บทที่ 105 นี่มันเป็นขยะจริงๆ หรือ?
ชูหยวนเข้าใจแล้ว!
เขารู้แล้วว่าทำไมศิษย์ทั้งสามของเขาถึงจะประสบความสำเร็จได้
สามคนไร้ค่านี้ ดั้งเดิมก็ไร้ค่าอยู่แล้ว สอนอย่างไรก็ยังคงไร้ค่า พวกเขาไม่มีที่ให้ตกต่ำลงไปอีก เหลือแต่ทางขึ้นเท่านั้น!
ยิ่งไปกว่านั้น คนทั้งสามนี้ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน
คนหนึ่งเกิดมาไร้รากวิญญาณ
อีกคนถูกฟ้าผ่าจนกลายเป็นคนใหม่
ส่วนอีกคนไม่มีแม้แต่วิญญาณ
ยิ่งนานวันยิ่งประหลาดขึ้นทุกที...
ความคิดของเขาผิดมาตลอด
ทั้งสามคนนี้ หากไม่นับว่าพวกเขาฝึกฝนไม่ได้ ใครบ้างที่ไม่แตกต่างจากคนธรรมดา?
ความคิดของเขานั้นผิดมาแต่ต้น!
พอคิดได้ ชูหยวนแทบจะตบหัวตัวเองสักทีเลยทีเดียว
ถ้าเขารู้ตัวเร็วกว่านี้ ก็คงไม่ถดถอยลงมาอยู่ในขั้นหลอมลมปราณแล้ว
นึกย้อนไปเมื่อก่อน เขาก็เคยเป็นถึงยอดฝีมือขั้นแก่นทารกเชียวนะ
โชคดีจริงๆ!
โชคดีที่ไอ้อ้วนคนนี้ดันมาเตือนสติเขา
ทันใดนั้น สายตาของชูหยวนที่มองไปยังหลี่เอ้อร์กังก็อ่อนโยนขึ้นไม่น้อย
"เอ้อร์กัง ไม่เลว ความคิดของเจ้าดีมาก"
"ดีกว่าความคิดของข้าตั้งเยอะ สมควรได้รางวัล เจ้าอยากได้อะไร? หากข้ามี ย่อมให้เจ้าแน่นอน"
ชูหยวนกล่าวชื่นชม
พอได้ยินคำพูดนี้
หลี่เอ้อร์กังที่ยังคงพูดจาอย่างคล่องแคล่วก็ชะงักไปครู่หนึ่ง มองไปรอบๆ
ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในนิกายฉางเหอ และคนตรงหน้าก็ไม่ใช่ศิษย์ธรรมดาๆ
เมื่อกี้เขาดันมาพูดจาเจื้อยแจ้วต่อหน้าประมุขนิกายเร้นลับนี่นา!!
พอรู้สึกตัว หลี่เอ้อร์กังก็ตกใจจนหน้าซีด
"ป-ประมุข ข้าแค่พูดเหลวไหลไปอย่างนั้นเองขอรับ"
"ไม่สมควรได้รับคำชมจากประมุข ยิ่งไม่สมควรได้รับรางวัลใดๆ!"
หลี่เอ้อร์กังรีบลุกขึ้นยืนพูดอย่างร้อนรน
"ไม่เป็นไร ความคิดของเจ้าช่วยข้าได้มาก นั่นก็คือมีคุณูปการแล้ว บอกมาเถอะ เจ้าอยากได้อะไร?"
ชูหยวนพูดอย่างใจเย็น
"ถ้าอย่างนั้น... ประมุข ข้าขอเข้าไปดูในหอถ่ายทอดวิชาได้หรือไม่ขอรับ?"
หลี่เอ้อร์กังพูดอย่างระมัดระวัง
พอได้ยินคำพูดนี้ ชูหยวนก็อึ้งไปเล็กน้อย
ไอ้อ้วนคนนี้อยากไปหอถ่ายทอดวิชา?
หอถ่ายทอดวิชามีอะไรดีนักหรือ ก็แค่กองขยะมากมาย
แต่ว่า แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
ถ้าจะให้รางวัลอะไรจริงๆ เขาก็ไม่มีอะไรจะให้นี่นา
นอกจากคัมภีร์ลับของนิกายฉางเหอและดาบวิเศษนั่นแล้ว เขาก็ไม่มีอย่างอื่นเลย
แค่อย่าให้ไอ้อ้วนคนนี้ไปฝึกวิชาปลอมพวกนั้นก็พอ
ไอ้อ้วนคนนี้ก็ถือว่าเป็นคนมีฝีมือคนหนึ่ง
ถ้าไปฝึกวิชาปลอมแล้วฝึกจนตายไป เขาก็จะขาดทุนแย่
"อืม งั้นข้าอนุญาตให้เจ้าเข้าหอถ่ายทอดวิชาได้ แต่เจ้าต้องจำไว้"
"ของในหอถ่ายทอดวิชานั่นล้วนเป็นขยะทั้งนั้น เจ้าดูๆ ก็พอแล้ว อย่าได้เชื่อเป็นอันขาด!"
ชูหยวนเตือนอย่างจริงจัง
"ขอบพระคุณประมุขขอรับ!!"
หลี่เอ้อร์กังได้ยินประมุขอนุญาต ก็รีบตอบรับด้วยความดีใจ
เขาแค่ได้ยินว่าประมุขอนุญาต ส่วนคำพูดอื่นๆ ก็เลือกที่จะไม่ได้ยินโดยอัตโนมัติ
ชูหยวนก็ไม่ได้พูดอะไรมาก โบกมือไล่หลี่เอ้อร์กังออกไป ส่วนตัวเองก็เดินไปยังตำหนักประมุข
เมื่อรู้แล้วว่าความคิดของตัวเองผิด เขาก็ต้องไปคิดให้ดีว่าต่อไปควรทำอย่างไร
"ส่งประมุขขอรับ!!"
หลี่เอ้อร์กังที่ตื่นเต้นจนตัวสั่นค้อมคำนับ มองประมุขจากไป
เขาไม่อาจเก็บอาการดีใจเอาไว้ได้อีกต่อไป ใบหน้าอวบอ้วนนั้นเผยรอยยิ้มกว้างอย่างปลาบปลื้ม
ประมุขอนุญาตให้เขาไปหอถ่ายทอดวิชาแล้ว!!
แม้ว่าก่อนหน้านี้จางฮั่นก็เคยบอกให้เขาไปเลือกวิชาที่หอถ่ายทอดวิชาได้หนึ่งวิชา
แต่ประมุขกลับพูดตรงๆ ว่าให้เขาไปหอถ่ายทอดวิชาได้เลย ไม่ได้จำกัดว่าให้ดูได้แค่หนึ่งวิชาหรืออะไรทำนองนั้น
แต่มีจุดเดียวที่แปลก
คือประมุขกลับบอกว่าของในหอถ่ายทอดวิชาล้วนเป็นขยะ
นั่นทำให้หลี่เอ้อร์กังรู้สึกสงสัยมาก
แต่หลี่เอ้อร์กังก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ลุกขึ้นวิ่งไปยังหอถ่ายทอดวิชาด้วยความตื่นเต้น
ไม่ทันได้เก็บจานชามบนโต๊ะด้วยซ้ำ
สนใจแต่จะไปดูหอถ่ายทอดวิชาเท่านั้น
......
หน้าหอถ่ายทอดวิชา
หลี่เอ้อร์กังอ้วนท้วนคนนี้วิ่งหน้าตื่นมาถึง
เดินมาถึงหน้าหอ มองดูสถาปัตยกรรมโบราณที่ดูขลังและน่าเกรงขามตรงหน้าอย่างระมัดระวัง
ยืนอยู่หน้าหอ ความรู้สึกสงบนิ่งก็ผุดขึ้นมาในใจโดยไม่รู้ตัว
"เอ่อ... ท่านผู้อาวุโส ท่านอยู่หรือไม่? ข้าได้รับพระบัญชาจากประมุขให้เข้าหอถ่ายทอดวิชาได้ ท่านว่าอย่างไรขอรับ?"
หลี่เอ้อร์กังหดหัวลง พูดอย่างระมัดระวัง
เขารู้ดีว่าจางฮั่นมักจะอยู่ในหอถ่ายทอดวิชาบ่อยๆ
ถ้าเขาจะเข้าไป ก็ต้องทักทายจางฮั่นสักหน่อย
เสียงของหลี่เอ้อร์กังดังก้องอยู่หน้าหอถ่ายทอดวิชา
แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ
เงียบกริบ...
หลี่เอ้อร์กังเงียบไปครู่หนึ่ง ค่อยๆ มองเข้าไปในหอ แต่ก็มองไม่เห็นอะไรเลย
หรือว่าจางฮั่นไม่อยู่?
"ท่านผู้อาวุโส? ท่านผู้อาวุโสไม่อยู่หรือขอรับ?"
หลี่เอ้อร์กังอดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง
ยังคงไม่มีเสียงตอบรับใดๆ
ดูเหมือนจางฮั่นจะไม่อยู่จริงๆ
ท่านผู้อาวุโสเพิ่งทะลวงขีดจำกัด ตอนนี้คงกำลังปิดประตูฝึกฝนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งสินะ?
หลี่เอ้อร์กังคิดแบบนั้น จึงถอนหายใจโล่งอก แล้วค่อยๆ ย่องเข้าไปในหอถ่ายทอดวิชา
ถ้าไม่รู้เรื่อง คงคิดว่าเขากำลังทำตัวเหมือนโจรลักเข้าบ้าน
หลี่เอ้อร์กังก้าวเข้าสู่หอถ่ายทอดวิชา
มองไปรอบๆ ทีเดียว
ก็เห็นแท่นหินเรียงรายเป็นแถว
มีทั้งหมดเก้าแถว
แต่ละแถวมีเก้าแท่น
บนแต่ละแท่นมีบนแต่ละแท่นมีหนังสือวางอยู่เล่มหนึ่ง
ทุกอย่างดูโบราณและลึกลับ
"สถานที่ยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ สมกับเป็นนิกายเร้นลับจริงๆ!"
หลี่เอ้อร์กังเดินเข้ามา อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่นชม
เขาเผลอเอามือลูบเสื้อผ้าตัวเองโดยไม่รู้ตัว
ตั้งใจจะเดินไปที่แท่นหิน หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
แต่สายตาเหลือบไปเห็นมุมห้อง
ก็ต้องชะงักไป
ที่มุมห้องมีกองหนังสือวางระเกะระกะ
ราวกับถูกโยนทิ้งไว้อย่างไม่ใส่ใจ
ในสถานที่อันยิ่งใหญ่เช่นนี้
กลับมีหนังสือถูกโยนทิ้งไว้ที่มุมห้องด้วยหรือ?
หนังสือที่ถูกทิ้งไว้ที่มุมห้องจะเป็นหนังสืออะไรกันนะ?
หลี่เอ้อร์กังเกิดความอยากรู้อยากเห็น เดินไปที่มุมห้อง
หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา
มองดูหน้าปก
《ตำราดูแลหมูเซียนหลังคลอด》
หมูเซียน?
หมูเซียนคืออะไร?
หลี่เอ้อร์กังเปิดหนังสือออกอ่าน
พอเห็นหน้าแรก เขาก็รู้ทันทีว่าหมูเซียนคืออะไร
หมูเซียนนี้ ชื่อเต็มคือหมูเซียนโบราณ เป็นสัตว์อสูรที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ
สัตว์อสูรชนิดนี้แปลกมาก ไม่มีพิษสง สติปัญญาต่ำมาก ไม่ต่างจากหมูธรรมดาเท่าไหร่
เพียงแต่หมูธรรมดาถูกคนธรรมดาเลี้ยง แต่หมูเซียนโบราณกลับถูกผู้ฝึกตนเลี้ยงไว้
เนื้อของหมูเซียนโบราณนั้นมหัศจรรย์นัก การกินเนื้อหมูชนิดนี้ช่วยการฝึกฝนได้มาก แค่กินเนื้อคำเดียวก็อาจทำให้คนธรรมดาก้าวเข้าสู่ขั้นหลอมลมปราณได้ในทันที
ดูเหมือนว่าเพราะหมูชนิดนี้มีประโยชน์ต่อวงการผู้ฝึกตนมากเกินไป จึงถูกจำกัดด้วยข้อห้ามบางอย่าง
หมูเซียนโบราณเลี้ยงดูยากมาก และขยายพันธุ์ได้ยากด้วย
มาถึงตอนนี้ หมูเซียนโบราณก็เหลือน้อยมากแล้ว
สาเหตุก็เพราะการขยายพันธุ์และดูแลทำได้ยากนั่นเอง
ได้ยินว่า มีเพียงนิกายใหญ่ไม่กี่แห่งเท่านั้นที่มีวิธีดูแลหมูเซียนโบราณเป็นพิเศษ
ไม่นึกเลยว่าในหอถ่ายทอดวิชาของนิกายเร้นลับจะมีตำราแบบนี้ด้วย!
นี่ก็ทำให้หลี่เอ้อร์กังอดทึ่งไม่ได้
นิกายเร้นลับไม่ใช่เล่นๆ จริงๆ
หลี่เอ้อร์กังค่อยๆ วาง《ตำราดูแลหมูเซียนหลังคลอด》ลงอย่างระมัดระวัง
แล้วมองดูหนังสือเล่มอื่นๆ
พอได้เห็น เขาก็ตาไม่กะพริบเลย
"ป-ประมุข พวกนี้เป็นขยะจริงๆ หรือขอรับ???"