ตอนที่แล้วตอนที่ 223 ไม่มีใครสามารถปฏิเสธความสุขจากการลอบโจมตีได้!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 225 เขตหวงโจวนั้นเป็นของสำนักเกาซานควบคุม มีปัญหาไหม? ไม่มีปัญหา!

ตอนที่ 224 ทำไมต้องคิดมากด้วย? ฟ้าเป็นผู้กำหนดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!


“ลองอีกสักหลายครั้ง?” เจียงรั่วเหยาหันศีรษะไปแล้วกล่าวอย่างมั่นใจ “ไม่ว่าจะลองกี่ครั้งก็เหมือนกัน ข้าไม่ใช่คนแบบนั้น”

“ตรงกันข้าม เจ้า...”

“เจ้าดูเหมือนเป็นคนมีศีลธรรม แต่ทำไมชอบทำอะไรแบบนี้? ใครเป็นคนสอนเจ้า?”

“เจ้าจะกลายเป็นจักรพรรดิในอนาคต ไม่ควรทำเรื่องต่ำค่าพวกนี้ ไม่อย่างนั้นคนรุ่นหลังจะหัวเราะเยาะเจ้า”

ใครจะรู้ว่าเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ฮั่วหยุนเฟยกลับโยกอิฐในมือ พร้อมรอยยิ้มแปลกๆ ที่มุมปาก “เจ้าว่า ถ้าข้าได้เป็นจ้จักรพรรดิแล้วคอยโจมตีคนเผลอ ใครจะทนไหว?”

เจียงรั่วเหยา: “...”

รู้สึกว่าข้าเพิ่งพูดไปตั้งนาน กลับทำให้เขาค้นพบความจริงที่สำคัญกว่าเสียอีก

จักรพรรดิน่ะเป็นสิ่งที่ไร้เทียมทานในโลกมนุษย์ ถ้ายังมาคอยโจมตีคนเผลออีก มันก็เหมือนกับเอาผ้าพันแผลไปเช็ดก้น โชว์ฝีมือให้ทุกสรรพสิ่งได้เห็นชัดๆ! เปิดโลกทัศน์ไปเลย!

แต่เจียงรั่วเหยาคิดว่า ฮั่วหยุนเฟยคงแค่พูดไปอย่างนั้น เขาคงไม่ไปแอบโจมตีผู้ฝึกตนที่มีพลังต่ำกว่าเมื่อกลายเป็นจักรพรรดิในอนาคต เพราะหากทำเช่นนั้น เกียรติแห่งวิถีจะไปอยู่ที่ไหน?

เมื่อเจียงรั่วเหยามองฮั่วหยุนเฟยด้วยหางตา ฮั่วหยุนเฟยก็พูดขึ้นว่า “เจ้าก็แค่บอกข้าสิ ว่ามันจริงไหม?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงรั่วเหยาก็เบนสายตาขึ้นฟ้าแล้วหมุนตัวเดินจากไป เธอไม่อยากคุยกับเขาต่อ เธอถือกระบี่สังหารสีเลือดเดินไปที่ข้างๆ โลงศพสำริด จ้องมองไปที่มู่หวงผู้ซึ่งนอนอยู่อย่างสงบ แล้วกล่าวว่า “อิฐที่เจ้าถืออยู่เป็นอาวุธอะไร? มู่หวงที่เป็นยอดนักรบขั้นกึ่งจักรพรรดิกลับโดนแค่ก้อนอิฐฟาดจนล้มลงได้?”

เมื่อครู่มู่หวงถูกฮั่วหยุนเฟยฟาดเข้าไปจากด้านหลังจนจิตวิญญาณสลายไปกว่าสิบส่วน เกือบจะหมดสภาพแล้ว เขาไม่ตายคาที่ก็นับว่ามีพลังแข็งแกร่งพอสมควร

“มันเกี่ยวอะไรกับอิฐกัน? นั่นเป็นเพราะพลังของข้าแข็งแกร่งพออยู่แล้ว ถ้าไม่เช่นนั้น ต่อให้ใช้อาวุธสูงสุด มันก็คงไม่มีทางที่จะฟาดคนขั้นกึ่งจักรพรรดิให้น็อกไปได้หรอก” ฮั่วหยุนเฟยกล่าว

เจียงรั่วเหยาเหลือบตามองเขา “เจ้ามิใช่บอกว่าเจ้าอยู่ขั้นเทียนเหรินหรือ?”

“ใช่แล้ว ข้าบอกว่าอยู่ขั้นเทียนเหริน แล้วเทียนเหรินล้มขั้นกึ่งจักรพรรดิในหนึ่งหมัดมันมีปัญหาอะไรหรือ? ไม่มีปัญหาอะไร!”

ฮั่วหยุนเฟยตอบ

“ข้าละยอมเจ้าเลย!” เจียงรั่วเหยากล่าวพร้อมกับส่ายศีรษะ “ข้าเจอผู้ฝึกตนที่มากมาย เจ้ายอดเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่งทั้งในด้านพรสวรรค์และหน้าหนาสิ้นดี”

จากนั้นเธอก็ไม่พูดพร่ำอีก กระบี่สังหารสีเลือดแทงเข้าไปที่หน้าผากของมู่หวง ทำลายจิตวิญญาณของเขาอย่างสิ้นเชิง จากนั้นเธอก็ฟันอีกครั้งเพื่อทำลายฐานพลังของเขา

เมื่อมั่นใจว่ามู่หวงตายสนิทแล้ว เจียงรั่วเหยาจึงเก็บกระบี่กลับ แล้วหันไปมองฮั่วหยุนเฟย “ไปเถอะ เสร็จแล้ว”

“เดี๋ยวก่อน! เจ้าทำไมถึงประมาทอย่างนี้?” ฮั่วหยุนเฟยเดินเข้ามาใกล้มู่หวงผู้ซึ่งยังคงมีร่างกายสมบูรณ์อยู่ “ถ้าเขามีวิชาหลอกตายล่ะ? แบบนี้เขาไม่หนีไปได้หรือ?”

“ผู้แข็งแกร่งขั้นกึ่งจักรพรรดิเช่นเขา ไม่ว่าพวกเขาจะใช้วิชาใดก็ไม่น่าแปลกใจ หากไม่ป้องกันไว้ก่อนแล้วเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมา วิธีที่ดีที่สุดคือเผาร่างให้เหลือแต่เถ้าถ่าน!”

เมื่อพูดจบ ฮั่วหยุนเฟยก็ใช้นิ้วดีดขึ้น ปรากฏเป็นเปลวไฟเจ็ดสีลุกไหม้ขึ้นบนร่างของมู่หวง เปลวไฟนั้นคือเปลวไฟอเวจีเจ็ดสีซึ่งมีพลังในการเผาทำลายอย่างมหาศาล!

เพียงสามลมหายใจ ร่างของมู่หวงก็ถูกเผาจนไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน หายไปจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิง

“ข้าไม่รู้จะพูดอะไรกับเจ้าแล้ว” เจียงรั่วเหยากล่าว พฤติกรรมของฮั่วหยุนเฟยทำให้เธอต้องทึ่ง

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ฮั่วหยุนเฟยยังไม่ตามเจียงรั่วเหยากลับทันที แต่เขากลับเริ่มทำลายหลักฐานทั้งหมดในบริเวณนั้น จนกระทั่งไม่มีสิ่งใดเหลือให้ตรวจสอบได้ จากนั้นเขาจึงพอใจและออกเดินตามเจียงรั่วเหยาไป

เนื่องจากเขากับกลุ่มขององค์กรขโมยเต๋าตกอยู่ในความเป็นศัตรูใกล้ชิด การไม่ทิ้งช่องโหว่ให้ฝ่ายตรงข้ามแม้แต่น้อยถือเป็นสิ่งจำเป็น

เมื่อออกมาจากกลางภูเขา เจียงรั่วเหยาก็มองไปยังทิศทางหนึ่งแล้วกล่าวว่า “มู่หวงเป็นเพียงหนึ่งในคนที่กลุ่มองค์กรณ์ขโมยเต๋าซ่อนเอาไว้ แน่นอนว่ายังมีอีกมากมาย พวกเราหาและฆ่าพวกเขาไม่หมดแน่!”

“ในหลายหมื่นปีที่ผ่านมา พวกเขาได้แทรกซึมเข้ามาในโลกมนุษย์อย่างสิ้นเชิง แม้ว่าเราจะพยายามขัดขวางอย่างเต็มที่ก็เปล่าประโยชน์ พวกมันร้ายกาจเหลือเกิน”

ฮั่วหยุนเฟยยืนอย่างสงบนิ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “ทำไมต้องคิดมากด้วย? ฟ้าเป็นผู้กำหนดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!”

“พวกเราก็แค่ทำหน้าที่ของเรา ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสวรรค์เถอะ”

“เจ้าเด็กน้อย เจ้าคิดว่าข้าต้องการให้เจ้ามาสอนข้าหรือ? เจ้ามาพูดถึงเรื่องทางธรรมให้ข้าได้ยิน ระวังเถอะ ข้าจะตีเจ้าให้เข็ด” เจียงรั่วเหยากล่าว

จากนั้นเธอก็กล่าวต่อ “มองดูเสร็จแล้ว พูดคุยเสร็จแล้ว ข้าควรจะกลับไปได้แล้วล่ะ”

“ฮั่วหยุนเฟย อีกสิบปีข้างหน้า เส้นทางสู่การเป็นจ้าวสูงสุดจะเปิดออก ข้าหวังว่าเจ้าจะมาด้วย รวมทั้งเหล่าศิษย์ของเจ้าด้วยนะ!”

“ทำใจให้สบายเถอะ อย่าคิดมากนัก” ฮั่วหยุนเฟยโบกมือให้เจียงรั่วเหยา

“เจ้ามันพวกซื่อบื้อ” เจียงรั่วเหยากล่าวขณะเหลือบมองฮั่วหยุนเฟย จากนั้นก็พุ่งทะยานขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็ว ร่างของเธอค่อยๆ จางหายไปในท้องฟ้า…

สามวันต่อมา ทุกคนในสำนักเกาซานก็เดินทางกลับ! เช้าตรู่ อาวุโสหยิงเสวี่ยก็มารอที่ประตูจวน ยืนอยู่ด้วยท่วงท่าสง่างาม มีเสน่ห์ที่เปี่ยมด้วยความเป็นผู้ใหญ่ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่มีใครไม่เหลียวมอง และเมื่อมองแล้วก็ยังอยากจะมองอีก ร่างกายบางส่วนแทบจะควบคุมไม่อยู่ เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย

"มองอะไรกัน? เทพธิดาของข้าเป็นคนที่พวกเจ้าแค่มองได้เหรอ?" อาวุโสเถี่ยหนิว ที่ยืนอยู่ข้างอาวุโสหยิงเสวี่ยเหมือนบอดี้การ์ด ถลึงตาดวงกลมโต จ้องมองพวกที่ส่งสายตาแปลกๆ อย่างไม่พอใจ จะมองชื่นชมก็ตามใจอยู่หรอก เพราะเทพธิดาของพวกเรางดงามมากจนดึงดูดสายตาเป็นเรื่องปกติ แต่ทำไมยิ่งมองดวงตาพวกเจ้าก็ยิ่งแดงขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้หมายความว่าไง? ถ้ากล้าคิดไม่ดี ข้าจะจับพวกเจ้าไปหักขาข้างล่าง!

รออยู่อีกสักพัก เมื่อเจ้าสำนักจางหยุนเทียนกับพวกออกมา อาวุโสหยิงเสวี่ยก็แปลงร่างเป็นตัวจริง ใช้พลังยกทุกคนขึ้นบินพุ่งทะยานตรงไปยังเมืองเกาซาน

กลางอากาศ ขณะยังบินอยู่ได้ไม่นาน ก็ปรากฏอินทรีทองตัวหนึ่งที่อยู่ในเขตฟ้าเบื้องหน้า! บนหลังอินทรีทองนั้น มีผู้คนยืนอยู่เกือบสองร้อยคน

"นั่นคนของวิหารเจ็ดเทพ" เทียนจีเจินเหรินจำได้ทันทีว่าเป็นใคร

วิหารเจ็ดเทพเป็นกลุ่มอำนาจโบราณที่น่ากลัวมาก มีการสืบทอดมายาวนาน ชื่อของเจ็ดวิหารหมายถึงการที่พวกเขาเคยมีผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวสูงสุดเจ็ดคน! ในการประลองบัลลังก์เซียนครั้งนี้ เจ็ดวิหารอยู่ในอันดับที่แปดของบัลลังก์เซียน นับเป็นกลุ่มอำนาจที่น่ากลัวอันดับสองในเขตหวงโจว รองจากสำนักเกาซานเพียงแห่งเดียว!

“วิหารเจ็ดเทพก็อยู่ในเขตหวงโจว พวกเขาก็น่าจะเดินทางไปยังเมืองเซียนเช่นกัน เพื่อใช้ประตูข้ามแดน”อู๋จีเจินเหรินกล่าว

ขณะเดียวกัน คนของวิหารเจ็ดเทพบนหลังอินทรีทองก็สังเกตเห็นพวกเขา หัวหน้าของวิหารเจ็ดเทพคือชายวัยกลางคนที่แต่งกายหรูหรา สุภาพอ่อนโยน มีกลิ่นอายของนักปราชญ์ ดูแล้วคล้ายกับคนอ่านหนังสือมากกว่าจะเป็นผู้ฝึกเซียน

เมื่อชายกลางคนเห็นว่าคนของสำนักเกาซานอยู่ใกล้ เขาก็ส่งสัญญาณให้อินทรีทองบินเข้ามาใกล้อาวุโสหยิงเสวี่ย

เมื่อระยะทางใกล้พอ ชายวัยกลางคนก็ยกมือคำนับเจ้าสำนักจางหยุนเทียน พร้อมกล่าวว่า “ท่านเจ้าสำนักจางหยุนเทียน ช่างบังเอิญเหลือเกิน เราต่างก็กำลังเดินทางกลับวันนี้เหมือนกัน”

“ฮ่าๆ ช่างบังเอิญจริงๆ” เจ้าสำนักจางหยุนเทียนยิ้มตอบกลับ

ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนก็เปลี่ยนเรื่องไปทางอาวุโสเซี่ยเซวียน พร้อมกล่าวว่า “ข้าคิดว่าท่านผู้นี้น่าจะเป็นหัวหน้าเขาเซี่ยเซวียน อาวุโสเซี่ยเซวียน ใช่หรือไม่?”

“ใช่แล้ว ท่านเจ้าวิหารเจ็ดเทพยินดีที่ได้พบกัน” อาวุโสเซี่ยเซวียนตอบพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย แต่ในใจก็รู้สึกสงสัย ว่าชายคนนี้ทักทายเธอทำไม?

“ฮ่าๆ” ชายวัยกลางคนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปมองสตรีในชุดกระโปรงสีน้ำเงินที่ยืนอยู่ด้านหลังอาวุโสเซี่ยเซวียน แล้วกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น สตรีผู้นี้คงเป็นศิษย์เอกของท่านอาวุโสเซี่ยเซวียน ลั่วหานเยวี่ย ใช่หรือไม่?”

อาวุโสเซี่ยเซวียนมองไปที่ลั่วหานเยวี่ย พร้อมกระพริบตาอย่างระมัดระวัง รู้สึกทันทีว่าชายคนนี้ต้องมีจุดประสงค์บางอย่าง! ลั่วหานเยวี่ยเองก็มองกลับมาเช่นกัน ด้วยความอยากรู้ว่าชายวิหารเจ็ดเทพคนนี้ต้องการอะไรจากการเข้ามาใกล้เช่นนี้

“หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าน่าจะมีร่างวิญญาณน้ำแข็ง ใช่หรือไม่?” ชายวัยกลางคนเอ่ยต่อ

“แล้วมันจะเป็นอย่างไรล่ะ?” ลั่วหานเยวี่ยตอบกลับด้วยท่าทางเย็นชา

ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างมีความหมายก่อนกล่าวว่า “ช่างบังเอิญเสียจริง ลูกชายของข้าก็มีร่างวิญญาณเพลิง ข้าจึงคิดว่า เจ้าสองคนน่าจะเหมาะสมกันอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าฟ้าส่งมาให้คู่กันเลย”

“ว่าไงล่ะ คิดดูหน่อยไหม?”