บทที่ 16: ไปเรียนที่ตำหนัก
มู่เทียนฉงโบกมือพร้อมกับพูดว่า “ลุกขึ้นเถิด เรานึกขึ้นได้ว่าเจ้าเป็นเพียงแค่กุ้ยเหริน หากให้เจ้าคอยดูแลองค์หญิงหก มันจะเป็นการฝ่าฝืนกฎ”
จากนั้นฮ่องเต้หนุ่มก็หันไปกล่าวกับอันกงกงซึ่งคอยอยู่ด้านหลังตลอดเวลาว่า “ถ่ายทอดราชโองการของเรา เลื่อนตำแหน่งหว่านกุ้ยเหรินให้เป็นหว่านผิน และให้ประทับอยู่ในตำหนักอิ๋งชุน และสามารถดูแลอยู่ข้างกายองค์หญิงหกได้”
“แล้วให้ส่งนางกำนัลอีก 10 คนไปที่ตำหนักอิ๋งชุน รอบกายของหว่านผินมีคนคอยรับใช้น้อยเกินไป”
ราชโองการนี้ทำให้ซูหว่านร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ ขณะเดียวกัน มือที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อของนางก็กำแน่นจนเปลี่ยนเป็นสีขาว พร้อมกับริมฝีปากที่สั่นเบา ๆ
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา”
ตัวนางเคยจินตนาการถึงภาพนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่นางก็ทำได้แค่เหม่อมองผืนน้ำที่มีใบไม้แห้งร่วงโรยวันแล้ววันเล่า จนกระทั่งกลายเป็นปี นางคิดว่าตัวเองคงจะต้องรอไปจนแก่เฒ่า แต่ตอนนี้ความฝันนั้นได้กลายเป็นจริงแล้ว
จากนั้นหว่านผินก็หันไปมองลูกสาวซึ่งอายุเพียง 4 ขวบครึ่งด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ เพราะนางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กตัวเล็ก ๆ คนนี้จะเป็นคนที่ทำให้นางได้เจอเรื่องดี ๆ ทั้งหมดนี้
มู่ไป๋ไป่ยังคงเคี้ยวข้าวของตัวเอง เมื่อสายตาเหลือบมองไปทางคนเป็นแม่เล็กน้อย เธอก็ยืดตัวขึ้นคล้ายจะบอกว่า ‘ดูสิ ข้าเก่งใช่หรือไม่~’
ภาพนั้นทำให้รอยยิ้มที่ดูสง่างามปรากฏบนใบหน้าของซูหว่าน ดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยความรัก และใบหน้าก็แสดงออกถึงความภาคภูมิใจ ในขณะที่เฝ้ามองลูกสาวกินข้าวต่อไป
มู่ไป๋ไป่หันกลับมามองพ่ออารมณ์ร้ายของตัวเองก่อนจะยิ้มกว้างอย่างจริงใจ
“ท่านพ่อใจดีที่สุดเลย!”
มู่เทียนฉงยกมือขึ้นลูบหัวของคนตัวเล็ก แล้วทัดผมที่ยุ่งเหยิงตรงหน้าผากไปไว้ที่หลังหู
พอซูหว่านเห็นดังนั้นก็แสดงสีหน้าอิจฉา นางรู้สึกทั้งอิจฉาและไม่พอใจกับความกรุณาที่ฝ่าบาทประทานให้บุตรสาว
แต่นางก็ต้องเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
เพราะตอนนี้นางรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝัน
ระหว่างที่รับประทานอาหาร เนื่องจากร่างกายของมู่ไป๋ไป่นั้นชินกับการอดอาหารมานาน ทำให้เธอกินอาหารได้น้อยมาก หลังจากกินข้าวไปได้ไม่กี่คำ เธอก็รู้สึกอิ่มเสียแล้ว
แต่อาหารวันนี้เป็นอาหารที่ถูกจัดสำรับเอาไว้ให้เพียงฮ่องเต้เท่านั้น มันจึงเป็นของที่เด็กหญิงไม่สามารถหากินได้บ่อย ๆ
หลังจากที่คนตัวเล็กกินข้าวเข้าไปคำแล้วคำเล่า เธอก็รู้สึกอิ่มจนแน่นท้องไปหมด
แล้วท้องน้อย ๆ ของเธอก็เริ่มป่องขึ้นจนเหมือนลูกโป่ง
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เธอก็ได้มีพุงป่อง ๆ เพิ่มขึ้นมา จากนั้นเธอก็ตั้งท่าเตรียมกระโดดลงจากเก้าอี้เพื่อกลับไปหากระถางที่ปลูกโสมเอาไว้
“ท่านพ่อท่านแม่ ข้าอิ่มแล้ว~”
“เจ้าอยากไปเล่นแล้วสินะ” มู่เทียนฉงขมวดคิ้ว
“หา? ไม่ได้หรือเพคะ?” มู่ไป๋ไป่ถามออกไปด้วยความสับสน
มู่เทียนฉงจับเอวของเจ้าตัวเล็กและขยับให้นางนั่งบนเก้าอี้ด้วยตัวเอง
“ตอนนี้เจ้าอายุเกิน 4 ขวบแล้ว แต่เจ้ายังไม่รู้จักตัวอักษรสักตัวเลย อย่ามัวแต่คิดจะเที่ยวเล่น เราจะสั่งคนให้จัดแจงส่งราชครูมาคอยสอนเจ้า”
คำพูดนั้นทำให้หัวใจของมู่ไป๋ไป่เต้นรัว เธอไม่คาดคิดเลยว่าทั้ง ๆ ที่เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว เขาก็ยังจะให้เธอไปร่ำเรียนที่ตำหนักองค์หญิงใหญ่อีก
ดูเหมือนว่าพ่อขี้โมโหจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องการเรียนของเธอมาก
แต่มันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ฮ่องเต้มีองค์หญิงเพียง 2 คน มู่เชียนเป็นคนที่มีนิสัยหยิ่งผยองเอาแต่ใจตัวเอง และบางครั้งนางก็ยังทำร้ายดุด่าว่ากล่าวราชครูทุกครั้งที่นางรู้สึกไม่พอใจ แต่เขาก็ทำเป็นมองไม่เห็น ปล่อยปละละเลยให้องค์หญิงใหญ่ปลูกฝังนิสัยไม่ดีขึ้นมา
ตอนนี้เมื่อเขารู้ว่าตนมีลูกสาวที่ทั้งน่ารักและอ่อนโยนคนนี้ เขาก็รู้สึกว่าเขาจะต้องใส่ใจนางให้มากกว่าเดิม
ดังนั้นความคาดหวังของเขาทั้งหมดจึงถูกส่งไปที่คนตัวเล็ก นางควรได้เรียนรู้ตัวอักษรมากขึ้นเพื่อที่จะได้อ่านออกเขียนได้ และเติบโตเป็นองค์หญิงที่สง่างามต่อไป
“ท่านพ่อ ท่านจะให้หม่อมฉันไปเรียนที่ไหนหรือเพคะ?”
มู่ไป๋ไป่เอียงคอมองผู้เป็นพ่อ ในขณะที่ดวงตาเป็นประกายนั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง
มู่เทียนฉงกำลังจะสั่งให้คนเชิญราชครูมาสอนที่ตำหนักอิ๋งชุน อย่างน้อยนางก็จะได้เรียนอยู่ในตำหนักทุกวัน แต่เมื่อเห็นนางเอียงคอมองเขาแบบนี้ มันก็ทำให้เขารู้สึกอยากจะผูกนางไว้ข้างกายตัวเองมากยิ่งขึ้น
ดวงตาที่ล้ำลึกของชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาจึงขมวดคิ้วพูดว่า “มาเรียนที่ตำหนักของเราสิ เราจะคอยดูเจ้าเวลาร่ำเรียนกับอาจารย์”
“...” คำพูดของฮ่องเต้ทำให้ซูหว่านกับอันกงกงตกตะลึง
คนสุดท้ายที่มีโอกาสได้ร่ำเรียนอยู่ในตำหนักของฝ่าบาทก็คือองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเป่ยหลง
นั่นก็คือองค์ชายใหญ่ และมีเพียงองค์ชายใหญ่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ซึ่งองค์ชายรองและองค์ชายสามยังไม่เคยได้มาร่ำเรียนที่ตำหนักฮ่องเต้เลยด้วยซ้ำ
มู่ไป๋ไป่เป็นสตรี นางเป็นองค์หญิงลำดับที่ 6 ที่มีสถานะและชาติกำเนิดต่ำที่สุด แล้วเช่นนี้นางจะเหมาะสมไปร่ำเรียนในตำหนักของฮ่องเต้ได้อย่างไร
เมื่อมู่เทียนฉงเห็นสีหน้าประหลาดใจของซูหว่าน เขาจึงกระแอมในลำคอก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “หว่านผิน เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”
หญิงสาวตกใจเล็กน้อยที่ฮ่องเต้ถามความคิดเห็นของตน นางจึงตอบอย่างไม่มั่นใจว่า “ฝ่าบาท องค์หญิงหกมีฐานะต่ำต้อย แต่ในเมื่อฝ่าบาททรงใส่พระทัยนางมากถึงเพียงนี้...”
ยังไม่ทันที่นางจะได้กล่าวจบ อีกฝ่ายก็พูดขัดขึ้นมาว่า “นางเป็นองค์หญิงของเรา เจ้าพูดว่านางมีฐานะต่ำต้อยได้อย่างไร?”
ฮ่องเต้หนุ่มหรี่ตาลง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วหันไปพูดกับอันกงกงว่า “สั่งให้กรมวังเลือกคุณหนูจากตระกูลขุนนาง และในอีกครึ่งเดือน ให้พวกนางเข้ามาเป็นสหายร่วมเรียนกับองค์หญิงหกที่ตำหนัก”
เนื่องจากตำแหน่งของมู่เทียนฉง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำพูดของเขานั้นเมื่อพูดออกไปแล้วไม่สามารถคืนคำได้
ขณะนั้นมู่ไป๋ไป่มุ่ยปากพลางแอบดึงแขนเสื้อของผู้เป็นแม่เบา ๆ “ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่สร้างปัญหาให้กับท่านพ่อ”
ดวงตาของซูหว่านเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เนื่องจากลูกสาวคนนี้ยังเด็กนัก นางจึงไม่รู้ว่าการที่อยู่ใกล้ตัวฮ่องเต้นั้นหมายความว่าอย่างไร
ฮ่องเต้เป็นคนที่ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยม หากวันหนึ่งลูกของนางไปเผลอทำให้เขาไม่พอใจเข้าหรือถูกวางแผนใส่ร้าย นางก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กจะสามารถรักษาชีวิตน้อย ๆ ไว้ได้หรือไม่
“ไป๋ไป่ ลูกไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว ยามที่ทำสิ่งใดเจ้าจะต้องรอบคอบ อย่าให้เสด็จพ่อของเจ้าต้องเป็นกังวลเพราะเจ้า เข้าใจหรือไม่?”
ซูหว่านกล้ำกลืนความเจ็บปวดและยอมรับความจริงข้อนี้
มู่ไป๋ไป่มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้เป็นแม่กำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเธอ มันทำให้หัวใจดวงน้อยพองโตขึ้น จากนั้นเธอจึงพยักหน้ารับ “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง~”
น้ำเสียงที่เรียกท่านแม่อันแผ่วเบานั้นส่งผลให้หัวใจของคนที่ได้ยินได้รับการปลอบประโลม แต่พอเห็นเจ้าตัวเล็กเชิดหน้าขึ้นสูง นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูอีกฝ่าย
ลูกสาวของนางเป็นเพียงเด็กอายุ 4 ขวบครึ่ง แต่เมื่อมองดูใบหน้าที่อวบอิ่มทว่ามั่นใจนี้ มันก็ทำให้นางรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านพ่อขี้โมโหซึ่งใช้เวลาอยู่กับบุตรสาวตลอดทั้งวันก็รีบกลับไปยังตำหนักเย่าเจิ้งเพื่อจัดการราชกิจในขณะที่ท้องฟ้ายังไม่มืด
ทันทีที่มู่เทียนฉงเสด็จกลับไป ซูหว่านก็ดึงร่างของคนตัวเล็กมาไว้ในอ้อมแขน
นางก้มศีรษะลงมองในขณะที่เด็กหญิงในอ้อมแขนของนางขยับตัวนั่งบนตักนางอย่างรู้ความ
ในเวลานี้ดวงตาของซูหว่านดูคมดุเล็กน้อย “เจ้าตัวเล็ก บอกแม่มาเดี๋ยวนี้นะว่าเจ้าไปทำอะไรกับเสด็จพ่อของเจ้า? ทำไมเสด็จพ่อของเจ้าถึงเปลี่ยนไปได้มากถึงเพียงนี้?”
มู่ไป๋ไป่คาดเอาไว้แล้วว่าจะได้ยินคำถามเช่นนี้ เธอจึงหันกลับไปมองผู้เป็นแม่ด้วยสายตาซุกซน พร้อมกับยกมือขึ้นลูบใบหน้าของอีกคน
“ท่านแม่ เสด็จพ่อชอบลูก มันเป็นผลดีต่อลูกไม่ใช่หรือ? นอกจากนี้ไป๋ไป่ไม่ได้ทำอะไรเสด็จพ่อสักนิดเลยน้า~”
คำตอบที่ได้รับนั้นฟังดูไร้สาระมาก และไม่มีคำใดที่ตรงประเด็นเลยแม้แต่น้อย
ซูหว่านเอียงคอแล้วแสร้งทำเป็นโกรธ “ทำไมเจ้าไม่ลองอธิบายให้แม่ฟังให้ชัดเจนล่ะ?”
“ทั้งหมดที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริง ข้าสาบานได้”
เมื่อหว่านผินเห็นว่าลูกสาวของตนจริงจังมากเพียงใด นางก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก แต่นางก็ยังแอบสงสัยในใจว่ากว่าที่ท้องฟ้าจะสดใสต้องใช้เวลานานถึง 4-5 ปีเลยหรือ?
แล้วเด็กผู้โง่เขลาก็ไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนเดิมอีกต่อไป ส่วนนางก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผิน และได้ย้ายไปอยู่ที่ตำหนักอิ๋งชุนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตำหนักฮ่องเต้ เพียงวันนี้วันเดียวเหตุการณ์ที่ทำให้นางมีความสุขได้เกิดขึ้นถึงหลายครั้ง
หลังจากหญิงสาวพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว นางก็ส่ายหัวเบา ๆ เพราะยิ่งคิดมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น หากสวรรค์มีตาจริง ๆ เหตุใดจะต้องรอจนกระทั่งตอนนี้?
เมื่อซูหว่านมองดูเด็กหญิงจอมซุกซนในอ้อมแขนของตัวเอง ดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยความรัก
เป็นเพราะเด็กคนนี้ที่นำเอาความโชคดีทั้งหมดมาให้นาง
ต่อมา นางจับแก้มสีชมพูของลูกสาวเอาไว้แล้วพูดว่า “ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เจ้าและแม่ต้องคอยพึ่งพาอาศัยกัน ไป๋ไป่ ในวังหลวงแห่งนี้เจ้าเป็นญาติเพียงคนเดียวของแม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่จะคอยปกป้องเจ้าอย่างสุดกำลัง หากใครมารังแกเจ้าให้รีบบอกแม่เลยนะ แม่จะไปจัดการคนพวกนั้นให้เอง”
ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้มู่ไป๋ไป่น้ำตารื้น ก่อนที่เธอจะทะลุมิติมาที่นี่ แม่ของเธอทั้งทำร้ายทั้งดุด่าว่าเธอเพราะรู้สึกรังเกียจที่เธอมีผลการเรียนไม่ดีนัก และเธอก็ต้องคอยทำงานบ้านตั้งแต่ยังเด็ก