บทที่ 45 ความอัปยศที่ไม่มีวันลืม (2/2)
ร่างกายของเธอสั่นสะท้านไม่หยุดนั่นเป็นเพราะความโกรธภายในใจ ดวงตาของเธอแดงก่ำขณะจ้องมองใบหย่าในมือ เหอหลู่รู้สึกตอนนี้ทั้งร่างจมดิ่งสู่ความบ้าคลั่ง
เธอไม่เคยคาดคิดและไม่สามารถยอมรับได้ว่า สุดท้ายผลลัพธ์กลับกลายเป็นแบบนี้ จากตอนที่ตัวเธอเองจะถอนหมั้นเขา กลายเป็นถูกไล่ต้อนมาที่นี้และจบลงด้วยเขายื่นกระดาษใบหย่ามาให้เธอแบบนี้
ทันใดนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้นมอง ย่ฉางชิงที่ยังคงสงบเยือกเย็น เธอกัดฟันแน่นและพูดขึ้นว่า
"เย่ฉางชิง เยี่ยมไปเลยนะเจ้าช่างมีคนรอบตัวที่ดีนัก แต่ความอัปยศในวันนี้ วันข้างหน้าข้าจะ..."
"หุบปาก!"
ความอัปยศในวันนี้เหอหลู่ไม่มีทางปล่อยวางให้มันจบลงง่ายๆ แต่ก่อนที่เธอจะพูดจบ อู๋หลี่ก็กล่าวแทรกขึ้นมาทันที
สายตาเย็นชาของผู้เป็นอาจารย์จ้องเขม็งมาที่เธอ
"ยังอับอายไม่พออีกหรือ? รีบเซ็นซะ!"
ช่างไม่ดูสภาพการณ์ตอนนี้เลย ยังคิดจะพูดคำข่มขู่ใส่อีกหรือเจ้าศิษย์นี้อยากจะออกจากนิกายเต๋าอี้เป็นไปอย่างไม่สงบงั้นหรือ?
ก่อนหน้านี้ขณะที่เหอหลู่เพิ่งจะเริ่มพูด สีหน้าของทั้งซูเจี้ยน,หลิวซวงและแม้แต่หงจุ้นก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา พร้อมจะลงมือทุกเมื่อ
ยังจะมาพูดคำข่มขู่ในเวลาแบบนี้? ช่างโง่เขลานัก แม้ว่าจะมีความเกลียดชังในใจมากแค่ไหน ก็ต้องอดกลั้นไว้
เมื่อเหอหลู่เซ็นเรียบร้อย อู๋หลี่ก็ลุกขึ้นยืนแล้วและโค้งคำนับไปยังรองผู้อาวูโสและอาวุโสสาม รวมถึงหงจุ้นที่นั่งอยู่บนที่นั่งหลัก
"ในเมื่อเรียบร้อยแล้ว ข้าขอตัวลาแล้วเจ้าค่ะ"
"ดี เดินทางปลอดภัยนะศิษย์น้อง"
รองผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้าตอบรับแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี เมื่อได้ยินดังนั้นอู๋หลี่ก็ไม่ลังเลพาเหอหลู่และเหล่าศิษย์ของนิกายหลัวเซี่ยทั้งหมดเดินออกไปทันที
เมื่ออู๋หลี่และพรรคพวกออกไปแล้ว หงจุ้นก็กลับมาสู่ท่าทีเมามายเฉื่อยชาเหมือนเดิมมองไปทางรองผู้อาวุโสใหญ่และสามอย่างเกียจคร้าน
"ศิษย์พี่ ข้าขอตัวนะ"
พูดจบก็ไม่รอให้ทั้งสองตอบกลับ หงจุ้นพาเย่ฉางชิงและศิษย์คนอื่นๆออกจากหอผู้คุมกฏไปทันที
เมื่อมองตามแผ่นหลังหงจุ้นที่จากไป รองผู้อาวุโสใหญ่และสามได้แต่ส่ายหน้าพลางยิ้มแห้ง ๆ
"เรื่องนี้นิกายหลัวเซี่ยคงไม่ยอมจบง่ายๆ"
"ใช่ แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้บานปลายไปมาก ความอับอายเล็กน้อยคงไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนาน"
อู๋หลี่ในใจคงมีความโกรธแค้นหงจุ้นมาก แต่สำหรับนิกายหลัวเซี่ยและนิกายเต๋าอี้ คงไม่เกิดผลกระทบมากนัก ท้ายที่สุดแล้วศิษย์ของนิกายหลัวเซี่ยก็ไม่ได้มีใครรับบาดเจ็บหนักอะไร?
รองผู้อาวุโสใหญ่รู้สึกปวดหัว แต่ก็หาทางแก้ไขไม่ได้ แค่พูดถึงยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ก็ทำให้เขาหงุดหงิดแล้ว
แต่เรื่องของศิษย์รับใช้ที่ชื่อว่าเย่ฉางชิงนี่ดูเหมือนจะเป็นต้นเหตุของทั้งสองเรื่องเลย ศิษย์รับใช้คนหนึ่ง ทำไมถึงได้รับความสำคัญจากผู้นำยอดเขาถึงเพียงนี้? ช่างน่าประหลาดใจจริง ๆ
รองผู้อาวุโสใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ในขณะเดียวกัน เมื่อเย่ฉางชิงกลับมาถึงโรงครัวของยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นเวลาเลยมื้ออาหารไปนานแล้ว แต่ก็ยังมีศิษย์หลายคนและผู้ดูแลรออยู่ที่นั่น
เมื่อเห็นว่าเย่ฉางชิงกลับมา ศิษย์ทั้งหลายก็พากันเข้ามาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
หลังจากตอบรับทุกคนเรียบร้อย เย่ฉางชิงก็พูดขึ้นว่า
"ศิษย์พี่ทั้งหลาย รอสักครู่ อาหารจะพร้อมในไม่ช้า"
"ศิษย์น้องฉางชิง พักผ่อนก่อนก็ได้นะ"
"ใช่ พวกเราไม่รีบหรอก"
แม้ว่าพวกเขาจะพูดว่าไม่รีบแต่ปากก็เริ่มมีน้ำลายไหลออกมาแล้ว เย่ฉางชิงเห็นดังนั้นก็ได้แต่หัวเราะเบา ๆ จากนั้นเขาก็หันหลังกลับเข้าไปในครัวและเริ่มเตรียมอาหาร
ไม่มีอะไรมากนัก แค่ต้องอุ่นอาหารก็พอ
ไม่นานอาหารมื้อเย็นก็เตรียมเสร็จแล้ว แต่บรรยากาศก็ยังวุ่นวายเช่นเคย ศิษย์หลายคนแย่งที่นั่งจนหัวแตกเลือดไหล
อาหารสำหรับพันคนหมดอย่างรวดเร็ว ศิษย์ที่แย่งที่นั่งได้ก็กินอย่างมีความสุข ส่วนผู้ที่ไม่ได้ที่นั่งก็ได้แต่ทุบอก สาบานว่าในครั้งหน้าต้องแย่งให้ได้
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ศิษย์ทั้งหลายก็พากันกลับไป เย่ฉางชิงตามความเคยชินเปิดหน้าต่างสถานะส่วนตัวขึ้นดู
【ผู้ใช้: เย่ ฉางชิง】
【ตำแหน่ง: ศิษย์ผู้รับใช้ของนิกายเต๋าอี้】
【ระดับการฝึกตน: ลมปราณขั้นกลาง (165/100,000)】
【เคล็ดวิชา: 】
1. ดาบเงา (4,600/10,000)
2. ก้าวเจ็ดดาว (3,924/10,000)
3. เกราะปราณ (1,354/50,000)
【ชื่อเสียง: เป็นรู้จักในยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์】
【พรสวรรค์: ระดับกลางขั้นกลาง (33,120/50,000)】
【รากฐาน: ระดับกลางขั้นปลาย (41,562/50,000)】
【ปัญญา: ระดับสูงขั้นกลาง (69,978/100,000)】
ระดับฝึกได้ก้าวเข้าสู่ลมปราณขั้นกลาง ซึ่งสามารถรู้สึกถึงลมปราณจากธรรมชาติไหลเข้ามาในเส้นทางภายในตัวเรา ทำความสะอาดสิ่งสกปรกภายใน
การฝึกของผู้ฝึกตนก่อนหน้านี้เส้นทางภายในมักจะปิดสนิท ยกเว้นแต่มีบางคนที่มีลักษณะพิเศษ
ดังนั้น ใจความสำคัญของระดับลมปราณขั้นกลางคือการใช้ลมปราณจากธรรมชาติในการทำความสะอาดเส้นทางภายในให้สะอาดหมดจด
เมื่อเส้นทางภายในเปิดออกได้อย่างสมบูรณ์และเข้าสู่ระดับการสร้างก่อเกิด ลมปราณจะสามารถไหลเวียนได้อย่างอิสระ
หากเส้นทางภายในยังปิดอยู่ ลมปราณจะไม่สามารถสร้างวงรอบภายในตัวเราได้ นอกจากนี้การฝึกและการใช้วิชาก็จะยากมาก
เส้นทางที่สะอาดและมีการไหลเวียนของลมปราณดีขึ้น จะทำให้การฝึกและการใช้วิชาเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลที่การฝึกระดับลมปราณขั้นกลางเป็นขั้นตอนที่สำคัญ
แม้แต่คนที่มีลักษณะพิเศษก็ยังพยายามทำให้เส้นทางของตนแข็งแรงและกว้างขวางมากขึ้นในระดับนี้
หลังจากรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงจากการก้าวเข้าสู่ระดับนี้ เย่ฉางชิงรู้ว่า วิชามิงซิ่งเจวี่ย ไม่ได้มีประโยชน์มากนัก เพราะมันเป็นเพียงแค่วิชาสำหรับการเข้าใจ
"ดูเหมือนว่าข้าต้องขอวิชาระดับลมปราณขั้นกลางจากผู้นำยอดเขาแล้ว"
การฝึกของผู้ฝึกตนแต่ละระดับจะมีวิชาที่สอดคล้องกัน
เรื่องของวิชานั้นไม่ต้องกังวล ต่อมาเขามองที่ระบบและพบว่าระบบได้ให้คำแนะนำ
【การก้าวเข้าสู่ระดับใหม่ของผู้ใช้จะเพิ่มประสิทธิภาพของอาหารมากขึ้น】
รางวัลจากระบบสำหรับอาหารนั้นมีความช่วยเหลือสำหรับผู้ฝึกตน และเมื่อเย่ฉางชิงก้าวเข้าสู่ระดับใหม่ ประสิทธิภาพของอาหารก็จะเพิ่มขึ้น
เช่นเดียวกับตอนนี้ที่เย่ฉางชิงอยู่ที่ระดับลมปราณขั้นกลาง เมนูอาหารเช่นบะหมี่ผัดซอสก็สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายได้ในระดับเล็ก
ตอนนี้ผลลัพธ์ที่ได้รับได้ถูกเสริมให้ดีขึ้น ตามการคำนวณของระบบ มันเป็นมากกว่าหนึ่งเท่าตัวจากก่อนหน้านี้
พูดง่ายๆ คือ ตอนนี้บะหมี่ผัดซอสมีผลลัพธ์เทียบเท่ากับยาเพิ่มพลัง ซึ่งเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งที่น่าทึ่งและสามารถเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ
เย่ฉางชิงพอใจและคิดว่าการฝึกในวันนี้ควรมีรางวัลให้กับตัวเอง เขาอาบน้ำสมุนไพรเพื่อผ่อนคลายแล้วเข้านอนเร็ว
เขาไม่คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางวันอีกต่อไปแล้ว ขณะที่เหอหลู่และอู๋หลี่ที่อยู่ห่างจากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์
ตอนนี้พวกเธอกำลังพักผ่อนในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง แม้จะเป็นเวลากลางคืนแล้ว แต่เหอหลู่ไม่มีอารมณ์ที่จะนอนลงได้สักนิด
เธอยืนอยู่ที่ขอบหน้าต่างด้วยใบหน้าที่เย็นชานัยน์ตาที่เย็นเฉียบ มองไปทางทิศทางที่ตั้งของยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ และกัดฟันพูดว่า
“เย่ฉางชิง! ความอัปยศในวันนี้ข้าจะตอบแทนให้ได้เลย ในการแข่งขันประชันยุทธ์สี่นิกาย ข้าจะไม่ปราณีไว้ชีวิตเจ้าแน่นอน เตรียมตัวไว้เถอะ”
เหอหลู่ไม่มีวันลืมความอัปยศในวันนี้และขอสาบานว่าจะต้องทำให้เย่ฉางชิงเสียใจที่เลือกทำเช่นนี้