ตอนที่แล้วบทที่ 15: วิญญาณโสม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 17: เจ้าชื่ออะไร?

บทที่ 16: ไปเรียนที่ตำหนัก


มู่เทียนฉงโบกมือพร้อมกับพูดว่า “ลุกขึ้นเถิด เรานึกขึ้นได้ว่าเจ้าเป็นเพียงแค่กุ้ยเหริน หากให้เจ้าคอยดูแลองค์หญิงหก มันจะเป็นการฝ่าฝืนกฎ”

จากนั้นฮ่องเต้หนุ่มก็หันไปกล่าวกับอันกงกงซึ่งคอยอยู่ด้านหลังตลอดเวลาว่า “ถ่ายทอดราชโองการของเรา เลื่อนตำแหน่งหว่านกุ้ยเหรินให้เป็นหว่านผิน และให้ประทับอยู่ในตำหนักอิ๋งชุน และสามารถดูแลอยู่ข้างกายองค์หญิงหกได้”

“แล้วให้ส่งนางกำนัลอีก 10 คนไปที่ตำหนักอิ๋งชุน รอบกายของหว่านผินมีคนคอยรับใช้น้อยเกินไป”

ราชโองการนี้ทำให้ซูหว่านร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ ขณะเดียวกัน มือที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อของนางก็กำแน่นจนเปลี่ยนเป็นสีขาว พร้อมกับริมฝีปากที่สั่นเบา ๆ

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา”

ตัวนางเคยจินตนาการถึงภาพนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่นางก็ทำได้แค่เหม่อมองผืนน้ำที่มีใบไม้แห้งร่วงโรยวันแล้ววันเล่า จนกระทั่งกลายเป็นปี นางคิดว่าตัวเองคงจะต้องรอไปจนแก่เฒ่า แต่ตอนนี้ความฝันนั้นได้กลายเป็นจริงแล้ว

จากนั้นหว่านผินก็หันไปมองลูกสาวซึ่งอายุเพียง 4 ขวบครึ่งด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ เพราะนางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กตัวเล็ก ๆ คนนี้จะเป็นคนที่ทำให้นางได้เจอเรื่องดี ๆ ทั้งหมดนี้

มู่ไป๋ไป่ยังคงเคี้ยวข้าวของตัวเอง เมื่อสายตาเหลือบมองไปทางคนเป็นแม่เล็กน้อย เธอก็ยืดตัวขึ้นคล้ายจะบอกว่า ‘ดูสิ ข้าเก่งใช่หรือไม่~’

ภาพนั้นทำให้รอยยิ้มที่ดูสง่างามปรากฏบนใบหน้าของซูหว่าน ดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยความรัก และใบหน้าก็แสดงออกถึงความภาคภูมิใจ ในขณะที่เฝ้ามองลูกสาวกินข้าวต่อไป

มู่ไป๋ไป่หันกลับมามองพ่ออารมณ์ร้ายของตัวเองก่อนจะยิ้มกว้างอย่างจริงใจ

“ท่านพ่อใจดีที่สุดเลย!”

มู่เทียนฉงยกมือขึ้นลูบหัวของคนตัวเล็ก แล้วทัดผมที่ยุ่งเหยิงตรงหน้าผากไปไว้ที่หลังหู

พอซูหว่านเห็นดังนั้นก็แสดงสีหน้าอิจฉา นางรู้สึกทั้งอิจฉาและไม่พอใจกับความกรุณาที่ฝ่าบาทประทานให้บุตรสาว

แต่นางก็ต้องเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น

เพราะตอนนี้นางรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝัน

ระหว่างที่รับประทานอาหาร เนื่องจากร่างกายของมู่ไป๋ไป่นั้นชินกับการอดอาหารมานาน ทำให้เธอกินอาหารได้น้อยมาก หลังจากกินข้าวไปได้ไม่กี่คำ เธอก็รู้สึกอิ่มเสียแล้ว

แต่อาหารวันนี้เป็นอาหารที่ถูกจัดสำรับเอาไว้ให้เพียงฮ่องเต้เท่านั้น มันจึงเป็นของที่เด็กหญิงไม่สามารถหากินได้บ่อย ๆ

หลังจากที่คนตัวเล็กกินข้าวเข้าไปคำแล้วคำเล่า เธอก็รู้สึกอิ่มจนแน่นท้องไปหมด

แล้วท้องน้อย ๆ ของเธอก็เริ่มป่องขึ้นจนเหมือนลูกโป่ง

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เธอก็ได้มีพุงป่อง ๆ เพิ่มขึ้นมา จากนั้นเธอก็ตั้งท่าเตรียมกระโดดลงจากเก้าอี้เพื่อกลับไปหากระถางที่ปลูกโสมเอาไว้

“ท่านพ่อท่านแม่ ข้าอิ่มแล้ว~”

“เจ้าอยากไปเล่นแล้วสินะ” มู่เทียนฉงขมวดคิ้ว

“หา? ไม่ได้หรือเพคะ?” มู่ไป๋ไป่ถามออกไปด้วยความสับสน

มู่เทียนฉงจับเอวของเจ้าตัวเล็กและขยับให้นางนั่งบนเก้าอี้ด้วยตัวเอง

“ตอนนี้เจ้าอายุเกิน 4 ขวบแล้ว แต่เจ้ายังไม่รู้จักตัวอักษรสักตัวเลย อย่ามัวแต่คิดจะเที่ยวเล่น เราจะสั่งคนให้จัดแจงส่งราชครูมาคอยสอนเจ้า”

คำพูดนั้นทำให้หัวใจของมู่ไป๋ไป่เต้นรัว เธอไม่คาดคิดเลยว่าทั้ง ๆ ที่เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว เขาก็ยังจะให้เธอไปร่ำเรียนที่ตำหนักองค์หญิงใหญ่อีก

ดูเหมือนว่าพ่อขี้โมโหจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องการเรียนของเธอมาก

แต่มันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ฮ่องเต้มีองค์หญิงเพียง 2 คน มู่เชียนเป็นคนที่มีนิสัยหยิ่งผยองเอาแต่ใจตัวเอง และบางครั้งนางก็ยังทำร้ายดุด่าว่ากล่าวราชครูทุกครั้งที่นางรู้สึกไม่พอใจ แต่เขาก็ทำเป็นมองไม่เห็น ปล่อยปละละเลยให้องค์หญิงใหญ่ปลูกฝังนิสัยไม่ดีขึ้นมา

ตอนนี้เมื่อเขารู้ว่าตนมีลูกสาวที่ทั้งน่ารักและอ่อนโยนคนนี้ เขาก็รู้สึกว่าเขาจะต้องใส่ใจนางให้มากกว่าเดิม

ดังนั้นความคาดหวังของเขาทั้งหมดจึงถูกส่งไปที่คนตัวเล็ก นางควรได้เรียนรู้ตัวอักษรมากขึ้นเพื่อที่จะได้อ่านออกเขียนได้ และเติบโตเป็นองค์หญิงที่สง่างามต่อไป

“ท่านพ่อ ท่านจะให้หม่อมฉันไปเรียนที่ไหนหรือเพคะ?”

มู่ไป๋ไป่เอียงคอมองผู้เป็นพ่อ ในขณะที่ดวงตาเป็นประกายนั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง

มู่เทียนฉงกำลังจะสั่งให้คนเชิญราชครูมาสอนที่ตำหนักอิ๋งชุน อย่างน้อยนางก็จะได้เรียนอยู่ในตำหนักทุกวัน แต่เมื่อเห็นนางเอียงคอมองเขาแบบนี้ มันก็ทำให้เขารู้สึกอยากจะผูกนางไว้ข้างกายตัวเองมากยิ่งขึ้น

ดวงตาที่ล้ำลึกของชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาจึงขมวดคิ้วพูดว่า “มาเรียนที่ตำหนักของเราสิ เราจะคอยดูเจ้าเวลาร่ำเรียนกับอาจารย์”

“...” คำพูดของฮ่องเต้ทำให้ซูหว่านกับอันกงกงตกตะลึง

คนสุดท้ายที่มีโอกาสได้ร่ำเรียนอยู่ในตำหนักของฝ่าบาทก็คือองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเป่ยหลง

นั่นก็คือองค์ชายใหญ่ และมีเพียงองค์ชายใหญ่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ซึ่งองค์ชายรองและองค์ชายสามยังไม่เคยได้มาร่ำเรียนที่ตำหนักฮ่องเต้เลยด้วยซ้ำ

มู่ไป๋ไป่เป็นสตรี นางเป็นองค์หญิงลำดับที่ 6 ที่มีสถานะและชาติกำเนิดต่ำที่สุด แล้วเช่นนี้นางจะเหมาะสมไปร่ำเรียนในตำหนักของฮ่องเต้ได้อย่างไร

เมื่อมู่เทียนฉงเห็นสีหน้าประหลาดใจของซูหว่าน เขาจึงกระแอมในลำคอก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “หว่านผิน เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”

หญิงสาวตกใจเล็กน้อยที่ฮ่องเต้ถามความคิดเห็นของตน นางจึงตอบอย่างไม่มั่นใจว่า “ฝ่าบาท องค์หญิงหกมีฐานะต่ำต้อย แต่ในเมื่อฝ่าบาททรงใส่พระทัยนางมากถึงเพียงนี้...”

ยังไม่ทันที่นางจะได้กล่าวจบ อีกฝ่ายก็พูดขัดขึ้นมาว่า “นางเป็นองค์หญิงของเรา เจ้าพูดว่านางมีฐานะต่ำต้อยได้อย่างไร?”

ฮ่องเต้หนุ่มหรี่ตาลง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วหันไปพูดกับอันกงกงว่า “สั่งให้กรมวังเลือกคุณหนูจากตระกูลขุนนาง และในอีกครึ่งเดือน ให้พวกนางเข้ามาเป็นสหายร่วมเรียนกับองค์หญิงหกที่ตำหนัก”

เนื่องจากตำแหน่งของมู่เทียนฉง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำพูดของเขานั้นเมื่อพูดออกไปแล้วไม่สามารถคืนคำได้

ขณะนั้นมู่ไป๋ไป่มุ่ยปากพลางแอบดึงแขนเสื้อของผู้เป็นแม่เบา ๆ “ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่สร้างปัญหาให้กับท่านพ่อ”

ดวงตาของซูหว่านเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เนื่องจากลูกสาวคนนี้ยังเด็กนัก นางจึงไม่รู้ว่าการที่อยู่ใกล้ตัวฮ่องเต้นั้นหมายความว่าอย่างไร

ฮ่องเต้เป็นคนที่ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยม หากวันหนึ่งลูกของนางไปเผลอทำให้เขาไม่พอใจเข้าหรือถูกวางแผนใส่ร้าย นางก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กจะสามารถรักษาชีวิตน้อย ๆ ไว้ได้หรือไม่

“ไป๋ไป่ ลูกไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว ยามที่ทำสิ่งใดเจ้าจะต้องรอบคอบ อย่าให้เสด็จพ่อของเจ้าต้องเป็นกังวลเพราะเจ้า เข้าใจหรือไม่?”

ซูหว่านกล้ำกลืนความเจ็บปวดและยอมรับความจริงข้อนี้

มู่ไป๋ไป่มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้เป็นแม่กำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเธอ มันทำให้หัวใจดวงน้อยพองโตขึ้น จากนั้นเธอจึงพยักหน้ารับ “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง~”

น้ำเสียงที่เรียกท่านแม่อันแผ่วเบานั้นส่งผลให้หัวใจของคนที่ได้ยินได้รับการปลอบประโลม แต่พอเห็นเจ้าตัวเล็กเชิดหน้าขึ้นสูง นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูอีกฝ่าย

ลูกสาวของนางเป็นเพียงเด็กอายุ 4 ขวบครึ่ง แต่เมื่อมองดูใบหน้าที่อวบอิ่มทว่ามั่นใจนี้ มันก็ทำให้นางรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านพ่อขี้โมโหซึ่งใช้เวลาอยู่กับบุตรสาวตลอดทั้งวันก็รีบกลับไปยังตำหนักเย่าเจิ้งเพื่อจัดการราชกิจในขณะที่ท้องฟ้ายังไม่มืด

ทันทีที่มู่เทียนฉงเสด็จกลับไป ซูหว่านก็ดึงร่างของคนตัวเล็กมาไว้ในอ้อมแขน

นางก้มศีรษะลงมองในขณะที่เด็กหญิงในอ้อมแขนของนางขยับตัวนั่งบนตักนางอย่างรู้ความ

ในเวลานี้ดวงตาของซูหว่านดูคมดุเล็กน้อย “เจ้าตัวเล็ก บอกแม่มาเดี๋ยวนี้นะว่าเจ้าไปทำอะไรกับเสด็จพ่อของเจ้า? ทำไมเสด็จพ่อของเจ้าถึงเปลี่ยนไปได้มากถึงเพียงนี้?”

มู่ไป๋ไป่คาดเอาไว้แล้วว่าจะได้ยินคำถามเช่นนี้ เธอจึงหันกลับไปมองผู้เป็นแม่ด้วยสายตาซุกซน พร้อมกับยกมือขึ้นลูบใบหน้าของอีกคน

“ท่านแม่ เสด็จพ่อชอบลูก มันเป็นผลดีต่อลูกไม่ใช่หรือ? นอกจากนี้ไป๋ไป่ไม่ได้ทำอะไรเสด็จพ่อสักนิดเลยน้า~”

คำตอบที่ได้รับนั้นฟังดูไร้สาระมาก และไม่มีคำใดที่ตรงประเด็นเลยแม้แต่น้อย

ซูหว่านเอียงคอแล้วแสร้งทำเป็นโกรธ “ทำไมเจ้าไม่ลองอธิบายให้แม่ฟังให้ชัดเจนล่ะ?”

“ทั้งหมดที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริง ข้าสาบานได้”

เมื่อหว่านผินเห็นว่าลูกสาวของตนจริงจังมากเพียงใด นางก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก แต่นางก็ยังแอบสงสัยในใจว่ากว่าที่ท้องฟ้าจะสดใสต้องใช้เวลานานถึง 4-5 ปีเลยหรือ?

แล้วเด็กผู้โง่เขลาก็ไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนเดิมอีกต่อไป ส่วนนางก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผิน และได้ย้ายไปอยู่ที่ตำหนักอิ๋งชุนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตำหนักฮ่องเต้ เพียงวันนี้วันเดียวเหตุการณ์ที่ทำให้นางมีความสุขได้เกิดขึ้นถึงหลายครั้ง

หลังจากหญิงสาวพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว นางก็ส่ายหัวเบา ๆ เพราะยิ่งคิดมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น หากสวรรค์มีตาจริง ๆ เหตุใดจะต้องรอจนกระทั่งตอนนี้?

เมื่อซูหว่านมองดูเด็กหญิงจอมซุกซนในอ้อมแขนของตัวเอง ดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยความรัก

เป็นเพราะเด็กคนนี้ที่นำเอาความโชคดีทั้งหมดมาให้นาง

ต่อมา นางจับแก้มสีชมพูของลูกสาวเอาไว้แล้วพูดว่า “ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เจ้าและแม่ต้องคอยพึ่งพาอาศัยกัน ไป๋ไป่ ในวังหลวงแห่งนี้เจ้าเป็นญาติเพียงคนเดียวของแม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่จะคอยปกป้องเจ้าอย่างสุดกำลัง หากใครมารังแกเจ้าให้รีบบอกแม่เลยนะ แม่จะไปจัดการคนพวกนั้นให้เอง”

ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้มู่ไป๋ไป่น้ำตารื้น ก่อนที่เธอจะทะลุมิติมาที่นี่ แม่ของเธอทั้งทำร้ายทั้งดุด่าว่าเธอเพราะรู้สึกรังเกียจที่เธอมีผลการเรียนไม่ดีนัก และเธอก็ต้องคอยทำงานบ้านตั้งแต่ยังเด็ก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด