลายสิบในคราวเดียว แล้วจะมาอ้อมค้อมไปทำไม?”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกล่าวว่า “บางทีเถ้าแก่ผู้นั้นอาจจะถูกจำกัดพลัง หรือบางทีอาจไม่หลงเหลือพลังอำนาจใด ๆ เลย แค่ทำทีเป็นมีอำนาจเพื่อหลอกล่อคนอื่น เมื่อมีคนหลงกลเข้าไปเยอะแล้ว เถ้าแก่ก็อาจจะเผยใบหน้าที่แท้จริงก็เป็นได้”
กัวอวี่ฉือโต้แย้ง “ท่านยังไม่เคยเห็นด้วยตาของตัวเอง แล้วมาตัดสินส่งเดชแบบนี้ มันยุติธรรมแล้วหรือ? อย่างน้อยสำหรับข้า เถ้าแก่คนนั้นมีพลังวิเศษที่คนธรรมดาไม่อาจคาดเดาได้”
ทันใดนั้นก็มีคนในฝูงชนพูดขึ้นมาว่า “เถ้าแก่ ท่านมาใส่ร้ายโรงแรมอื่นแบบนี้ หรือว่ากลัวโรงเตี๊ยมของตนจะสูญเสียลูกค้าให้อีกฝ่ายกัน?”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมตระกูลหมิงพลันระงับความขุ่นเคืองลง เขากลอกตาขึ้น “พูดจาไร้สาระ ทำไมโรงเตี๊ยมของเราจะต้องไปแข่งขันกับร้านนั้นด้วย? เฮอะ ช่างปะไร พวกท่านก็ดูแลชีวิตของตัวเองไปเถอะ ข้าจะพูดอะไรได้? พวกท่านปรารถนาจะไปที่ใดก็แล้วแต่ใจท่าน”
เขาเดินฝ่าฝูงชนที่รายล้อม แล้วหันกลับเข้าไปในห้องโถงของโรงเตี๊ยม
เมื่อได้ยินดังนั้น เขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ความจริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องโกรธเคืองเลย
โรงแรมเซียนหยวนอยู่ไกลจากหุบเขาการแพทย์มาก ดังนั้นโรงเตี๊ยมตระกูลหมิงไม่มีเหตุต้องกังวลว่าจะเสียลูกค้าให้กับอีกฝ่าย
ตรงกันข้าม ที่ต้องเป็นห่วงคือโรงเตี๊ยมและภัตตาคารอื่น ๆ ในเมือง
บังเอิญว่าตระกูลหมิงก็มีโรงเตี๊ยมและภัตตาคารในเมืองนี้เหมือนกัน และบังเอิญว่าเขากับเถ้าแก่จากทั้งสองร้านนั้นมีเรื่องบาดหมางกันมานานแล้ว
แล้วเขาจะต้องวิตกกังวลไปทำไม? ไม่เพียงแค่ไม่ต้องวิตกกังวลเท่านั้น แต่ยังควรยินดีกับความโชคร้ายของคนทั้งสองด้วย
เมื่อเดินเข้ามาในห้องโถง เขาก็เกือบจะหัวเราะออกมา
เหตุใดโรงเตี๊ยมตระกูลหมิงของเขาถึงไม่เคยดีขึ้นเลย? นั่นก็เพราะว่าโรงเตี๊ยมและภัตตาคารของตระกูลหมิงในอำเภอเมืองฉ่างหลิงแย่งลูกค้าไปหมดไม่ใช่เหรอ? ผู้จัดการที่อยู่เหนือเขามองว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีทำเลที่ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไรมาก เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปฏิบัติตามคำสั่ง
แต่ในฐานะผู้ประกอบการ เขาจะไม่ต้องการให้โรงเตี๊ยมของตัวเองดีขึ้นได้อย่างไร? เขาจะต้องการฟังข้อร้องเรียนและความไม่พอใจของลูกค้าตลอดทั้งวันได้อย่างไร? แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการเลย!
แล้วยิ่งมาเห็นกล่องหม้อไฟสำเร็จรูปที่กัวอวี่ฉือซื้อมา มันดูเหมือนจะไม่ต้องกินทันทีหลังซื้อ แล้วยังมีกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ รสชาติของมันคงจะอร่อยมากอย่างแน่นอน
บางที เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เขาจะไปซื้อหม้อไฟสำเร็จรูปจากโรงแรมนั้นมาบ้าง แล้วนำมาให้ลูกค้าที่มารอพบหมอได้ลองชิม ซึ่งอาจจะช่วยให้ชื่อเสียงของโรงเตี๊ยมดียิ่งขึ้น
ผ่านไปไม่นาน
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมพลันได้กลิ่นหอมแรงโชยมาจากด้านนอก และได้ยินเสียงฝูงชนร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ
“ในน้ำซุปมีน้ำมันสีแดงเยอะมาก ช่างหรูหรานัก ที่ใช้น้ำมันมากมายในซุปกล่องเล็ก ๆ แบบนี้”
“นี่มันวัตถุดิบอะไรกัน? เหตุใดข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย?”
“ว่าไงนะ? หม้อไฟสำเร็จรูปแค่นี้ราคาแค่ 40 เหวินเองหรือ? แล้วใส่น้ำมันเยอะขนาดนี้ เถ้าแก่ไม่กลัวขาดทุนบ้างหรืออย่างไร?”
“หอมมากเลย ท่านผู้อาวุโส ข้าเห็นว่าท่านยังเหลืออีก 4 กล่อง ขายให้ข้าสักกล่องได้ไหมขอรับ?”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมทนไม่ไหวอีกต่อไป รีบไปหยิบชามและตะเกียบ แล้วเดินออกจากห้องโถง เขาเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปหากัวอวี่ฉือพร้อมกับพูดว่า “ช่วยแบ่งให้ข้าสักนิดได้หรือไม่? ถือเสียว่าเป็นค่าน้ำชา”
ลูกค้าคนอื่น ๆ “…”
กัวอวี่ฉือ “…”
เถ้าแก่หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อยและพูดว่า “แค่ชิมนิดหน่อยก็พอแล้ว แค่หนึ่งสองคำก็ได้ หากรสชาติอร่อยจริง ๆ โรงเตี๊ยมของข้าอาจจะไปซื้อมาวางขายบ้าง”
มีลูกค้าคนหนึ่งแซวขึ้นมาว่า “เถ้าแก่ ท่านไม่ใช่เหรอที่เพิ่งบอกว่าโรงแรมแห่งนั้นมีผีสางนางไม้?”
เถ้าแก่ใบหน้าแข็งทื่อ คอตั้งตรง “มันเป็นการคาดเดาส่งเดชไปอย่างนั้น”
ลูกค้านั้นยังคงพูดต่อ “อาจจะเป็นการวางแผนระยะยาวก็ได้นะขอรับ?”
เถ้าแก่หันไปจ้องชายคนนั้นเขม็ง “แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย? ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว แปลกตรงไหนหรือ?”
เมื่อเห็นว่าเถ้าแก่โรงเตี๊ยมตระกูลหมิงกลับใจ กัวอวี่ฉือก็ไม่ถือสาอะไร เขาจึงแบ่งผักให้เถ้าแก่ค่อนข้างเยอะ และเก็บเนื้อไว้กินเอง
เถ้าแก่นั่งลงตรงข้ามกับกัวอวี่ฉือ แล้วเริ่มกินอย่างรวดเร็ว
พอได้ชิมคำแรก เขาก็ตกใจจนดวงตาสองเบิกกว้าง
เขาเพิ่งเคยได้ลิ้มลองรสชาติที่เผ็ดร้อนแบบนี้เป็นครั้งแรก มันเผ็ดกว่าขิง แต่กลับอร่อยกว่าขิงมาก จนลิ้นรู้สึกชาเลยทีเดียว
ปกติแล้วเขาเกลียดรสชาติขิงมาก แต่รสเผ็ดที่มีมากกว่าขิงแบบนี้กลับไม่ทำให้รู้สึกว่าน่ารังเกียจเลย กลับกันยิ่งเขากินก็ยิ่งติดใจ
กัวอวี่ฉือมองดูสีหน้าของเขาแล้วถามว่า “อร่อยไหม?”
เถ้าแก่พยักหน้าซ้ำ ๆ พร้อมกับกินไปด้วย “เลิศรสนัก!”
เมื่อกัวอวี่ฉือได้ยินคำชม ก็รู้สึกภูมิใจขึ้นมาเล็กน้อย
ในฐานะหนึ่งในคนกลุ่มแรก ๆ ที่ค้นพบความอร่อยนี้ เมื่อผู้คนที่เคยคัดค้านกลับใจมาเห็นด้วยกับความอร่อยที่ได้ลิ้มลอง แล้วมีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่ภูมิใจ?
ลูกค้าในโรงเตี๊ยมต่างก็ตะโกนขอซื้อต่อ แต่เขายังคงปฏิเสธคำขอของพวกเขา
หม้อไฟสำเร็จรูปอีก 4 กล่องที่เหลือนี้ เขาตั้งใจจะนำกลับไปให้คนในครอบครัวได้ลองชิมบ้าง
โดยเฉพาะลูกชายของเขาที่ขี้ขลาดและไม่มีความมั่นใจ เจ้าเด็กคนนั้นหวาดกลัวจนไม่กล้าเข้าไปในโรงแรม ทำให้เขาต้องพลาดความอร่อยไปอย่างน่าเสียดาย
เอาเถอะ เดี๋ยวจะลงโทษเขาให้มานั่งดูพ่อแม่กินอาหารอร่อย ๆ โดยที่ตัวเองไม่ได้กินแล้วกัน
……….……….……….……….
• จั้ง (丈) คือมาตรวัดของจีน = 10 ฉื่อ ประมาณ 3 เมตร